เสียงกรีดร้องดังไปทั่วโถงทางเดิน ่เวลาที่ยังไม่ได้เข้าเรียนนี้ นักเรียนจึงต่างพากันโผล่ศีรษะออกมาดู
เมื่อดูชัดๆ ว่าคนที่ล้มนั้นคือใคร ซุนเจี้ยนก็ใจนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน สมองสูญเสียความสามารถในการคิดไปชั่วขณะ ไม่รู้จะวางมือทั้งสองข้างไว้ที่ไหน ภายใต้ความตื่นตระหนก เขารู้สึกราวกับว่าััโดนบางสิ่งที่นุ่มนวลมาก
เมื่อก้มลงมองก็พบว่ามือของตนเองกำลังคว้าบางอย่างไว้…
“เฮ้ย!”
หลังจากที่ร้องในห้องไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาก็กรีดร้องอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเ็ป หากแต่เป็เพราะใ
นักเรียนและครูหลายคนโผล่หน้ามาดูก็ได้เห็นฉากนี้เข้าพอดี บริเวณทางเดินเงียบไปชั่วขณะ จนสามารถได้ยินแม้แต่ปลายเข็มที่ร่วงลงพื้น วินาทีถัดมา กลับเกิดเหตุการณ์เหมือนน้ำเดือด จากเสียงพูดคุยกลายเป็เสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วทางเดิน
แม้แต่คุณครูและนักเรียนห้องห้าและห้องหกที่อยู่ปลายทางเดิน ซึ่งแทบมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นห้องก่อนหน้านี้หัวเราะ ก็พากันหัวเราะตาม
โชคดีที่ไม่นานหลังจากนั้น เสียงกริ่งได้ดังขึ้นคลายบรรยากาศประหม่านี้ลง
ในที่สุดหลี่อวี้จือก็ลุกขึ้นจากพื้นได้ ผมที่มัดไว้ด้านหลังหลุดลงมา ผมหน้าม้าแนบกับหน้าเพราะชุ่มเหงื่อ เสื้อแขนสั้นบิดเบี้ยว ข้อสอบที่ถือมากระจัดกระจายเต็มพื้น ท่าทีในยามนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าคับขันยิ่งนัก
ซูอินยืนอยู่หน้าประตู เธอมองเห็นทุกอย่างชัดเจน
หลี่อวี้จือผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เป็อย่างมากก็มี่เวลาแบบนี้ด้วย เธอก้มศีรษะลง ััได้ถึงความสุขที่แทรกซึมเข้ามาในหัวใจ มุมปากยกยิ้มอย่างหยุดไม่ได้
เธอมองพวกเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ทั้งสองคน รีบเข้ามาก่อน”
ถึงแม้ซุนเจี้ยนมักจะดื้อรั้น แต่ก็กลัวครูเหมือนกับนักเรียนทั่วไป โดยเฉพาะครูที่ปรึกษาซึ่งมีอำนาจจัดการนักเรียนได้ทั้งระดับชั้น เขาเอามือสองข้างไขว้หลัง ก้มศีรษะเดินตามหลังคุณครูเข้าไปเหมือนนกกระทา
หากเทียบกับเขาแล้ว ซูอินเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคุณครูท่านนี้ ทำให้ในใจเธอไม่มีความเคารพเลยสักนิด แน่นอนว่าเธอไม่รู้สึกกดดัน
เธอก้มลงเก็บกระดาษข้อสอบพร้อมกับพยายามปรับอารมณ์ หากเดินตามเข้าไปตอนนี้ เกรงว่าเธอคงอดยิ้มไม่ได้
แต่จู่ๆ เธอก็ยิ้มไม่ออก เมื่อเก็บกระดาษข้อสอบขึ้นมา เธอก็เห็นกระดาษข้อสอบของตนเอง
61 คะแนน
นี่คือกระดาษข้อสอบเมื่อวันอังคาร หากนำ 100 คะแนนมาคำนวณ 61 คะแนนถือว่าผ่านแบบฉิวเฉียด แต่คะแนนเต็มครั้งนี้คือ 120 ดังนั้น 61 คะแนนจึงถือว่าไม่ผ่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคะแนนของเธอเมื่อก่อน มันแตกต่างกันมากทีเดียว
ซูอินมองที่มุมกระดาษซึ่งถูกพับไว้เป็พิเศษ นี่คือความเคยชินของหลี่อวี้จือ ที่ทำไว้ก็เพื่อเป็เครื่องหมายสำหรับชื่นชมและตำหนินักเรียน
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ถูกชื่นชม แต่ถูกตำหนิ
เมื่อนึกถึงความร้ายกาจของหลี่อวี้จือในการด่าทอ ซูอินก็รู้สึกถึงแรงกดดันเท่ากับูเาลูกใหญ่ เมื่อเก็บกระดาษข้อสอบเข้าที่ เธอก็เดินกลับเข้าไปในห้องเรียน แววตาเธอในเวลานี้ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
หน้าชั้นเรียน หลี่อวี้จือถามถึงเื่ราวเมื่อครู่อย่างชัดเจน
ซูอินและซุยเจี้ยน คนหนึ่งเงียบ อีกคนเกเร มนุษยสัมพันธ์ในห้องเรียนถือว่าไม่ดีนัก เมื่อถูกคุณครูที่ปรึกษาถาม เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ก็มิได้แสดงท่าทีลำเอียง หัวหน้าห้องที่ถูกถามลุกขึ้นยืนและอธิบายเื่ราวที่เกิดขึ้นโดยไม่ลำเอียงสักนิด
แน่นอนว่าการแสดงออกที่ไม่ได้ถือหางใครเช่นนั้นมีเพียงหัวหน้าห้องที่คิด ในความเป็จริง คำพูดของเขาค่อนข้างเอนเอียงเข้าข้างซูอิน
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ซูอินจู่ๆ สวยขึ้นมาแบบนี้ล่ะ ถึงแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แต่สวยอย่างไรก็คือสวย ทำให้คำพูดของหัวหน้าห้องซึ่งเป็ผู้ชายเต็มไปด้วยความรู้สึกและอารมณ์อย่างไม่รู้ตัว
“เื่มันเป็แบบนี้ครับ ทั้งสองคนโต้เถียงกัน ซุนเจี้ยนยื่นมือจะตีซูอิน ซูอินใจึงวิ่งออกไปข้างนอก จนไปถึงประตูและพบเข้ากับ…คุณครู…”
คำพูดของหัวหน้าห้องชัดเจน ซุนเจี้ยนพูดจาไร้มารยาทก่อน จากนั้นตั้งใจจะลงมือ เขาเป็ผู้ชาย และเป็ฝ่ายยั่วยุ เมื่อเถียงสู้ไม่ได้ก็ทำท่าจะตีเพื่อน หากตามปกติแล้วคุณครูจะต้องตำหนิเขา
ทว่าหลี่อวี้จือกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอก้มหน้ามองเข็มกลัดคริสตัลที่ส่องประกายอยู่บนหน้าอก
ไม่ใช่เป็เพราะเข็มกลัด ั้แ่หลิงเมิ่งไม่สามารถเข้าเรียนที่นี่ ตระกูลหลิงทั้งสามคนก็ได้เชิญเธอไปร่วมรับประทานอาหารเป็การส่วนตัว บนโต๊ะอาหารค่ำสองสามีภรรยาไม่เพียงแต่ขอโทษ คุณหมออู๋ยังอธิบายเื่ทั้งหมดในวันนั้นให้ฟัง สุดท้ายยังได้มอบของเล่นราคาแพงให้บุตรของเธอ
เพื่อของขวัญล้ำค่าถึงสองครั้ง หลี่อวี้จือจึงคิดว่าควรทำอะไรสักหน่อย
“ซูอิน ที่ซุนเจี้ยนพูดมาเป็เื่จริงไหม ที่เธอตั้งใจตัดกระโปรงของน้องสาวเพื่อทำให้เธอขายหน้า”
ซูอินเดินเข้ามาวางกระดาษข้อสอบลงบนโต๊ะ ก่อนจะเงยหน้ามองเธอ
“ไม่ใช่ค่ะ”
หากเป็เพียงคำพูดจากซุนเจี้ยนฝ่ายเดียว หลี่อวี้จือไม่มีทางเชื่อง่ายๆ อย่างแน่นอน แต่เมื่อไม่นานมานี้ เธอเพิ่งจะได้ยินคำพูดเ่าั้จากสามีภรรยาตระกูลหลิง
หลี่อวี้จือโกรธมากกับการรังแกเช่นนี้ เธอชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของซูอิน “เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว เธอยังกล้าโกหกอีกหรือ ฉันสั่งสอนเธอมาได้ยังไงเนี่ย…”
จากนั้นสิ่งที่เอ่ยออกมาคือคำสาปแช่งและก่นด่า หลี่อวี้จือซึ่งเป็คนมีการศึกษา เธอด่าโดยไม่มีคำหยาบคาย แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน
ซูอินก้มหน้านิ่ง มือสองข้างกำแน่น เผชิญหน้ากับพายุคำด่าที่ถาโถมเข้าใส่
คนบางคนมักจะคอยกระตุ้นขีดจำกัดที่ต่ำของเธออยู่ตลอดเวลา
เพื่อนร่วมห้องหลายคนมองซูอินด้วยแววตาเห็นใจ ไม่ใช่แค่นักเรียนมัธยมต้นห้องหนึ่ง แม้แต่คุณครูและนักเรียนที่เดินอยู่บริเวณทางเดินต่างก็ใ พวกคุณครูที่อยู่ห้องใกล้ๆ ต่างหยุดสอนและออกมายืนอยู่หน้าประตู โผล่หน้าออกมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ในหมู่พวกเขา ครูที่ปรึกษาของห้องสองซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด เมื่อเห็นเด็กสาวถูกต่อว่าอยู่หน้าโพเดียมของห้อง ความเห็นอกเห็นใจก็ปรากฏบนใบหน้าที่อ่อนโยน
หลี่อวี้จือเดินไม่ระวังจนทำให้เกิดเื่ขายหน้าเอง ทำไมต้องมาพานโกรธนักเรียนด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เด็กสาวคนนี้ตั้งใจเรียนมาก
การเคลื่อนไหวเช่นนั้น ทำให้ที่ปรึกษาประจำระดับชั้นใมาก
“คุณครูหลี่ นี่มันเื่อะไรกัน”
ที่ปรึกษาซุนมองนักเรียนทั้งสองคนที่ทำผิดยืนอยู่หน้าโพเดียม โชคดีที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตานักเรียนทั้งสองคนเป็อย่างดี ในส่วนของซูอินนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนซุนเจี้ยนค่อนข้างสนิทกับเขา หากนับญาติกัน ซุนเหรินถือเป็น้าชายของซุนเจี้ยน
หลี่อวี้จือรู้ดีว่าซุนเจี้ยนเป็ญาติของที่ปรึกษาซุนเหริน เธอจึงไม่ได้ต่อว่าเขา ในทางตรงข้าม เธอกลับบิดเบือนความจริงเื่ความผิดของซูอิน
“ตัดกระโปรงทำให้คนอื่นขายหน้า แทงคนอื่นด้วยวงเวียน คุณดูสิ่งที่เธอทำสิคะ…ที่ปรึกษาซุน โรงเรียนของเราเป็สถานที่สอนหนังสือ คุณธรรมสำคัญพอๆ กับผลการเรียน อย่าเพิ่งพูดถึงผลการเรียนที่ตกฮวบของเธอเลยค่ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกสงสัยในตัวของนักเรียนซูอินเป็อย่างมากเลยค่ะ!”
นี่คือซูอินหรือ?
สาวน้อยในความทรงจำของที่ปรึกษาซุนเป็คนเงียบๆ ขี้อาย เธอมักจะนั่งเรียนหนังสืออยู่เงียบๆ ทั้งวัน เธอจะทำเื่แบบนั้นได้หรือ
“เป็อย่างนั้นหรือ” เขาถามซูอินโดยไม่รู้ตัว
ซูอินเงยหน้า เปลี่ยนจากความตื่นเต้นเป็ความหวาดกลัว ก่อนจะเปลี่ยนจากความหวาดกลัวเป็ความรังเกียจ การกระทำเช่นนี้ทำให้เธอเข้าใจ หลี่อวี้จือรังเกียจเธอ เธอเองก็ไม่ชอบอีกฝ่ายเช่นกัน ต่างคนต่างรังเกียจกัน เหตุใดต้องมาทรมานกันเช่นนี้
การลงชื่อสอบเข้ามัธยมปลายสิ้นสุดลงแล้ว และการทบทวนก็มีความคืบหน้าขึ้นมาก ในกรณีนี้ หากเลวร้ายที่สุดเธออาจจะไม่สามารถมาโรงเรียนอีก เช่นนั้นเธอก็สามารถไปทำงาน เมื่อมีเวลาว่างก็สามารถหยิบหนังสือมาศึกษาด้วยตนเอง
หากที่นี่ไม่ยอมรับเรา ก็จะต้องมีสักที่ที่ยอมรับ
ในเมื่อสร้างเื่มาถึงขั้นีนี้แล้ว เธอก็ไม่้าอดทนอีกต่อไป
ทว่าก่อนจะไป เธอควรสั่งสอนหลี่อวี้จือให้ยากที่จะลืมสักหน่อย
“เมื่อกี้ฉันก็บอกหลี่อวี้จือไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ”
แม้แต่ที่ปรึกษาประจำระดับชั้นยังเรียกเธออย่างให้เกียรติว่าคุณครูหลี่ หลี่อวี้จือรู้สึกว่าอำนาจหน้าที่ของเธอกำลังถูกละเมิด
ซูอินเงยหน้ามองเธอและพูดอย่างชัดเจน “หลี่อวี้จือ เธอไม่เพียงแต่ใช้เวลาในคาบเรียนพูดเื่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาที่เรียน ยังต่อว่านักเรียนโดยไม่แยกแยะถูกผิด สิ่งต่างๆ ที่ทำ ล้วนแต่เป็การดูถูกอาชีพครูที่ศักดิ์สิทธิ์เป็อย่างมาก”
หลี่อวี้จือโกรธจนพูดไม่ออก ผมบริเวณหน้าผากตั้งขึ้นเพราะไฟฟ้าสถิต ทำให้เธอยิ่งดูจนตรอก
“ที่ปรึกษาซุน คุณดูเธอสิคะ…”
ยังไม่ทันที่ที่ปรึกษาซุนจะเอ่ยปาก ซูอินก็ก้าวขึ้นไปพูดบนโพเดียมหน้าห้องแล้ว ดวงตาของเธอมองไปที่หลี่อวี้จือ
“หลี่อวี้จือ ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ เธอกล้าพนันกับฉันไหมล่ะ”
“พนันก็พนันสิ” หลี่อวี้จือโพล่งขึ้นด้วยความโมโห