“ท่านผู้เฒ่ากลับจากไปเช่นนี้?”
ขณะยืนเดียวดายบนยอดเขา ไป๋หยุนเฟยมองตามทิศทางที่เกออี้หยุนสาบสูญไปด้วยท่าทีงงงัน
รอบด้านที่พลันกลับกลายเป็มืดสลัวปลุกไป๋หยุนเฟยสะดุ้งรู้สึกตัว เมื่อพบว่าไฟที่ลอยค้างในอากาศค่อยๆดับมอดลง
“ไฉนท่านจึงจากไปอย่างกะทันหัน?... ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าต้องมอบวัตถุิญญาและเคล็ดิญญาแก่ข้าอีกครั้ง หรือไม่ก็ยอมถ่ายทอดพลังิญญาเสริมสร้างพลังการฝึกปรือให้ข้า อย่างน้อยก็ต้องกระทั่งบรรลุด่านภูติิญญาไม่ใช่หรือ?” เพราะเหตุใดก็ไม่ทราบ ความคิดเหล่านี้กลับปรากฏขึ้นในจิตใจของไป๋หยุนเฟยอย่างกะทันหัน
“เอ่อ ไฉนข้าจึงมีความคิดละโมบเช่นนี้ได้...?” ไป๋หยุนเฟยสะดุ้งใพร้อมกับหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะปีนขึ้นบนต้นไม้ใหญ่เตรียมจะพักผ่อน
“คืนนี้ข้ากลับโชคดีนักที่ได้พบพานผู้าุโเกออี้หยุน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มเดินทางต่อ ครานี้ต้องไปถึงเมืองชุ่ยหลิวให้ได้โดยเร็ว...”
… … … …
ที่เชิงเขา เกออี้หยุนเดินอย่างเชื่องช้าสองมือไพล่หลัง แม้ก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าแต่เพียงไม่กี่ก้าวกลับเคลื่อนที่ไปได้หลายร้อยวา
“ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับมันมากเกินไป จนถึงยามนี้ความช่วยเหลือจากข้ายังคงอยู่ในขอบเขตของ‘วิถีชะตา’ แต่หากยื่นมือช่วยเหลือมากกว่านี้เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ต่อไปข้าต้องระวังกว่านี้...” เกออี้หยุนถกเถียงกับตนเองในใจขณะก้าวเดินไป “สำหรับการฝึกปรือที่รวดเร็วน่าตระหนกของมัน ข้าไม่สมควรสอดมือยุ่งเกี่ยวอีก ไม่ว่ามันจะมีความลับเช่นไร ก็นับไม่เป็ภัยอันใดต่อสำนักชะตาลิขิตข้า...”
“นอกจากไป๋หยุนเฟยแล้ว ยังมีคนอีกผู้หนึ่งนามหลี่เฉิงเฟิง หากว่าที่มันกล่าวเป็เื่จริง...” เกออี้หยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย “คราที่ข้ามาถึงมณฑลฉิงหยุน มิคาดว่าิญญาชะตาของข้ากลับไม่ชี้นำไปหาผู้มีพร์ในการฝึกปรือิญญาอันล้ำเลิศ... แต่เช่นนี้ก็ดี เมื่อข้าทราบเื่คนผู้นี้จากไป๋หยุนเฟย หมายความว่าอยู่นอกเหนือจากขอบเขตของการชี้นำจากิญญาชะตา ฉะนั้นข้าย่อมสามารถกระทำเื่ราวได้มากหลาย หากเป็เช่นนั้น...”
“อย่างไรซะ ไม่ว่าสิ่งใดที่จะสามารถช่วยเหลือสำนักชะตาลิขิตข้าเผชิญหายนะในอนาคตได้ ข้าจะไม่ยินยอมละทิ้งโอกาสที่จะได้มาอย่างแน่นอน!”
… … … …
ยามบ่าย สองวันต่อมา ยามที่ไป๋หยุนเฟยมองเห็นถนนกว้างใหญ่อีกครา ดวงตามันเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำตา --- ในที่สุดมันมาถึงเส้นทางปกติได้แล้ว!
หลังจากย่ำเท้าลงถนนหลักที่ไม่อาจจะหลงทางได้อีก ในใจไป๋หยุนเฟยก็ปลาบปลื้มไม่น้อย มันก้าวเดินพลางชมดูรอบด้าน มองเห็นแม่น้ำคดเคี้ยวทอดยาวริมถนนและต้นหลิวเรียงรายเป็เส้นสายราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ก็ลอบถอนหายใจด้วยอารมณ์ความรู้สึก “มิน่าเล่า ที่นี่จึงเรียกเมืองชุ่ยหลิว(หลิวขจี) ต้นหลิวช่างมากมายนัก... พูดถึงเื่นี้ที่นี่ช่างตั้งชื่อได้เกียจคร้านนัก ที่แห่งนี้มีต้นหลิวมากมายจึงเรียกเมืองชุ่ยหลิว เช่นนั้นที่ใดมีต้นสนมากมายย่อมต้องเรียกเป็เมืองชางซ่ง(เมืองสนเขียว) และเรียกที่ซึ่งต้นหยางมากมายว่าเมืองไป๋หยาง(เมืองต้นหยางขาว)... ช่างเป็การตั้งชื่อที่เรียบง่ายนัก...”
ขณะปล่อยจิตใจล่องลอยไปไป๋หยุนเฟยก็เข้าสู่เมืองอย่างเชื่องช้า แน่นอนว่ามันต้องหยิบหมวกฟางมาสวมใส่อีกครา --- แม้จะไม่ปรากฏวี่แววอันตรายอันใดที่นี่ แต่มันก็สมควรระมัดระวังให้มาก
กระนั้น ความกังวลเช่นเดียวกับยามที่เข้าสู่เมืองไป๋เฟิงเมื่อคราก่อนกลับไม่บังเกิดขึ้นกับไป๋หยุนเฟย อาจบางทีเพราะมันออกจากเมืองไป๋เฟิงโดยไร้เื่ราว หรืออาจเพราะที่แห่งนี้อยู่สุดขอบมณฑลฉิงหยุนแล้ว ยามนี้นอกจากตื่นตัวกับสถานการณ์โดยรอบแล้วไป๋หยุนเฟยยังชมดูทิวทัศน์รอบกายอย่างเพลิดเพลินเพลิดเพลิน
หลังจากเข้าสู่ตัวเมือง ไป๋หยุนเฟยต้องตื่นตากับความมั่งคั่งรุ่งเรืองของเมืองชุ่ยหลิวแห่งนี้ไม่น้อย คราก่อนที่อยู่ในเมืองไป๋เฟิงเนื่องเพราะเดินทางอย่างเร่งรีบอีกทั้งเมื่อไปถึงก็ใกล้พลบค่ำ มันจึงไม่อยู่ในอารมณ์จะ‘ชื่นชม’กับทิวทัศน์รอบเมืองเช่นยามนี้ ดังนั้นแล้วครานี้นับเป็ครั้งแรกที่ไป๋หยุนเฟยได้ชื่นชมบรรยากาศในเมืองใหญ่อย่างแท้จริง
ถนนหนทางที่กว้างขวางเพียงพอให้รถม้าวิ่งเคียงกันได้ถึงสี่คัน สองฟากข้างถนนเรียงรายด้วยร้านค้าทุกประเภทดูโอ่โถงเลิศหรู ไป๋หยุนเฟยถึงกับรู้สึกว่าสิ่งของที่ซื้อจากแผงลอยข้างถนนยังคุณภาพดีกว่าสิ่งของทั้งหลายจาก‘ร้านใหญ่’ในเมืองลั่วซีเสียอีก ท่ามกลางผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาทั้งเสียงพูดคุยจอแจและเสียงร่ำร้องะโไม่ขาดสาย สิ่งที่ทำให้มันคึกคักอักโขที่สุดก็คือ...
“สาวงามมากมายนัก...” ไป๋หยุนเฟยอดไม่ได้ต้องทอดถอนใจด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลังจากยืนตื่นตะลึงอยู่กลางถนนครู่ใหญ่
ไม่ทราบเพราะเหตุใดไป๋หยุนเฟยกลับรู้สึกชื่นชมสาวงามรูปร่างทรงเสน่ห์ที่ประชันขันแข่งกันรอบกาย กลิ่นหอมของเครื่องประทินโฉมฟุ้งกระจายไปทั่วถนนทั้งเส้น หญิงสาวที่งดงามเหล่านี้เดินทอดน่องผ่านไปมา บ้างก็อยู่ลำพังบ้างก็มีผู้ร่วมทาง ได้ยินเสียงสดใสราวแก้วผลึกแว่วมายามที่พวกนางสนทนา
ภายใต้การจับจ้องอัน‘อุกอาจ’ของไป๋หยุนเฟย หญิงสาวที่หิ้วตะกร้าในมือรีบสาวเท้าเดินผ่านมันด้วยใบหน้าแดงซ่าน ขณะมองตามเงาหลังของนางลับตากับฝูงคนไป๋หยุนเฟยก็อดไม่ได้ต้องทอดถอนใจออกมา
กระนั้น สีหน้าไปหยุนเฟยพลันแปรเปลี่ยนเป็ประหลาดพิกล มันถอนสายตากลับมาพร้อมกับนิ่งงันในภวังค์อยู่เนิ่นนานก่อนจะสั่นศีรษะโดยแรงพลางกล่าวพึมพำ “เมื่อครู่ข้าทำอะไร? เป็ไปไม่ได้ ในอดีตข้าต้องไม่ทำเช่นนี้แน่ เมื่อครู่ยามเผชิญหน้ากับหญิงสาวนางนั้น มิคาดว่าข้าจะมีความคิดอันกรุ้มกริ่มกับพวกนางราวกับว่าเป็เื่ปกติ...”
ขณะพึมพำถึง‘ความผิดปกติ’ของความคิด ไป๋หยุนเฟยก็มุ่งหน้าไปยังใจกลางเมืองอย่างเชื่องช้า ยามนี้มันหมดสิ้นความกระตือรือร้นที่จะชื่นชมความงามสตรีต่อไปอีก
หลังจากรับประทานอาหารในภัตตาคารที่หรูหรา ไป๋หยุนเฟยจึงออกมาเดินเตร็ดเตร่บนท้องถนนเตรียมจะจับจ่ายซื้อหาสิ่งของให้เต็มที่ก่อนจะพักแรมสักคืน ค่อยออกเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้
ขณะเดินออกจากร้านเครื่องประดับ ไป๋หยุนเฟยััแหวนช่องมิติบนมืออย่างพึงพอใจพลางครุ่นคิดกับตนเอง “แม้ว่าจะราคาสูงไปบ้าง แต่ก็ล้วนเป็เครื่องประดับ‘ชั้นดี’ ยามนี้ข้าสมควรเริ่มค้นคว้าการอัพเกรดเครื่องประดับได้แล้ว...”
“เ้าคนต่ำช้า ห้ามมิให้แตะต้องคุณหนูของข้า!”
“โอ เ้าช่างเป็สาวใช้ที่ดุร้ายนัก ข้ายังมิได้ทำอันใดกับคุณหนูเ้า เพียงแต่เห็นว่าคุณหนูเ้าดูราวกับป่วยไข้จึงหวังดีคิดจะพาไปหาหมอตรวจรักษา ไฉนเ้าจึงกล่าวหาว่าคุณชายเช่นข้าเป็คนต่ำช้า?”
ทันทีที่ไป๋หยุนเฟยเดินออกจากร้านเครื่องประดับ ก็ได้ยินเสียงด่าทออย่างเกรี้ยวกราดจากหญิงสาวและน้ำเสียงที่หยิ่งยโสของบุรุษผู้หนึ่ง
มันหยุดเท้ามองไปตามเสียงก็พบเห็นชายหนุ่มในชุดเลิศหรูท่าทีหยิ่งยโสพร้อมด้วยผู้คนสี่คนในเครื่องแต่งกายเช่นผู้รับใช้กำลังขวางทางหญิงสาวสองคนที่ปากตรอกแห่งหนึ่งทางด้านขวาของร้านเครื่องประดับ
เบื้องหน้าชายหนุ่มเป็หญิงสาวแต่งกายเช่นหญิงรับใช้ แม้อีกฝ่ายจะมีจำนวนมากกว่าแต่นางก็ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามนางกลับมองฝ่ายตรงข้ามอย่างขุ่นเคืองด้วยสีหน้าเ็า
ด้านหลังของนางเป็หญิงสาวในชุดสีครามสดใสอาศัยกำแพงด้านข้างประคองร่างยืนอย่างยากเย็น นางก้มศีรษะต่ำค้อมตัวลง ผมยาวสลวยปิดบังใบหน้าจนไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัด ดูราวกับนางเจ็บป่วยและกำลังกล้ำกลืนความเ็ปอย่างยิ่ง
“เฮอะ! เป็เพียงสาวใช้ต่ำต้อยอย่าได้ทำลายความหวังดีของข้า ข้าคือคุณชายรองหลง ในเมืองชุ่ยหลิวแห่งนี้ทราบดีว่าข้ายินดียื่นมือช่วยเหลือผู้คน เ้าดู คุณหนูเ้าเจ็บป่วยหนักจนไม่อาจเดินเหิน เ้าควรยอมให้ข้าพานางไปรักษาที่บ้าน อย่าได้กังวลข้าจะรักษานางให้หายแน่นอน อีกอย่างข้าจะทะนุถนอมนาง...” ยามกล่าววาจาน้ำเสียงมันแปรเปลี่ยนไปอยู่บ้างฟังดูคล้ายกับแฝงเจตนาอันชั่วร้ายเอาไว้
“ไม่ว่าที่ไหน ก็ล้วนปรากฏคนต่ำช้าสารเลวเช่นนี้...” ไป๋หยุนเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางครุ่นคิดอย่างสงสัย “อีกอย่าง ไฉนข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้นัก? แล้วคำพูดที่ปรากฏในความคิดข้า...’น้ำเน่า’? นี่หมายความว่าอย่างไร?”
ขณะที่ขัดขวางกลุ่มคนตรงหน้าไม่ให้เข้ามาใกล้ สาวใช้ผู้นั้นก็เหลือบตามองหญิงสาวด้านหลังด้วยแววตากังวลก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นแค้น “เฮอะ เ้าคนต่ำช้า! อย่าหวังว่าจะทำอันใดต่อคุณหนูข้าได้! หากไม่เจ็บป่วยอย่างกะทันหัน ด้วยฝีมือของคุณหนูหากจะบดขยี้เศษสวะอย่างพวกเ้านับว่าง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ! ขอบอกต่อเ้าคุณหนูข้าเป็ผู้ฝึกปรือ...”
“เฮอะ! อย่าหวังจะขู่ขวัญข้าด้วยคำพูดไม่กี่คำ! เ้าทั้งคู่ล้วนไม่คุ้นหน้า คาดว่าเพิ่งมาท่องเที่ยวที่เมืองชุ่ยหลิวกระมัง? มิน่าเล่าจึงไม่ทราบว่าข้าเป็ใคร ขอบอกต่อเ้า ในเมืองชุ่ยหลิวแห่งนี้แม้แต่สำนักหลิวขจีก็ยังต้องไว้หน้าตระกูลหลงของข้า!” บุรุษผู้นั้นเอ่ยปากสอดคำสาวใช้ก่อนจะเริ่มโอ้อวดตนเองต่อ
สาวใช้ที่ดื้อรั้นนั้นครานี้ถึงกับนิ่งงันไปราวกับจะตื่นตะลึงอยู่บ้าง อีกทั้งนางห่วงใยอาการของคุณหนูที่ด้านหลัง ยามนี้สีหน้านางจึงฉายแวววิตกกังวลอย่างชัดเจน พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตา...
ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา ยามนี้ล้วนหลีกหนีไปไกล ราวกับพวกมันกริ่งเกรงคุณชายรองหลงผู้นี้อย่างยิ่ง
“เอาเถอะ อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระแล้ว ข้ายังต้องเร่งมือนำคุณหนูเ้าไปรักษา หลีกไปให้แก่ข้าได้แล้ว!” บุรุษผู้นั้นราวกับไม่อาจอดรนทนรอได้อีกต่อไป จึงผลักสาวใช้ตรงหน้าออกไปด้านข้างก่อนจะสั่งให้บริวารคร่ากุมนางไว้ไม่ให้หลบหนีไปได้
“ฮ่า ฮ่า คุณหนูอย่าได้หวาดกลัว เพียงยินยอมให้ข้าพาท่านกลับบ้านไป ข้าจะให้หมอที่เก่งกาจที่สุดรักษาท่าน...” คุณชายรองหลงกล่าวด้วยท่าที‘เป็กันเอง’ขณะมองดูหญิงงามในชุดสีครามสดใสที่เอนกายพิงกำแพง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของนาง
กระนั้น ชั่วขณะที่มือจะััถูกหญิงสาว กลับมีมืออีกข้างเอื้อมมายึดกุมแขนมันไว้ไม่ให้ยื่นไปต่อได้
“โอ?” คุณชายรองหลงงงงันวูบ เมื่อหันศีรษะไปมองก็พบเห็นชายหนุ่มแต่งกายธรรมดาด้วยเสื้อผ้าสีเทาสวมหมวกฟางขาดหลุดลุ่ยคว้าจับแขนมันเอาไว้พร้อมกับมองมันด้วยสายตาเหยียดหยาม
“เ้าเป็ใคร? นี่ไม่ใช่เื่ของเ้า!” หลังจากรู้สึกตัวคุณชายรองหลงก็มีปฏิกิริยาในบัดดล คาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าขัดขวางมัน!
แววตาเหยียดหยามของไป๋หยุนเฟยเข้มข้นขึ้น พร้อมกับเพิ่มกำลังที่มือเล็กน้อยผลักออกไป คุณชายรองหลงราวกับไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะกล้าลงมือต่อมันก่อนจึงถูกผลักโงนเงนถอยหลังไม่หยุด กระทั่งบริวารเข้ามาช่วยประคองไว้ จึงสามารถตั้งหลักได้
“เ้า! เ้าคนอวดดี! หรือเ้าไม่ทราบว่าข้าเป็ผู้ใด?! หรือเ้าไม่ทราบว่าบิดาข้าคือผู้ใด? บิดาข้านามว่าหลงกัง!! ยามนี้เ้ากล้าล่วงเกินข้า ข้าจะให้เ้าทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตาย!” คุณชายรองหลงขู่คำรามขณะจ้องเขม็งยังไป๋หยุนเฟยด้วยใบหน้าแดงฉาน
“คำพูดเช่นนี้... หรือเ้าไม่คิดว่ามันซ้ำซาก?” ไป๋หยุนเฟยเบะปากกล่าวอย่างเหยียดหยาม
