ตอนค่ำเมื่ออ๋าวหรานกลับไปกินข้าวถึงได้รู้ว่าเื่ของจิ่งฝานกับหลางฉาแพร่สะพัดไปทั่วทั้งตระกูลจิ่งแล้ว
เหตุการณ์เป็เช่นนี้...
นายน้อยตระกูลจิ่งโอบหญิงงามอย่างเปิดเผยอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ คนทั้งสองส่งสายตาสื่อภาษาใจกัน เ้ามองข้า ข้ามองเ้า แล้วยังกระซิบกระซาบแนบชิดกัน หัวเราะหยอกล้อกัน ราวกับว่าจะรักกันไปนานเป็พันปีหมื่นปี
นายน้อยที่รักษามารยาทอันดีมาตลอดจู่ๆ ก็ทำเช่นนี้ ทำให้ผู้คนตกตะลึงไม่น้อย เอาแต่เดากันว่าสตรีนางนี้มีสถานะอะไร
ต่อมามีข้อมูลที่พอจะเชื่อถือได้ สาวงามเย้ายวนคนนี้เดิมทีเป็คุณหนูตระกูลหนึ่ง น่าเสียดายที่ต่อมาที่บ้านประสบเคราะห์ภัยเข้า คนที่บ้านถูกฆ่าตาย ส่วนนางก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ดีที่ได้นายน้อยช่วยเอาไว้ นายน้อยตกหลุมรักนางั้แ่แรกพบ รักอย่างลึกซึ้ง สาวงามคนนี้ก็ถูกความหล่อเหลามีคุณธรรมของนายน้อยสยบเข้า สาบานว่าจะอยู่ร่วมเป็ร่วมตายกับนายน้อย
คนทั้งสองใจเดียวกัน ความสัมพันธ์หวานชื่น ไม่ยอมแยกจาก นายน้อยล้มพวกบรรดาคนชั่วทั้งหลายเพื่อไถ่ตัวแลกกับอิสระของหญิงงาม เดิมคิดว่าชีวิตที่มีความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่จะทำเช่นไรได้ ผู้นำตระกูลคิดว่านางเคยอยู่ในที่อโคจร ไม่คู่ควรกับนายน้อยตระกูลจิ่ง จึง้าให้เขาทั้งสองแยกจากกัน ถึงขนาดบังคับนายน้อยให้ทอดทิ้งผู้หญิงคนนั้น ไม่อย่างนั้นจะเอาชีวิตนางเสีย
นายน้อยที่ตกอยู่ในห้วงรักยากจะถอนตัว จะปล่อยให้นางในดวงใจต้องสิ้นลมหายใจได้อย่างไร จึงทำได้เพียงอดทนอย่างเ็ปแล้วตัดใจ คนทั้งสองยืนเคียงกันมองทิวทัศน์งดงามของตระกูลจิ่ง มีความสุขกับ่เวลาสุดท้าย สุดท้ายก็ลาจากกันอย่างไม่อาจตัดใจที่เวทีประลองนั่น นายน้อยก็แอบซ่อนน้ำตาแล้วจากไป
ส่วนแม่นางผู้นั้นก็ทุกข์ใจเป็อย่างยิ่ง เห็นที่ด้านล่างเวทีมีคนมองอยู่ก็ยิ้มโศกเศร้าให้กับคนเ่าั้ รอยยิ้มนั้นซีดขาวแต่กระแทกใจผู้คน แฝงไว้ด้วยความเ็ป ทำให้ผู้คนสงสารเป็อย่างยิ่ง
หลางฉา ‘ข้ายิ้มแบบนั้นก็เพราะเจ็บ’
สรุปก็คือ...โศกเศร้า ทดท้อใจเป็อย่างยิ่ง
เมื่ออ๋าวหรานฟังเื่เล่านี้จบก็เกือบสำลักน้ำลายตาย
เื่นี้ใครเป็คนแต่งเนี่ย ช่องโหว่เต็มไปหมด ตรรกะหน้าหลังไม่สัมพันธ์กัน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่นิสัยของจิ่งเหวินเหอผู้นั้น มาพบเจอเื่ราวความรักเช่นนี้จะต้องสนับสนุนเต็มที่แน่นอน ไม่เพียงจะเอาลูกชายตัวเองใส่ห่อส่งไปให้นาง แต่ยังจะแอบซาบซึ้งอยู่คนเดียวอีกด้วย
จินตนาการของคนพวกนี้ช่างเหลือเกินจริงๆ
จิ่งเซียงกินข้าวไปตบโต๊ะไป ด่าว่าหลางฉาว่าต้องมีเจตนาอื่นแน่ ตั้งใจแสดงท่าทางแบบนี้เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ยังมีพวกคนตระกูลจิ่งที่ไร้สมองพวกนั้นอีก จินตนาการล้ำเลิศถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่ไปเป็คนเล่านิทานในโรงน้ำชาเสีย
ท่าทางโกรธเกรี้ยวนี้ทำให้ชายหนุ่มทั้งสี่บนโต๊ะอาหารถึงกับสั่นสะท้าน ไม่พูดอะไรสักคำ แอบคีบอาหารจานข้างๆ ตัวเองไปอย่างเงียบเชียบ แล้วเคี้ยวเสียงเบาๆ
ส่วนเหตุใดถึงเป็สี่คนนั้น ก็เพราะวันนี้เหยียนเฟิงเกอถูกจิ่งจื่อลากมาด้วย เห็นว่าวันนี้เขาตามเหยียนเฟิงเกอทั้งวัน บังคับให้เหยียนเฟิงเกอสู้กับเขาเกือบยี่สิบสามสิบรอบ ส่วนผลสรุปนั้นกลับถูกจิ่งเซียงคิดว่าไม่จำเป็ต้องรู้จึงถูกตัดบทเสีย อ๋าวหรานใช้เม็ดข้าวบนตะเกียบคิดก็ยังรู้ว่าต้องแพ้ทั้งหมดแน่อยู่แล้ว แต่คิดว่าคงจะแพ้อย่างมีประโยชน์ ไม่เช่นนั้นจิ่งจื่อคงไม่ประดับรอยยิ้มไว้บนใบหน้าเช่นนี้
“ปัง....”
ทุกคนมองถ้วยข้างมือที่สั่นสะท้าน ก้มหัวกินข้าวไปอย่างเงียบๆ ในใจอ๋าวหรานคิดอยู่เพียงว่าเหตุใดวันนี้ถึงไม่กลับไปกินข้าวที่ห้องตัวเอง?
“พี่ ท่านก็เหลือเกิน ท่านจะยืนห่างจากนางหรือผลักนางออกไม่ได้หรืออย่างไร?”
จิ่งจื่อ ‘ได้ยินมาว่าเป็พี่จิ่งฝานที่เข้าไปใกล้นางก่อนนะ’
อ๋าวหราน ‘รอบที่สามแล้ว’
“อ๋าวหราน!”
“หา!” จู่ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ อ๋าวหรานตัวสั่นน้อยๆ ข้าเป็ผู้บริสุทธิ์นะ กินข้าวยังไม่มีเสียงเลย
“ไม่ใช่ว่าเ้าไปสนามประลองกับพี่ข้าหรือ? เหตุใดถึงไม่ดูไว้? หากพี่ข้าทิ้งเ้าไปแต่งงานกับสตรีอื่นแล้วละก็ ข้าจะคอยดูตอนนั้นว่าเ้าจะร้องไห้ก็ยังไม่มีแม้แต่ที่ให้ซบอก”
อ๋าวหรานรู้สึกว่าสายตาทุกคู่มองมาที่เขาทันใด ที่รุนแรงที่สุดก็มาจากเหยียนเฟิงเกอ
เฮ้อ เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว
อ๋าวหรานไม่มีเวลาไปจัดการกับจิ่งเซียง รีบหันไปอธิบายกับเหยียนเฟิงเกอ “ศิษย์พี่ เื่นี้เป็เื่เข้าใจผิด...”
จิ่งเซียง “ไม่ใช่เื่เข้าใจผิดสักหน่อย...”
อ๋าวหรานกุมขมับ “พูดแล้วเื่มันยาว ตอนค่ำกลับไปค่อยเล่าให้ท่านฟัง”
เหยียนเฟิงเกอพยักหน้าแล้วเริ่มกินข้าวอย่างช้าๆ อีกครั้ง
จิ่งเซียงส่งเสียงดังหึออกมาหนึ่งทีแล้วมองอ๋าวหราน “พี่ข้ากับแม่หลางฉาผู้นั้นตกลงเป็เช่นไรกันแน่ ข้าไม่เชื่อคำพูดไร้สาระของผู้อื่น”
อ๋าวหรานใจสั่นแล้วพูดว่า “เื่นี้ข้ารู้ช้ากว่าเ้าด้วยซ้ำ ตอนนั้นข้าไปโรงยา”
ถึงแม้จะไปหลังจากที่หลางฉามาแล้ว แต่เป็คนต้องรู้จักหลบหลีก รายละเอียดเล็กน้อยเช่นนี้ ข้ามๆ ไปได้
อ๋าวหราน “มันต้องเพียงเป็ข่าวลืออยู่แล้ว นี่ยังต้องคิดอีกหรือ วิธีจัดการกับข่าวลือที่ดีที่สุดก็คือไม่ต้องฟัง ไม่เชื่อ ไม่ส่งต่อ ผ่านไปสองสามวันก็เงียบแล้ว”
อ๋าวหรานไม่ใช่ผู้เห็นเหตุการณ์ จิ่งเซียงจึงทุกข์ใจอย่างมาก ข่าวที่ได้ยินมาก็ล้วนฟังมาจากผู้อื่น ถึงแม้จะรู้ดีว่าเป็เื่โกหก แต่ต้องมีความจริงอยู่บ้างแน่ ไม่อย่างนั้นไม่มีลมจะมีคลื่นได้อย่างไร
“เฮ้อ พี่ ท่านจะไม่ทำให้ข้าทุกข์ใจบ้างไม่ได้เลยหรือ? ท่านว่ามาสิ ท่านกับหลางฉาผู้นั้นมันเื่อะไรกัน?”
จิ่งฝานที่ั้แ่นั่งลงก็ไม่พูดอะไร แล้วยังไม่สนใจความโกรธเคืองของจิ่งเซียงแม้แต่น้อย จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เื่นี้…”
แค่จิ่งฝานอ้าปาก นอกจากเหยียนเฟิงเกอแล้ว คนที่เหลือก็อดหยุดตะเกียบไม่ได้ สายตามองไปทางเขาโดยอัตโนมัติแล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ จิ่งเซียงถึงกับยื่นหัวเข้าไปใกล้เลยด้วยซ้ำ
จิ่งฝานเงยหน้ามองอ๋าวหรานทีหนึ่ง สีหน้าราบเรียบดุจดั่งผิวน้ำ ริมฝีปากที่เป็โครงชัดเจนยกขึ้นเล็กน้อย อ๋าวหรานกลับรู้สึกเย็นขึ้นมาที่สันหลัง “เื่นี้ถ้าจะโทษก็ต้องโทษอ๋าวหรานที่ผลักดันข้า”
อ๋าวหราน “!!!”
ไร้สาระ! ใส่ร้ายกันเห็นๆ!
จิ่งเซียงพูดอย่างติดขัด “อ๋าว...อ๋าวหรานไม่ใช่ว่าไปแล้วหรือ?”
จิ่งฝานยกยิ้มเย็น “เ้าถามเขาดูว่าเขาไปตอนไหน”
อ๋าวหราน “...”
จิ่งเซียงหันศีรษะมามองอ๋าวหราน “???”
อ๋าวหราน “ข้า...ไม่ได้ผลักดันนะ”
จิ่งฝานส่งเสียงดังเฮอะออกมา “ตอบไม่ตรงคำถาม”
จิ่งเซียง “เช่นนั้นเ้าไปทำไม?”
อ๋าวหราน “ข้า...ค่อนข้างยุ่ง”
จิ่งจื่อ “...”
จิ่งเซียง “...”
เหยียนเฟิงเกอกินข้าวหมดไปชามหนึ่งแล้ว
เดิมคิดว่าคงจะถูกจิ่งเซียงสาดชาล้างสมองใส่แล้ว กลับไม่คิดว่าพอฟังจบแม่นางผู้นี้ก็สงบลง แล้วยังพูดด้วยสีหน้าอย่างมีเมตตาว่า “แหม ช่างเถิด ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร พวกเ้าก็อย่าเอาแต่โทษกันไปมาเลย รีบกินข้าวกันดีกว่า”
ทุกคน “...”
นี่มันอะไรกัน
จิ่งจื่อเลิกคิ้วส่งสายตาให้จิ่งเซียง ใช้สายตาถามนางว่าหมายความว่าอย่างไร
จิ่งเซียงส่งเสียงดังเฮอะอย่างโอหัง ถึงแม้นางจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้สึกว่าคงจะไม่เกี่ยวอะไรกับแม่หลางฉานั่นแล้ว
...
ตกกลางคืน
ที่เรือนตะวันออกของตระกูลจิ่ง
จิ่งเหวินซานเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง “หลางฉาอะไรนี่เป็ใครมาจากไหน?”
จิ่งเคอ “ฟังจากสำเนียง ไม่น่าจะใช่คนฝั่งตะวันออก เหมือนจะรู้จักกับจิ่งฝานั้แ่อยู่ที่หมู่บ้านล่างเขาแล้ว”
จิ่งเหวินซาน “มีประวัติความเป็มาอย่างไรก็ไม่รู้หรือ?”
จิ่งเคอส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ขอรับ เดิมทีเหมือนพวกเขาจะรู้จักกันระหว่างทาง ไม่คิดว่าวันนี้จะลือกันไปแบบนี้แล้ว”
จิ่งเหวินซานขมวดคิ้ว “แล้วที่จิ่งฝานจัดให้นางมาอยู่ในความรับผิดชอบของข้านี่มันอะไรกัน? หรือว่ามีแผนร้าย?”
จิ่งเคอตอบอย่างลังเล “คงไม่ขนาดนั้นกระมังขอรับ แค่สตรีอ่อนแอเพียงคนเดียว แล้วยังจัดให้อยู่ห้องเดียวกับเทพธิดาอีก จะทำอะไรได้?”
จิ่งเหวินซานนั่งลงบนเก้าอี้แล้วสะบัดชุด “ไม่มีทางเป็สตรีอ่อนแอแน่ หญิงงามผู้หนึ่งสามารถเดินทางจากที่อื่นมายังภาคตะวันออกได้ด้วยตัวคนเดียว แล้วยังไม่มีตรงไหนบุบสลาย ไม่มีทางเป็คนไร้พิษสงไปได้”
จิ่งเคออดพยักหน้าไม่ได้ “ข้าจะส่งคนไปสืบดูเดี๋ยวนี้”
จิ่งเหวินซานส่งเสียงดังอืมออกมาทีหนึ่ง พูดอีกว่า “ส่งคนไปจับตาดูไว้ด้วย”
“ขอรับ”
“สองสามวันมานี้จิ่งฝานมีการเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?”
จิ่งเคอ “สงบเงียบเป็อย่างยิ่ง ไม่ต่างกับปกติแม้แต่น้อย”
ยิ่งสงบเงียบจิ่งเหวินซานก็ยิ่งไม่วางใจ จิ่งฝานจู่ๆ ก็เห็นด้วยว่าให้จัดงานประลองยุทธ์ แล้วยังพูดถึงเื่เปลี่ยนตัวผู้นำตระกูลอีก หรือว่าจะเปลี่ยนนิสัยแล้วจริงๆ? จิ่งเหวินซานเคาะโต๊ะ “ไม่ถึงที่สุดก็อย่าเพิ่งวางใจ ไม่ว่าเขาจะไม่อยากเป็ผู้นำจริงหรือแค่หลอก ข้าก็จะทำให้มันเป็จริงให้ได้!”
“เื่อื่นๆ จัดการไปเป็อย่างไรบ้าง ยังมี เทียบเชิญส่งไปหรือยัง?”
จิ่งเคอตอบว่า “สิ่งที่ต้องซื้อก็ซื้อหมดแล้ว ส่วนสิ่งที่ต้องจองก็จองหมดแล้ว ส่วนการสร้างต่อเติมต่างๆ ก็เสร็จไปเกินครึ่งแล้ว คนรับใช้ในตระกูลจิ่งก็ลงงานทั้งหมด แล้วยังเชิญคนงานชั่วคราวมาด้วย เทียบเชิญตอนนี้น่าจะอยู่ระหว่างทางหมดแล้ว ที่ใกล้หน่อยเกรงว่าวันสองวันนี้ก็คงถึง ส่วนที่ไกลหน่อยเร่งม้าเต็มที่แล้วน่าจะต้องรอประมาณสี่ถึงห้าวัน”
จิ่งเหวินซานพยักหน้า “เื่เล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นก็รีบให้พวกเขาจัดการให้เสร็จเร็วๆ แต่อย่าทำงานลวกๆ หรือใช้ของชั้นเลว พวกนั้นมีคนแอบหาประโยชน์เข้าตัวบ้างหรือไม่?”
จิ่งเคอพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “พวกท่านลุงท่านอาทั้งหลายก็ล้วนมีทั้งสิ้นขอรับ แต่ดีที่ยังไม่เกินไปนัก ส่วนอาเจ็ดเกินไปสักหน่อย เงินทองเกือบครึ่งล้วนเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองหมด”
จิ่งเหวินซานอดตบโต๊ะไม่ได้ “เ้าพวกหนูเ้าเล่ห์ขี้ขโมย!”
จิ่งเหวินซานกัดฟันอย่างโกรธแค้น “หาโอกาสให้เขาเกิดเื่ขึ้นหน่อย แล้วค่อยโยนงานไปให้คนอื่นทำ”
จิ่งเคอพยักหน้า
“ไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปเถิด”
จิ่งเคอคารวะให้ แต่แล้วเมื่อกำลังจะออกไปก็กลับคิดอะไรขึ้นมาได้ “ท่านพ่อ เสี่ยวเซิ้งเหมือนจะมีข้อขัดแย้งกับคุณชายอ๋าวผู้นั้น ได้ยินมาว่าวันนี้คนทั้งสองยังสู้กันอีกด้วย”
จิ่งเหวินซานขมวดคิ้ว “ก็แค่ไอ้เด็กที่เหลือแต่ิญญา ให้อาลิ่วแอบไปจัดการเสีย”
จิ่งเคอลังเลแล้วตอบว่า “ตอนนี้เขาพักอยู่ที่เรือนของจิ่งฝาน เกรงว่าคงจัดการได้ไม่ง่ายดาย”
จิ่งเหวินซาน “เวลาปกติก็ต้องออกมาอยู่แล้ว หามุมลับๆ จัดการเสีย”
ดึกดื่นค่ำคืน สรรพชีวิตล้วนเงียบงัน
บ่อน้ำร้อนตระกูลจิ่ง...มีเงาคนสั่นไหว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้