ดอกบัวที่วางนิ่งอยู่บนพื้นถูกกวาดไป
อ่างกระเบื้องเคลือบที่เคยบรรจุมันไว้แตกเสียแล้ว
กระถางแตกกระจายเป็เศษเสี้ยวอยู่บนพื้น
เช่นเดียวกันกับความรู้สึกของหลิวจื่อในตอนนี้
เมื่อได้รู้ว่าศัตรูคู่อาฆาตของตนยังอยู่ดีมีสุขเช่นนี้ ความรู้สึกของนางจึงย่ำแย่เสียยิ่งกว่าย่ำแย่
จะว่าไปแล้วหลัวชิงเฉิงไม่ใช่คู่อาฆาตที่จะต้องเอาชีวิตกันให้ได้ แต่กลับเป็สายเืเดียวกันกับนาง
ทว่าหลิวจื่อกลับรู้สึกอยากให้นางมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย
ชีวิตคนบางคราก็เป็เช่นนี้ ยามอยู่ในที่คับแคบ เมื่อใช้ชีวิตนานเข้า เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตในพื้นที่จำกัดให้ดีขึ้นกว่าเดิม ก็อดไม่ได้ที่จะฆ่าทุกคนในนั้นแล้วตนจะได้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
ไหนเลยจะรู้ว่าพื้นที่แห่งนั้นก็คืออ่างกระเบื้องเคลือบที่แสนงดงามที่ดูทั้งมั่นคงและสวยหรูเหลือเกิน
เมื่อคนนอกมากระทบกระแทกเพียงเล็กน้อย อ่างนั้นก็ตกลงมาแตกเสียแล้ว
หลิวจื่อก็คือคนที่อาศัยอยู่ในอ่างนี้ตลอดมา
ความสุขและความทุกข์ของนางล้วนเกิดขึ้นในอ่างนี้
ยามนี้อ่างนั้นแตกแล้ว
หลัวอู๋เลี่ยงได้เดินออกมาจากอ่างนั้นแล้ว ยามนี้นางได้ออกมาสู่โลกกว้างแล้ว
นางเดินทางออกมาพร้อมาแที่ชอกช้ำไปทั้งร่างราวกับปลาที่กำลังดีดดิ้นอยู่บนพื้นตัวหนึ่ง
ทว่าในที่สุดนางก็ตามหามหาสมุทร และท้องฟ้าสีครามของตนเองเจอเสียที
ท่านพ่อและท่านน้าของนางจากไปแล้ว
หลัวอู๋เลี่ยงนั่งลงบนเก้าอี้หวายที่วางอยู่ในเรือน แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามเบื้องบน
ท้องฟ้าในเมืองหลวงไม่เป็สีครามเท่ากับท้องฟ้าบนทุ่งหญ้า และไม่กว้างใหญ่เท่าบนทุ่งหญ้าเช่นกัน
ท้องฟ้าที่นี่ดูช่างห่างไกลเหลือเกิน ชวนให้รู้สึกหนาวเหน็บ
ไม่ว่าใครก็ดูออกว่ายามนี้อารมณ์ของแม่นางหลัวไม่ใคร่จะสู้ดีนัก
อาจถึงขั้นย่ำแย่
กระทั่งเฉินโย่วที่เพิ่งจะคัดหนังสือตามที่โดนลงโทษจนเสร็จเรียบร้อย เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของน้าหลัว ก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้นาง
สัญชาตญาณบอกนางว่ายามนี้ไม่ควรจะเข้าไปตอแยน้าหลัว ไม่เช่นนั้นจะได้โดนดีอีกแน่
ราชครูไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม่นางของนายท่านใหญ่แห่งหมู่บ้านไป๋กู่ ที่แท้จะเป็หลานแท้ๆ ของใต้เท้าหลัวหยางแห่งตระกูลหลัว
ทว่าเมื่อคิดว่าเขาผู้เป็ถึงราชครูก็ยังกลายมาเป็อาจารย์คนหนึ่งในหมู่บ้านไป๋กู่ได้
โชคชะตานั้นชอบกลั่นแกล้งคนเสียจริง
เฉินโย่วเดินเตร็ดเตร่อยู่ในสวนดอกไม้ได้สองรอบก็เห็นว่าน้าหลัวกำลังใจลอย ท่าทางราวกับว่าห้ามผู้ใดเข้าไปยุ่งเด็ดขาด นางจึงได้แต่เดินจากมา
นางชักจะไม่ชอบที่นี่สักเท่าไร
ั้แ่น้าหลัวมาถึงที่นี่ก็ดูเศร้าโศกขึ้นมาก ดูไม่เบิกบานเหมือนเช่นยามอยู่บนเขา
เหล่าพี่ชายก็เอาแต่ยุ่งวุ่นวายเสียจนไม่เห็นเงา
เ้าเด็กอ้วนเมื่อคัดหนังสือเสร็จแล้วก็หลับไป ในหนึ่งวันเขานอนหลับได้ยาวนานนัก
เฉินโย่วออกมาเดินเล่นคนเดียวเช่นนี้ ไม่นานก็เดินมาจนถึงกำแพงวังอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
เด็กหญิงแหงนมองกำแพงสูง นางจึงตวัดแส้ขึ้นอย่างคุ้นเคย แล้วจึงค่อยๆ ไต่ตามเชือกขึ้นไป
เมื่อปีนขึ้นไปจนถึงขอบกำแพง ก็พบกับคนที่นางเจอเมื่อวาน
เด็กหนุ่มคนเมื่อวานก็ยังคงนั่งอย่างโง่งมใต้ดอกไม้นั้น
ราชครูน้อยจ้งเยียนยังคงนั่งอยู่ใต้ดอกไม้
เพียงแต่ยามนี้ความรู้สึกของเขาไม่ใช่ทั้งความกระวนกระวายและรอคอย
แต่เป็ความรู้สึกกรุ่นโกรธ เสียใจปนเปไปด้วยความผิดหวัง
ความคิดของเขาค่อยๆ กลับสู่โลกแห่งความจริง ช่างน่ากลัวนัก
ท่านอาจารย์ถูกบีบให้ออกจากวังหลวง บนทุ่งหญ้ามีคนตายอีกนับไม่ถ้วน พระสนมเอกเล่อ…
เื่ทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีองค์หญิงอยู่เื้ั
นางงดงามถึงเพียงนั้น รอยยิ้มก็แสนจะจริงใจ ยามเจรจาพาทีก็ลื่นไหล ข้อดีของนางมีมากจนนับไม่ถ้วน
ชีวิตของนางเต็มอิ่มไปด้วยเกียรติยศ
แม้เขาจะแจ่มแจ้งถึงปัญหา แต่เขากลับไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไป
ในหัวมีแต่ความมึนงง หรือว่าเขาจะโดนพิษเข้าแล้วเช่นกัน
เมื่อมองไปที่ดอกไม้เหล่านี้
ดวงตาของจ้งเยียนก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
เขาเ็ปเหลือเกิน
จวบจน…จวบจนหลังกำแพงมีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมา
“ท่าน” ศีรษะน้อยโผล่มาพร้อมใบหน้ายิ้มแป้นพร้อมกับโบกมือไปมาทักทาย จากนั้นก็ “ตุ๊บ” ร่วงหล่นลงมาข้างล่างอีกคราเพราะเผลอคลายมือ
ร่างน้อยร่วงลงมาบนพุ่มไม้
จ้งเยียนพลันทำหน้านิ่ว…
น้ำตาที่กำลังจะหลั่งรินพลันย้อนกลับไป เมื่อเห็นว่ากลางพุ่มดอกไม้มีเงาขยุกขยิกไปมา ก็นึกอยากจะหัวเราะขึ้นมาแทน
เฉินโย่วปัดเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเศษหญ้า และดอกไม้
ยังดีที่วันนี้นางฉลาดหน่อย จึงไม่ได้สวมชุดขาวแสนบางมา แต่สวมชุดเนื้อหนาสีดำมาแทน ผ้าเช่นนี้ไม่ขาดง่าย ทั้งยังไม่เลอะจากดอกไม้
จ้งเยียนมองเด็กชายค่อยๆ ปีนออกมาจากพุ่มดอกไม้ ใบหน้าขาวปากแดง สวมชุดสีดำตลอดร่าง เด็กชายตรงหน้าเขามีหน้าตางดงามเสียยิ่งกว่าเขาด้วยซ้ำ
ทว่ากลับดูเลินเล่อทั้งยังมุทะลุไปสักหน่อย
เด็กคนนี้น่าจะเป็ศิษย์น้องของเขา
จ้งเยียนมองเด็กชายเก็บแส้ของตน
“ข้าบอกท่านแล้วว่าดอกไม้นี่มีพิษ เดิมทีท่านยามยืนก็ดูเซ่อซ่าไม่เบาอยู่แล้ว นั่งลงเช่นนี้ยิ่งดูเซ่อซ่ายิ่งกว่าเดิม” เมื่อเฉินโย่วปัดเนื้อตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ยืนจ้องเขาตาเขม็ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา
“เ้ารู้หรือไม่ว่าการเข้าวังหลวงโดยพลการมีโทษปะา” จ้งเยียนกล่าวขึ้นเสียงเย็น
เฉินโย่วพลันหน้านิ่วคิ้วขมวด
แล้วจึงทรุดกายลงนั่งข้างจ้งเยียน
“ข้ารู้แล้ว เมื่อวานเพราะเื่นี้ท่านอาจารย์ยังลงโทษให้ข้าคัดหนังสือจนมือแทบจะบวมอยู่แล้ว” เฉินโย่วสะบัดมือพร้อมทำแก้มป่องอย่างน้อยใจ
จ้งเยียน “…”
คัดหนังสือกับปะาชีวิตมันเทียบกันได้หรือ
ท่านอาจารย์คงชอบเ้าเด็กนี่มากกระมัง เขาถึงกับลงโทษให้คัดหนังสือ ท่านอาจารย์ไม่เคยจะลงโทษเขาเลย
จ้งเยียนเมื่อคิดถึงเื่นี้ก็ปวดใจขึ้นมา
“แล้วเ้ายังจะมาที่นี่อีกรึ!”
เฉินโย่วยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรกๆ รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “ท่านน้าของข้ากำลังไม่เบิกบานใจ ข้าจึงได้ออกมาเดินเล่นคนเดียว ไม่ทันระวังก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว”
จ้งเยียนมองกำแพงสูงแล้วจึงมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างกาย คนปกติคงปีนขึ้นไปไม่ได้เป็แน่ เช่นนี้เ้าเด็กนี่ยังกล้ากล่าวว่าไม่ทันระวังอีกหรือ
“ครอบครัวเ้าคงจะรักเ้ามาก จึงได้เชิญอาจารย์มาสอนเ้าเช่นนี้”
เฉินโย่วเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รีบส่ายหน้า
“ครอบครัวข้าไม่ได้เป็คนเชิญท่านอาจารย์มา แต่เป็ข้าที่เก็บเขามาได้ ข้าเห็นว่าสภาพของท่านอาจารย์ตอนนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับขอทาน ดูเหมือนจะหิวโหยมาแล้วหลายวัน ข้าเลยล้วงเนื้อแห้งครึ่งชิ้นออกมา ท่านอาจารย์ก็ตกลงเป็ท่านอาจารย์ของข้าแล้ว” เฉินโย่วเมื่อพูดถึงเื่นี้ก็หยิบเนื้อแห้งออกมาชิ้นหนึ่ง
“เื่ราวเป็เช่นนี้ ในตอนนั้นข้ากินไปแล้วครึ่งชิ้น จึงเหลือเพียงครึ่งชิ้น” นางกล่าวไปก็ฉีกแบ่งเนื้อแห้งเป็สองส่วนแล้วจึงยื่นอีกครึ่งหนึ่งให้ฝ่ายตรงข้าม
จ้งเยียนรับเนื้อวัวแห้งที่หนาราวๆ หนึ่งนิ้วมาแล้วก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าท่านอาจารย์ที่กินแต่ผักแต่หญ้ามาโดยตลอดจะยอมตกลงเป็อาจารย์เพราะเนื้อแห้งครึ่งชิ้นนี้
ทว่าเมื่อเขาลองนำเนื้อแห้งเข้าปากก็ได้กลิ่นเครื่องเทศกรุ่นอวลในปาก จึงได้รู้ว่าเื่นี้จะต้องเป็ความจริงไม่ผิดแน่
เนื้อวัวตากแห้งชิ้นนี้รสชาติดีเหลือเกิน
ในวังหลวงแท้จริงไม่ได้บังคับว่าต้องกินเจ เมื่อก่อนท่านอาจารย์เห็นว่าเขาอยู่ในวัยกำลังโตก็ไม่ได้ให้เขากินเจเช่นกัน
เขาลองกินเนื้อแห้งนี่อีกคำ
ััได้ว่ามันเผ็ดน้อยๆ เนื้อค่อนข้างแข็ง ทว่ายิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหอม ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความหวานอ่อนๆ ของมัน
หวานๆ เผ็ดๆ
เพียงพริบตาเนื้อแห้งก็หายวับเข้าท้อง จ้งเยียนรู้สึกถึงความพึงพอใจกระแสหนึ่งที่แล่นขึ้นมา
ต่อมาจึงเห็นว่าเด็กชายยื่นขนมให้เขาอีกชิ้นหนึ่ง
แป้งดูใสๆ ด้านในยังมองเห็นเป็กลีบดอกไม้ใส่ไว้
เด็กชายตัวน้อยเริ่มลงมือล้วงขนมออกมาอีกกองหนึ่ง
จ้งเยียนเกิดมายังไม่เคยเห็นผู้ใดที่ตะกละถึงเพียงนี้
ปากคู่น้อยยังคงขยับเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่หยุด
เมื่อกินเนื้อแห้งหมดก็กินน้ำตาลก้อนต่อ เมื่อกินน้ำตาลหมดก็กินเมล็ดซิ่งเหรินต่อ เมื่อกินเมล็ดซิ่งเหรินหมดก็กินพุทราแดงต่อ เมื่อกินพุทราแดงหมดก็กินลูกกวาดนมต่อ
ท่าทางการกินของเด็กชายราวกับได้คิดขั้นตอนไว้แล้ว
ดูราวกับกระรอกตัวใหญ่ก็ไม่ปาน สองแก้มยังขยับไปมา
จ้งเยียนเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเฉินโย่วก็รู้สึกขึ้นมาว่าศิษย์น้องของเขาช่างน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อคิดถึงท่านอาจารย์ผู้ไม่ค่อยจะสนใจโลก เขาจะต้องโดนเ้าเด็กนี่ทรมานจนเต้นเร่าๆ อยู่ทุกวี่ทุกวันอย่างแน่นอน
“ตอนที่เ้ากลับไปแล้วได้กล่าวถึงข้าหรือไม่ ท่านอาจารย์ของเ้าว่าอย่างไรบ้าง” จ้งเยียนอดจะถามขึ้นด้วยความคาดหวังไม่ได้
เฉินโย่วกินน้ำตาลก้อนต่อ ก่อนจะคิดครู่หนึ่ง
“ข้าบอกแล้ว ข้าบอกว่ามีคนโง่งมเกือบจะทำให้ตัวเองถูกพิษตาย ตอนนั้นท่านอาจารย์กำลังดื่มน้ำแกงอยู่ถึงกับพ่นออกมาหมด เฮ้อ สงสัยว่าท่านอาจารย์จะอายุมากแล้ว ว่ากันว่าคนเราเมื่ออายุมากขึ้น ต่อไปกระทั่งอุจจาระปัสสาวะก็คงจะกลั้นไม่อยู่ ช่างน่ากลัวจริงๆ เอ้อ ใช่สิ ท่านมีนามว่าอะไรรึ”
จ้งเยียน “…”
“นามของข้าคือจ้งเยียน ท่านอาจารย์ของเ้าได้ถามอะไรบ้างไหม”
เฉินโย่วส่ายหน้าปฏิเสธ
จ้งเยียนถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง…
“อย่าถอนหายใจเช่นนั้นสิ ถอนหายใจบ่อยๆ จะแก่ง่าย”
จ้งเยียนพลันเผยรอยยิ้มแล้วส่ายหน้า เขาย่อมไม่มีทางแก่ พวกเขาคนตระกูลจ้งที่ได้แก่เฒ่าหายากยิ่ง อายุเพียงไม่เท่าไรก็ล้วนลาโลกกันไปหมดแล้ว
“ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่ให้เ้ามา เหตุใดยังเอาแต่มาที่นี่อีกเล่า”
“ก็ข้าสงสัยนี่ ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงสิริโฉมงดงามนัก ข้าจึงอยากเห็นสักครา”
จ้งเยียนยกมือขึ้นเขกศีรษะเฉินโย่วเบาๆ
เ้าเด็กนี่ช่างซื่อบื้อนัก ซื่อบื้อจริงๆ ซื่อบื้อเกินใคร
“ต่อไปอย่ามาที่นี่อีก คนที่นี่จะเอาชีวิตเ้าได้”
