“พวกนายเชื่อคำพูดของเจิ้งเทียนหู่ไหม?”
ทุกคนต่างเงียบกริบไม่พูดไม่จาั้แ่ออกจากบ้านเจิ้งเทียนหู่ หลังเดินออกมากันสักพักจนแยกกับเจิ้งเฉวียนกังและหวังหย่งชิ่ง ตำรวจใบหน้าดำแบนคนนั้นค่อยเอ่ยทำลายความเงียบ ถามคำถามที่เก็บงำไว้เกือบครึ่งค่อนวัน
คนอื่นๆ ไม่ตอบโต้ในทันที บ่งบอกว่าทุกคนล้วนตัดสินใจไม่ถูก ผ่านไปชั่วขณะ ตำรวจดวงตาเล็กก็เอ่ยด้วยความลังเล “ฉันว่าเขาใเสียขนาดนั้น ไม่เหมือนคนโกหกเลย”
“ก็เลยจะบอกว่ามีผีจริงๆ หรือไง?” ตำรวจร่างสูงผอมถามกลับเสียงเฉียบขาด “ความคิดของพวกนายอันตรายมากนะ บนโลกใบนี้มีผีที่ไหนกัน เป็ความเชื่องมงายทั้งนั้น!”
เื่ทำนองนี้ อาสามเจิ้งพูดลำบากจริงๆ เพราะอย่างไรเสียมันก็เกี่ยวข้องกับหลานชายของเขาเอง ตำรวจใบหน้าดำแบนจึงว่าขึ้น “งั้นนายบอกมาสิ ตัวอักษรมงคลสีแดงนั่นหายไปได้ยังไง? คนเห็นกันเต็มไปหมด…”
เสียงของเขาแ่เบาและค่อนข้างขาดความมั่นใจ แต่ดังพอจะได้ยินสิ่งที่ควรได้ยิน ทุกคนเงียบงันกันไปพักหนึ่ง
ในบรรดาคนทั้งกลุ่ม อาสามเจิ้งเป็คนเดียวที่เคยเรียนมัธยม เคยเข้ามหาวิทยาลัย จึงรู้ว่าบนโลกใบนี้มีวิทยาศาสตร์สาขาเคมีอยู่ พอคิดดูแล้วจึงลองคาดเดาดู “ใช้ยาพิเศษอะไรหรือเปล่า?”
ทุกคนหันขวับมามองเขา
อาสามเจิ้งกล่าวต่อ “ฉันเคยได้ยินเพื่อนนักศึกษาคณะเคมีสมัยเรียนมหา’ลัยเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนมีการแสดงปาหี่ที่นักบวชลัทธิเต๋าใช้หลอกคน มันมีมีพื้นฐานมาจากปฏิกิริยาเคมีและใช้ยาจำเพาะ ก็เลยใช้หลอกชาวบ้านตาสีตาสาได้ ตัวอักษรสีแดงนั่นจะใช้ยาประเภทนั้นเหมือนกันหรือเปล่า?”
ถ้อยคำนี้น่าเชื่อถือกว่า ‘ผีสาว’ เยอะ!
ตำรวจร่างผอมสูงถามด้วยดวงตาเป็ประกาย “มันเป็ยาอะไรเหรอ?”
อาสามเจิ้งรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น มากกว่านี้เขาพูดได้ไม่เต็มปากแล้วเลยส่ายหัว “ฉันจะรู้ได้ยังไง”
ตำรวจใบหน้าดำแบนขมวดคิ้วพูดบ้าง “หากมียาแบบนั้นจริงๆ งั้นคนก่อเหตุเอามาจากไหนอีกล่ะ? ฉันไม่เคยได้ยินของอย่างนี้มาก่อน สหกรณ์ต้องไม่มีขายแน่นอน หรือเขาจะผลิตยาขึ้นมาเอง?” พูดถึงตรงนี้ เขาพลันใจนเสียงขาดหาย “นั่นมันเก่งมากเลยนะ ในอำเภอเรามีผู้เชี่ยวชาญที่เรียนเคมีมาโดยเฉพาะและทำยาได้ไม่กี่คนเอง”
ตำรวจตาเล็กกล่าวเสริมต่อทันที “เจิ้งเทียนหู่ก็ดูไม่เหมือนคนที่จะมีความแค้นกับผู้เชี่ยวชาญด้วยสิ… งั้นขอแค่พวกเราสืบเสาะหานักวิชาการที่สามารถทำยาแบบนี้ได้แล้วสอบถามว่าขายยาให้ใครไปบ้าง ก็สืบพบได้แล้วนี่ว่าตกลงใครปลอมเป็ผี!”
เมื่อมีวิธีคลี่คลายคดี ตำรวจหลายนายจึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ผ่อนคลายท่าทางเครียดขึงลง
ผ่านไปสักพัก อาสามเจิ้งก็ขมวดคิ้วอีกและเอ่ยด้วยท่าทีสองจิตสองใจ “พวกนายจำได้ไหม หลานชายฉันยังบอกอีกว่าคนปลอมเป็ผีฝ่าเท้าเหยียบอยู่บนหมอกบางอย่าง ไม่เปิดปากก็พูดได้แถมเคลื่อนที่ด้วยการลอย… พวกนี้จะอธิบายยังไงล่ะ?”เงียบกริบกันอีกระลอก
หากไม่สมเหตุสมผลแค่อย่างเดียวคงจะพออธิบายได้ แต่เมื่อเื่แปลกประหลาดหลายๆ เื่มากองรวมกัน ก็กลายเป็เื่ยากทันที คนที่แสร้งเป็ผีต้องมีความสามารถเท่าไรกันถึงปลอมได้เหมือนขนาดนี้? ในเมื่อคนผู้นี้เก่งกาจมาก ทำไมต้องจงใจหลอกผีข่มขู่คนไร้การศึกษาในชนบทด้วยล่ะ เจิ้งเทียนหู่ทำสิ่งใดลงไปกันแน่ เขาถึงแก้แค้นเช่นนี้? หรือคนผู้นี้ไม่ได้พยายามแก้แค้นเจิ้งเทียนหู่ เจิ้งเทียนหู่แค่ดวงซวยบังเอิญพบเจอเหตุการณ์บ้าบอเข้าพอดี ความจริงแล้วเบื้องลึกเื้ัอาจจะมีจุดประสงค์มากกว่าที่เห็น?
บางทีคนกระทำเื่นี้อาจเป็สายลับที่ซ่อนตัวมิดชิดหรือเปล่านะ?
เื่นี้จะคิดลึกลวกๆ ไม่ได้ แต่หากคิดเยอะ สันหลังก็จะเย็นวาบเอาอีก
ตำรวจใบหน้าดำแบนครุ่นคิดตาม ก่อนเอ่ยหยั่งเชิง “บางที… หลานชายนายอาจจะจิตใจไม่คงที่ ตาพร่าเบลอเลยมองผิดไปหรือเปล่า?”
อาสามเจิ้งลองคิดถึงความเป็ไปได้ อาจเป็เช่นนั้น “…น่าจะนะ?”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ พวกเขาก็ไม่ค่อยกล้าสืบสาวเื่ราวกันต่อแล้ว เพราะรู้สึกว่าต่อให้เป็ผีหรือคน ล้วนไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะล่วงเกินได้เลย
เจิ้งหยวนไม่รู้ว่าเื่ราวจะออกทะเลไปไกลขนาดนี้ เมื่อการแต่งเป็ผีสาวหลอกเจิ้งเทียนหู่ผ่านมืออาสามเจิ้ง รวมถึงเพื่อนร่วมงานของเขา ซ้ำยังดึงดูดความสนใจของคนใหญ่คนโตอีกแต่เพราะเป็เช่นนี้ เลยไม่มีใครสืบหาสาเหตุแท้จริงที่เจิ้งเทียนหู่ไปเดินเล่นตรงกระท่อมมุงหญ้าต่อ เนื่องจากไม่มีคนเชื่อว่าเจิ้งเทียนหู่ซึ่งสามารถสืบญาติโกโหติกาทั้งหมดไปเจ็ดชั่วโคตร และเป็ชาวนาชนชั้นกลางค่อนล่างจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสายลับระดับนั้น ส่วนใหญ่เต็มใจเชื่อว่าเขาคือผู้เสียหายที่โดนร่างแหไปด้วยมากกว่า
พอเจิ้งเฉวียนกังกลับมาบ้าน เจิ้งหยวนก็เดินไปรับ พร้อมยื่นแก้วน้ำส่งให้เขา ก่อนถามว่า “พ่อ เมื่อกี้ฉันเห็นตำรวจพาพ่อไปบ้านลุงใหญ่ ใช่สอบสวนเื่เจิ้งเทียนหู่หรือเปล่าคะ?”
เจิ้งเฉวียนกังนั่งลงบนเก้าอี้ รับแก้วน้ำมามาดื่มแก้กระหายสองอึก แล้วบ่นด้วยความหงุดหงิด “ญาติผู้พี่แกมันไม่เอาไหน เอาแต่บอกว่าผีหลอกอยู่นั่นแหละ!” ก่อนชะงักอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ตามด้วยเสียงถอนหายใจ “จะว่าไปเื่นี้ก็แปลกนัก ลองคิดดูสิ อยู่ๆ ตัวอักษรมงคลสีแดงเต็มผนังจะหายไปได้ยังไง?” เขากระแทกแก้วน้ำลงบนโต๊ะ
“ตัวอักษรมงคลสีแดงหายไปแล้วเหรอ?” เจิ้งหยวนใไม่ต่างกัน ่แรกเธอไม่ได้คิดไปถึงน้ำหมึกที่ตนใช้เลยสักนิด คิดว่าใครสักคนที่ชอบยุ่งเื่ชาวบ้านจะมาลบให้แทน แต่หลังฟังคำอธิบายของเจิ้งเฉวียนกังโดยละเอียด เธอพลันตระหนักทันใดว่าตนเองน่าจะใช้น้ำหมึกมหัศจรรย์ที่ถูกเรียกว่า ‘น้ำหมึกล่องหน’ เขียน ในใจพลันมีความสุขยิ่งกว่าเดิม
ก่อนเอ่ยอย่างยินดียินร้ายกับความทุกข์ของเจิ้งเทียนหู่
“บางทีผีสาวอาจจะชอบญาติผู้พี่ฉันจริงๆ ก็ได้นะ?”
ไม่ทันขาดคำ เจิ้งเฉวียนกังมองเธอตาขวาง “เหลวไหลทั้งเพ!”
“แล้วญาติผู้พี่ฉันว่ายังไงบ้าง เขาบอกหรือเปล่าว่าไปกระท่อมตรงตีนเขาหลังนั้นทำไม?” เจิ้งหยวนถามต่อ
พอถูกถามเช่นนั้น เจิ้งเฉวียนกังก็นึกโมโห จึงกระแทกเสียง “เขาบอกว่ากลางคืนนอนไม่หลับเลยไปเดินเล่น” เขาแค่นเสียงเ็าเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก่อนว่าต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน “พูดไปเรื่อยชัดๆ ฉันว่าเขาอยากไปขโมยของหลวงมากกว่า!”
ถนนตรงปลายตีนเขาเชื่อมกับสวนผลไม้นี่นา? หากไม่สะดวกนำของที่ขโมยไปกลับบ้านชั่วคราว ก็สามารถหยุดพักและซ่อนข้าวของในกระท่อมของหวังเฉี่ยวเอ๋อร์ได้พอดี พอได้ฟังประโยคถัดมาของคนเป็พ่อ
เจิ้งหยวนครุ่นคิดครู่เดียวก็รู้ทันใดว่าคุณพ่อเธอเข้าใจผิดว่ากลางคืนเจิ้งเทียนหู่ไม่หลับไม่นอนเพราะไปขโมยผลไม้ที่สวนของหลวง แต่คิดๆ ดู เจิ้งเทียนหู่เคยทำเื่เช่นนี้มาไม่น้อย ไม่แปลกหรอกที่คนอื่นจะเข้าใจเขาผิด
ถึงกระนั้น พอเห็นเจิ้งเทียนหู่ไม่ได้ให้การเื่เธอกับพี่สะใภ้ เจิ้งหยวนก็โล่งใจแล้ว
วันถัดมา เจิ้งเฉวียนกัง เสมียนหวัง เสมียนฝู และคนอื่นในกองถูกเรียกตัวไปประชุมที่คอมมูนพร้อมกันทั้งหมด พวกเขารวบรวมคนทั้งกองมาชุมนุมกลางพื้นที่โล่งกว้างหน้าสำนักงานและเปิดประชุมปลูกฝังอุดมการณ์ให้เชื่อในวิทยาศาสตร์ พร้อมประกาศห้ามสมาชิกพูดคุยและเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับความเชื่องมงายใดๆ เป็อันขาด
เจิ้งเฉวียนกังยืนบนแท่นสูง ถือโทรโข่งะโบอกคนใต้ปกครองข้างล่าง “ระยะนี้สหายตำรวจจากสถานีจะมาที่กองของพวกเราบ่อย หากพวกเขาได้ยินคนพูดจางมงายอย่าง ‘ผีสาวหาเ้าบ่าว’ หรือ ‘เ้าบ่าวผี’ อีก พวกเขาต้องจับตัวคุณไปที่สถานีตำรวจแน่ และถึงตอนนั้นก็อย่าได้มาหาฉันเด็ดขาด บอกให้รู้ไว้ว่าฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้!”
คนข้างล่างโห่ร้องเสียงดังระงมแล้ววิจารณ์กันไปต่างๆ นานา เจิ้งหยวนรู้ดี ยิ่งเอาจริงเอาจังกันแบบนี้ คนจะยิ่งหวาดกลัวกันมากขึ้น ซึ่งความจริงเธอเองก็ใจหายเหมือนกัน เพราะพูดกันตามตรง ตอนเธอวางแผนเื่นี้ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะลุกลามใหญ่โตจนดึงดูดความสนใจของคนใหญ่คนโตในอำเภอได้ขนาดนี้
แต่ทว่าเธอรู้ดี ยิ่งบุคคลใหญ่โตให้ความสนใจมากเท่าไร พวกเขาจะยิ่งสงสัยบุคคลต่ำต้อยอย่างพวกเราน้อยลงเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอสอบถามเจิ้งเฉวียนกังเป็พิเศษหลังประชุมเสร็จจนได้ความว่าคนในอำเภอเหมือนจะสงสัยเื่ผีหลอกครานี้เป็ส่วนหนึ่งของการต่อต้านการปฏิวัติที่สายลับก่อขึ้น ส่วนเจิ้งเทียนหู่เป็แค่คนโดนลากเข้าไปเอี่ยวเท่านั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้