“ตกลง พี่รองดูแลพี่สะใภ้แทนข้าให้ดี แล้วบอกท่านพ่อกับท่านแม่ว่าไม่ต้องเป็ห่วงข้า”
พี่ชายและน้องสาวทั้งสองพูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็แยกจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์
ติงเหว่ยเห็นพี่ชายไปไกลแล้ว ถึงจะจับมือของอวิ๋นอิ่งเพื่อพยุงตัวเดินกลับเข้าไปในเรือน ครั้งนี้ไม่จำเป็ต้องเย็บผ้าเพื่อฆ่าเวลาแล้ว อวิ๋นอิ่งช่วยนางฝนหมึกและเตรียมกระดาษ นางพยายามค้นหาเกี่ยวกับเครื่องใช้รูปแบบจีนผสมผสานกับตะวันตกในยุคก่อน พร้อมทั้งค่อยๆ วาดลงบนกระดาษ อวิ๋นอิ่งดูแล้วก็เกิดความสนใจ และกลัวว่าหากติงเหว่ยยืนพิงโต๊ะเป็เวลานานจะกดทับท้องเอาได้ ดังนั้นนางจึงคอยเข้ามาถามอยู่บ่อยๆ
ติงเหว่ยพยายามที่จะนึกถึงแสงสีมากมายและความพิลึกกึกกือจากยุคก่อนที่นางเคยอยู่ รวมถึงวัสดุที่มีการพัฒนาคุณภาพขึ้นไปมาก ดังนั้นนางจึงอธิบายให้อวิ๋นอิ่งฟังเกี่ยวกับประโยชน์ใช้สอยและจุดแตกต่างของเครื่องใช้ไม้แต่ละชิ้นอย่างกระตือรือร้น ใน่เวลานั้นเองติงเหว่ยก็รู้สึกหายจากความเหนื่อยล้าและสีหน้าก็ดีขึ้นมาก
ไม่นานเื่ที่ครอบครัวสกุลติงส่งคนมาเยี่ยมก็ไปถึงหูของท่านลุงอวิ๋น เมื่อได้ฟังว่าติงเหว่ยต้องคุยกับพี่ชายผ่านประตู กงจื้อิก็ขมวดคิ้วและมองท่านลุงอวิ๋นด้วยสายตาตำหนิแล้วถามว่า “ในบ้านมีกฎเกณฑ์ผิดมนุษย์มนาเช่นนี้ั้แ่เมื่อไร?”
ท่านลุงอวิ๋นรู้สึกผิดเล็กน้อยแต่ก็ยากจะอธิบาย เขาจึงพูดว่า “แต่ไหนแต่ไรมาบ้านของพวกเราไม่เคยมีกฎเกณฑ์เช่นนี้ แต่บ่าวเฒ่ากลัวว่าหากแม่นางติงออกไปเดินข้างนอกอาจไม่ทันระวังทำให้เกิดอันตรายกับลูกในท้องได้ เพราะอย่างนั้นจึงได้กำชับมากไปหน่อย ไหนเลยจะคิดว่านางจะละเอียดรอบคอบเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นอีกสักสองสามวันบ่าวเฒ่าจะให้อวิ๋นอิ่งกลับบ้านไปเป็เพื่อนนางสักรอบ?”
กงจื้อิได้ยินก็พยักหน้า แล้วตอบอย่างราบเรียบว่า “เื่เล็กน้อยเช่นนี้เ้าจัดการเถอะ ไม่จำเป็ต้องรายงานข้า”
ท่านลุงอวิ๋นอยากจะกระอักเืออกมา ในเมื่อมันเป็เื่เล็ก ในเมื่อแล้วแต่เขาจะจัดการ แล้วเหตุใดนายน้อยถึงยังถามอีกละ?
เฟิงจิ่วที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องราวท่อนไม้อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าแล้วยกยิ้มที่มุมปาก ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไรที่พฤติกรรมการพูดคุยของพ่อบ้านาุโกับนายน้อยถึงได้มีความเพลิดเพลินและน่าสนใจมากขึ้น เทียบกับเมื่อก่อนที่มีแต่ความนิ่งเงียบและความเ็าไม่รู้กี่เท่า ทั้งหมดนี้ต่างเป็เพราะคุณงามความดีของสตรีคนนั้น หากวันหนึ่งนายท่านรู้ความจริงว่ามีครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก แล้วทั้งครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าอย่างมีความสุข เกรงว่าวันนั้นจะยิ่งมีความสนุกสนานและมีชีวิตชีวาขึ้นมากกว่านี้อีก
ไม่ต้องพูดถึงจินตนาการของเ้าหนุ่มน้อยเฟิงจิ่วคนนี้ แค่พูดถึงติงเหว่ย นับจากที่เจอครอบครัวของนางในวันนั้น เมื่อไรที่มีเวลาว่างก็จะหยิบพู่กันมาวาดรูป สุดท้ายลบบ้างทิ้งบ้างเหลือไว้แค่ประมาณสิบกว่าแผ่น จากนั้นนางก็คิดถึงร้านอาหารของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ขึ้นมาและรู้สึกว่าแบบนี้อาจไม่เท่าเทียมกันสักเท่าไร ดังนั้นนางจึงเขียนสูตรอาหารหลายแผ่นและใส่ให้ไว้ในจดหมายด้วยกัน
……
จนกระทั่งตอนกลางคืนที่ติงเหว่ยไปนวดอีกครั้งแล้วเจอกับท่านลุงอวิ๋น นางจึงเอาจดหมายให้กับท่านลุงอวิ๋นพลางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุงอวิ๋น นี่คือจดหมายที่ข้าเขียนถึงคนที่บ้าน รบกวนท่านหาคนที่ไว้ใจได้ช่วยส่งกลับไปให้ข้าหน่อยเถอะ”
ท่านลุงอวิ๋นใเล็กน้อย แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็รับปากอย่างสบายๆ “ตกลง เดี๋ยวข้าจะให้คนส่งไปให้ทันที”
หลังจากติงเหว่ยพูดขอบคุณเสร็จนางก็ไปจัดการกับงานของตนเองต่อ ปล่อยให้ท่านลุงอวิ๋นพยักหน้าติดๆ กันด้วยความชื่นชม ถึงแม้จะเป็บริเวณที่ราบลุ่มูเาที่ทั้งห่างไกลและยากจน แต่สถานที่แบบนี้กลับเลี้ยงดูแม่นางที่มีจิตใจดีและใจกว้างแบบนี้ได้ ช่างเป็เื่ปาฏิหาริย์จริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจหยิบเอากระดาษในจดหมายออกมา เขาอ่านผ่านๆ หนึ่งรอบ และสั่งให้หลินลิ่วเป็ผู้ส่งสาร
ครอบครัวสกุลติงมีความสุขมากที่ได้รับจดหมายจากลูกสาว เมื่อเห็นว่าเป็จดหมายและสูตรอาหาร พวกเขาก็รีบส่งไปให้พี่รองที่อยู่ในเมือง
พี่รองสกุลติงเก็บภาพวาดสิบกว่าใบไว้ในอ้อมแขนของเขาราวกับสมบัติอันล้ำค่า เขาไม่แม้แต่จะกินข้าวสักคำแล้วยังวิ่งกลับไปที่ร้านทันที ส่วนแม่นางหลิวเองก็อดทนไม่ไหวเช่นกัน นางรีบเอาไส้ใส่แป้งเพื่อลองทำถังเปา [1] ทันที
แม่นางหลี่ว์คิดถึงลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแล้ว ถึงแม้ติงเหว่ยจะไม่อยู่ที่บ้านแต่นางก็ยังคงเป็ห่วงและนึกถึงคนในครอบครัวอยู่เสมอ แม่นางหลี่ว์อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา ในใจก็เอาแต่คำนวณวันคลอดลูก พอถึงเวลานั้นหากนางไปเยี่ยมเยียนที่จวนสกุลอวิ๋นก็คงจะเป็เื่เหมาะสมแล้ว
……
หลังจากที่ยุ่งมาสองวันร้านอาหารก็เริ่มขายอาหารรูปแบบใหม่ๆ ส่วนพี่รองสกุลติงก็เนื้อตัวมอมแมม ผมกระเซอะกระเซิงรีบร้อนกลับมาจากในเมือง เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเครื่องใช้ไม้รูปแบบใหม่เ่าั้ั้แ่ต้นจนจบแต่ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ไม่เข้าใจ ในที่สุดจึงอดไม่ได้ที่จะไปจวนสกุลอวิ๋นอีกครั้ง
ครานี้พี่รองสกุลติงเจอกับท่านลุงอวิ๋นที่เพิ่งกลับจากข้างนอกมาพอดี เมื่อท่านลุงอวิ๋นนึกได้ว่าแม่นางติงทำงานหนักมาหลายวันแล้วและสีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไร ดังนั้นเขาจึงบอกว่า “น้องชายเ้ากลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปส่งแม่นางติงกลับไปอยู่บ้านหนึ่งวัน หากเ้ามีเื่อะไรก็ค่อยพูดคุยตอนนั้นเถอะ”
“จริงหรือ?” พี่รองสกุลติงดีใจเป็อย่างมาก เขาคำนับขอบคุณหลายครั้งจากนั้นก็วิ่งกลับบ้านเพื่อไปบอกข่าวดี
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ติงเหว่ยกินข้าวเป็เพื่อนกงจื้อิเสร็จนางก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองได้รับอนุญาตให้ลากลับบ้านได้หนึ่งวัน นางรู้สึกประหลาดใจแต่ก็กังวลใจอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
ในทางกลับกันท่านลุงอวิ๋นกลับพูดปลอบใจว่า “ในจวนยังมีคนอีกตั้งมากมาย คงไม่ถึงขั้นดูแลนายน้อยไม่ได้หรอก เ้ากลับไปพักผ่อนสักวันเถอะ!”
กงจื้อิไม่ได้เกลี้ยกล่อมอะไร แต่กลับถามท่านลุงอวิ๋นว่า “เ้าเตรียมของไว้หรือยัง?”
“ข้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” ท่านลุงอวิ๋นรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ผ้าไหมเนื้อดีสองผืน และใบชาอีกสองจิน ของทั้งหมดเพิ่งส่งมาใหม่จากทางใต้”
กงจื้อิพยักหน้า และพูดอย่างราบเรียบว่า “่นี้เ้าทำงานหนักมาก กลับไปเดินเล่นสักหน่อยเถอะ”
เมื่อติงเหว่ยได้ฟังเช่นนี้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมา นางยืนกรานที่จะคำนับ จากนั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจับมือประคองไปกับอวิ๋นอิ่งเพื่อเดินทางกลับบ้านครอบครัวสกุลติง
……
แม่นางหลี่ว์ไม่ทันรอให้ฟ้าสางก็ไปยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว นางเห็นเงาของลูกสาวแต่ไกลๆ จึงรีบวิ่งเข้าไปรับนางทันที
“เหว่ยเอ๋อร์ ในที่สุดเ้าก็กลับมาแล้ว! รีบให้แม่ดูเ้าเร็วเข้า ดูไม่เลวเลยทีเดียว เ้าอ้วนขึ้นแล้ว!”
เมื่อติงเหว่ยเห็นแม่ของนางเดินวนรอบตัวนางไปด้วยและเช็ดน้ำตาไปด้วย รอบดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็สีแดงอย่างอดไม่ได้
“ท่านแม่ ใน่นี้ข้าเองก็กินดีอยู่ดี แล้วจะไม่ให้อ้วนขึ้นได้ยังไงกัน?”
แม่นางหลี่ว์จับมือลูกสาวแล้วเดินกลับไปที่บ้าน ปากก็เอาแต่บ่นว่า “เ้าเด็กคนนี้นี่ ในโลกนี้จะมีพ่อแม่คนไหนไม่เป็ห่วงลูกตัวเองบ้างละ พ่อเ้ากลับมาบอกว่าที่อยู่ของเ้าดีขนาดไหน คนสกุลอวิ๋นปฏิบัติต่อเ้าดียังไง แต่แม่ไม่สามารถเจอเ้าได้ทุกวัน ทำให้แม่มักจะนอนหลับไม่ค่อยสนิท”
“ท่านแม่ ท่านใช้ชีวิตให้สบายใจอย่าได้กังวลไปเลย ข้าอยู่ดีกินดีจะตายไป”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่พวกเขาก็เข้าไปยังสนามในบ้าน เมื่อคนในบ้านได้ยินเสียงก็พากันเดินออกมาทั้งหมด ต้าเป่าที่อ้วนขึ้นไม่น้อยพุ่งออกมาราวกับะุปืนใหญ่น้อยๆ และเขาก็ยังอยากพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของท่านน้าแต่ถูกแม่นางหลี่ว์และคนอื่นๆ รีบช่วยกันเข้าไปหยุดเอาไว้เสียก่อน เ้าเด็กอ้วนเสียใจจนยกมุมปากของเขาขึ้นมา ทำให้ติงเหว่ยเคาะไปที่หน้าผากของเขาสองทีอย่างตลกๆ จากนั้นนางก็หยิกแก้มของฝูเอ๋อร์ที่แสนจะว่านอนสอนง่าย และหยิบเอาฮวาเซิงถังออกมาสองถุง ทำให้เด็กทั้งสองคนมีความสุขขึ้นมาในทันที
ครอบครัวเข้ามาในบ้านพลางหัวเราะและคุยเล่นกัน ผู้าุโติงมองลูกสาวของเขาอย่างพิจารณา เมื่อเขาเห็นว่านางอ้วนๆ ขาวๆ ก็รู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง จากนั้นเขาก็เริ่มสูบยาสูบอีกครั้ง
แม่นางหลี่ว์จ้องไปที่เขาแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “รีบเก็บบุหรี่เข้าไปเดี๋ยวนี้ อย่ามาทำให้ลูกสาวหายใจไม่สะดวก!”
ผู้าุโติงหน้าแดงก่ำ เขาไอแห้งๆ สองสามครั้งจากนั้นก็เก็บปล้องยาสูบไปทันที แม่นางหลิวกับแม่นางหวังสบตากันครั้งหนึ่ง ในใจพวกนางต่างก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย ความรักที่ผู้าุโติงมีให้กับลูกสาวและลูกสะใภ้ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อคิดถึงเื่การค้าขายของร้านค้าทั้งสองร้านขึ้นมา พวกนางก็เก็บซ่อนความอิจฉาและน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ หากว่าลูกสาวของนางทำได้เช่นนี้เกรงว่าพวกนางคงจะลำเอียงมากกว่าพ่อและแม่ของสามีด้วยซ้ำ
อวิ๋นอิ่งยืนฟังอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง แล้วนางก็มองไปรอบๆ สนามหญ้า เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายใดๆ นางจึงส่งตะกร้าไปให้ติงเหว่ยจากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวคำอำลา
ครอบครัวสกุลติงอยากให้อวิ๋นอิ่งอยู่กินอาหารเย็นด้วย แต่นางปฏิเสธและตกลงกันว่าเมื่อถึงเวลาจะกลับมารับติงเหว่ย จากนั้นนางก็เดินออกไป
ติงเหว่ยเดาว่าอวิ๋นอิ่งคงอยากจะให้นางพูดคุยกับครอบครัวได้อย่างสบายใจ ดังนั้นนางจึงไม่ได้รั้งอวิ๋นอิ่งเอาไว้ จากนั้นก็หยิบตะกร้าที่ข้างในมีผ้ากับใบชาอยู่ส่งให้ท่านแม่ ใบชาเป็ของชั้นดีอย่างแน่นอนเพียงดมกลิ่นก็รู้สึกหอมชื่นใจ ส่วนผ้าไหมเองก็ดีมากเช่นกัน ทั้งสีสันและลวดลายล้วนเหมาะเอาไว้ทำเสื้อผ้าให้วัยเช่นแม่นางหลี่ว์ แม่นางหลิวและแม่นางหวังก็มีไหวพริบไม่เบารีบอาสาเย็บผ้าให้ พวกนางพากันเอาใจจนแม่นางหลี่ว์ยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก
ในขณะที่เหล่าสตรีกำลังคุยกัน พวกนางก็หยิบเสื้อผ้าตัวเล็กๆ และเครื่องนอนที่พวกเขาเก็บเอาไว้ใน่นี้ออกมาให้ติงเหว่ยดูทีละตัว ผู้าุโติงและลูกชายของเขาก็ไม่ได้พูดอะไรแทรกขึ้นมา เป็อย่างที่คาดไว้เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ด้วย คนในครอบครัวก็พูดคุยกันอย่างผ่อนคลายมากขึ้น
หลังจากที่แม่นางหลี่ว์มอบหมายงานเย็บผ้าเสร็จแล้ว นางก็ถามติงเหว่ยอย่างละเอียดั้แ่เื่อาหารการกิน เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการเดินทางของนางทั้งหมด จนในที่สุดพี่รองสกุลติงก็ร้อนใจจนแทบจะควันออกหู
ผู้าุโติงก็พูดเตือนฮูหยินขึ้นมาว่า “นี่ก็จะเที่ยงวันอยู่แล้ว เ้ารีบไปหาอะไรมาให้ลูกเ้ากินเร็ว ลูกรองยังมีเื่จะปรึกษากับลูกสาวอยู่อีกนะ!”
แม่นางหลี่ว์จ้องไปที่ผู้าุโติงและลูกชายที่ทำใจดีสู้เสืออยู่อย่างน่าโมโห นางปล่อยมือลูกสาวอย่างไม่เต็มใจแล้วจึงพาลูกสะใภ้ทั้งสองเข้าไปเตรียมอาหารกลางวันในห้องครัว
พี่รองวางกระดาษและพู่กันไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบเอาภาพที่ติงเหว่ยส่งมาให้เ่าั้ออกมา พี่ชายและน้องสาวค่อยๆ ปรึกษาหารือกันทีละจุด ส่วนผู้าุโติงและพี่ใหญ่ฟังอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ทยอยกันออกไปเดินเตร่ที่ทุ่งนา ปีนี้ฝนตกดีมากหากอีกสองเดือนข้างหน้ายังคงราบรื่นเช่นนี้ รับรองว่าฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวมากมาย
น่าเสียดายที่เกิดาครั้งใหญ่เมื่อสองปีก่อน และแม้แต่ตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในฤดูใบไม้ผลิก็ยังไม่มีการลดหย่อนภาษีของผลผลิตทางการเกษตร ไม่ว่าจะผลิตพืชผลได้มากสักเพียงใดก็ต้องถูกส่งมอบไปมากกว่าครึ่ง หากเป็เมื่อปีก่อนๆ ครอบครัวคงต้องประหยัดมัธยัสถ์เป็อย่างมาก ทว่าตอนนี้พวกเขาไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว
โอ่งเก็บพืชผลและธัญพืชมากมายในบ้านล้วนถูกใส่ไว้จนเต็ม ห้องใต้ดินข้างใต้บ้านก็มีเมล็ดข้าวโพดอีกตั้งสิบโอ่ง นับประสาอะไรกับปีที่ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ต่อให้จะมีภัยพิบัติและาเกิดขึ้นครอบครัวเขาก็ยังสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยเป็เวลาถึงสองปี
เื่ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็เพราะครอบครัวของเขามีลูกสาวดีๆ แต่เมื่อนึกถึงเื่ที่นางตั้งครรภ์ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ท่านผู้าุโติงก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง…
……
โต๊ะกินข้าวของครอบครัวสกุลติงไม่ได้คึกคักอย่างนี้มาเป็เวลานานแล้ว แม่นางหลี่ว์รู้สึกมีความสุขมาก นางโบกมือให้รวมโต๊ะทั้งสองตัวเข้าด้วยกันเพื่อทำเป็โต๊ะใหญ่ตัวเดียว จากนั้นทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมวงกินข้าวกัน
ผู้าุโติงและลูกชายทั้งสองคนพากันรินเหล้าชั้นดีออกมาดื่ม และในชามของต้าเป่ากับฝูเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ ปากเล็กๆ ของพวกเขามันวาวไปด้วยน้ำมัน
แม่นางหลี่ว์เอาแต่วุ่นอยู่กับการตักกับข้าวให้ลูกสาว เพราะกลัวว่านางจะกินไม่ได้
ติงเหว่ยเองก็ไม่อยากให้แม่ของนางกังวล ถึงแม้นางจะไม่ค่อยอยากอาหารแต่ก็พยายามกินข้าวสักหนึ่งชาม ทำให้คนในครอบครัวที่เห็นต่างก็พากันยิ้มออกมา
ผ่านไปสักพักหนึ่งโต๊ะกินข้าวก็ถูกยกออกไป แม่นางหลิวและแม่นางหวังไปล้างจาน ส่วนแม่นางหลี่ว์ก็ประคองลูกสาวเข้าไปนอนในห้อง แม่ลูกคู่นี้พากันคุยอย่างสนิทสนม และแน่นอนว่าพวกนางก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
ติงเหว่ยที่กำลังตั้งครรภ์พูดคุยได้ครู่หนึ่งก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว แม่นางหลี่ว์จัดผมให้ลูกสาวของนางด้วยความรัก ในมือก็ถือพัดแกว่งไปมาไม่หยุด
เมื่อติงเหว่ยตื่นขึ้น พระอาทิตย์ก็กำลังตกทางทิศตะวันตกแล้ว นางเงยหน้ามาเห็นท่านแม่นั่งหลับอยู่ข้างเตียง ในมือก็ถือพัดที่เกือบจะตกแหล่มิตกแหล่ ในใจนางรู้สึกทั้งอบอุ่นและสงสาร หากจะพูดกันขึ้นมาแล้วในยุคสมัยนี้สตรีเช่นนางถือว่าเป็สตรีที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์มากที่สุด แต่ท่านแม่กลับไม่เคยแม้แต่จะโกรธนาง ทั้งยังรักนางโดยไม่หวังอะไรตอบแทนเลย แบบนี้จะไม่ให้นางรู้สึกซาบซึ้งและผูกพันได้อย่างไร…
“ท่านแม่ ต่อไปข้าจะตั้งใจทดแทนบุญคุณของท่านให้ดีอย่างแน่นอน”
“เอ๋?” แม่นางหลี่ว์ที่กำลังสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินลูกสาวพูด และนางก็ถามว่า “ทำไมเ้าตื่นแล้วล่ะ รู้สึกร้อนอย่างนั้นหรือ? มา เดี๋ยวแม่จะพัดให้เ้าเอง”
ติงเหว่ยกอดแขนแม่ของนาง และพยายามอดกลั้นอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงความเ็ปในแววตาของนาง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ ข้าตื่นแล้ว ข้าไม่ได้หลับสบายเช่นนี้มานานแล้ว ยังไงท่านแม่ของข้าก็ยังคงรักข้าที่สุด”
“เ้าเด็กโง่ เ้าเป็ลูกสาวของแม่นะ ถ้าแม่ไม่รักเ้าแล้วจะให้ไปรักใคร?” แม่นางหลี่ว์ช่วยจัดชุดที่มีรอยยับของลูกสาว และถามว่า “ตอนเย็นเ้าอยากกินอะไร เดี๋ยวแม่จะได้ทำให้กิน”
-----------------------------------------
[1] ถังเปา 汤包 หมายถึง ซาลาเปาน้ำซุปของซูโจวมีลักษณะคล้ายกับเสี่ยวหรงเปา(小笼包) ของเซี่ยงไฮ้