ไม่นานนักหนานจี๋หานก็มา เขายังคงแต่งกายเป็คุณชายผู้สุภาพเรียบร้อยสง่างามและดูอ่อนวัย ในมือถือพัดแบบพับสีม่วงยิ่งขับให้ดูมีสง่าราศี รอบกายแผ่กลิ่นอายที่อยู่เหนือทุกสิ่งรอบด้าน เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจมองข้ามได้ เขามองนางด้วยสายตาเรียบเฉย คล้ายเป็การวางอำนาจและคล้ายเป็การเตือนอย่างหนึ่ง
จวินหวงก็มองเขาอย่างสงบนิ่งเช่นกัน แววตาของนางไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใด เพียงแค่พยายามจะหยัดร่างกายลุกขึ้นมายืน แล้วประสานมือคารวะ รอยยิ้มอ่อนบางประดับอยู่บนใบหน้า "ผู้น้อยรอองค์ชายอยู่นานแล้ว"
หนานจี๋หานชำเลืองมองจวินหวงเงียบๆ ไม่แสดงสีหน้าท่าทางอะไร เสียงหุบพัดดังพรึ่บขึ้นมา "คุณชายส่งคนมาแจ้งข้า แสดงว่าตกลงใจยอมช่วยข้าแล้วใช่หรือไม่?"
"หามิได้"
หนานจี๋หานได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เย็นเยียบขึ้นมาทันที เขาถลึงตาจ้องจวินหวงอยู่นาน แล้วจึงกล่าวเสียงลอดไรฟันออกมา "เ้าคนไม่รู้จักดีชั่ว"
"ไยองค์ชายไม่ฟังผู้น้อยพูดให้จบก่อนเล่า?" จวินหวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วนั่งลงที่โต๊ะด้านข้าง หนานจี๋หานนั่งลงตามมา มองดูท่าทางสุขุมเยือกเย็นของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
"ในเมื่อองค์ชายมีใจ ข้าก็จะไม่ปิดบัง ความจริงแล้วคนที่ข้าจงรักภักดีด้วยมิใช่ฉีเฉิน แต่เป็ฉีอวิ๋น เขาเคยมีบุญคุณต่อข้า ข้าไม่สามารถละทิ้งเขาได้ ข้าเชื่อว่าหากข้าเป็คนลืมบุญคุณคน องค์ชายคงไม่เห็นความสำคัญในตัวข้า"
"ตอนนี้ฉีเฉินเป็รัชทายาทแล้ว เป้าหมายที่เขาอภิเษกสมรสกับองค์หญิง องค์ชายน่าจะกระจ่างใจดี แต่เพื่ออำนาจแล้ว หากองค์ชายเชื่อใจข้า ข้าสามารถปกป้องความปลอดภัยขององค์หญิง และพวกเราสามารถปรึกษาวางแผนงานกันอย่างลับๆ ได้" จวินหวงกล่าวเรียบๆ ราวกับเป็เื่จิปาถะหลังมื้ออาหาร แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเขาไม่เคารพต่อราชวงศ์
แววตาของหนานจี๋หานที่มองจวินหวงมีความหมายลึกล้ำ เอ่ยปากถามเบาๆ "เ้าไม่กลัวเปิ่นหวางเอาเื่นี้ไปบอกฉีเฉินหรือ?"
จวินหวงหัวเราะเบาๆ ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วตอบอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร "ในเมื่อผู้น้อยบอกองค์ชายไปแล้ว ก็ย่อมแน่ใจว่าองค์ชายจะไม่พูดเื่นี้ออกไป"
"ก็ไม่แน่ ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรฉีเฉินก็เป็ราชบุตรเขยของหนานมู่เรา นับว่าเป็คนกันเอง แต่เ้าไม่ใช่"
"เช่นนั้นเชิญองค์ชายไปบอกฉีเฉินได้เลยตามสบาย" จวินหวงกล่าวยิ้มๆ ใบหน้าไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย หนานจี๋หานเห็นแล้วก็รู้สึกโมโห ไม่คิดว่าจวินหวงจะมีความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้
เขาสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนที่จะฟังจวินหวงค่อยๆ เล่าเื่ราวความสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งดีชั่วของเื่นี้ และจากการไปมาหาสู่กันใน่หลายวันมานี้ เขาย่อมรู้ว่าฉีเฉินไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งฮ่องเต้ ยิ่งรู้อย่างชัดเจนว่าหนานกู่เยว่เป็เพียงแค่บันไดไปสู่อำนาจของฉีเฉินเท่านั้น รอวันที่เขาขึ้นครองราชบัลลังก์จริงๆ แต่ถึงเวลานั้นหนานกู่เยว่จะตกอยู่ในชะตากรรมเช่นไร?
ไม่สู้ให้หนานกู่เยว่เป็ที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวของฉีเฉิน เขาจะได้รักใคร่ทะนุถนอมให้เกียรติหนานกู่เยว่ไปตลอดชีวิต
หนานจี๋หานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็ยอมรับว่าคำพูดของจวินหวงไม่ไร้เหตุผล เขาประสานมือหลุบสายตาลงแล้วกล่าวว่า "เปิ่นหวางความรู้เบาบางปัญญาโฉดเขลาไม่กระจ่างสถานการณ์ดีร้ายในเื่นี้ วันนี้ได้ฟังคำพูดของคุณชาย เหมือนได้อ่านตำรามาสิบปี เปิ่นหวางจะต้องจดจำไว้"
"องค์ชายถ่อมตนไปแล้ว" จวินหวงค้อมกายคำนับกลับ ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"เช่นนั้นเปิ่นหวางจะให้คนส่งคุณชายกลับไป" พูดจบหนานจี๋หานก็ยืนขึ้น ะโเรียกคนข้างนอกให้พวกเขาเตรียมรถม้าส่งจวินหวงกลับไป
รอจนทุกอย่างเตรียมพร้อม จวินหวงจึงลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอก หนานจี๋หานกลับเรียกนางไว้ นางมิได้หันกลับมา เพียงแต่หยุดเดินเท่านั้น รอฟังว่าเขาจะกล่าวอะไร
"หวังว่าคุณชายจะจดจำข้อตกลงของเราในวันนี้"
จวินหวงคลี่ยิ้ม "องค์ชายไม่จำเป็ต้องย้ำเตือนเช่นนี้ ในเมื่อผู้น้อยตอบตกลง ก็ย่อมไม่นึกเสียใจภายหลัง เพียงแต่องค์ชายก็อย่าลืมเื่ที่รับปากไว้กับผู้น้อย ถึงเวลาก็อย่าละทิ้งผู้น้อยเพียงเพราะองค์หญิง"
"แน่นอน"
เมื่อได้คำตอบเป็ที่พอใจแล้ว จวินหวงก็เดินออกไปด้านนอก ให้คนประคองขึ้นรถม้า หลังจากเข้าไปในรถม้าแล้วเหงื่อเย็นก็แตกพลั่กจนชุ่มแผ่นหลัง นางกุมมือที่สั่นระริกเอาไว้ ลมหายใจสับสนไม่มั่นคง
หนานจี๋หานมองรถม้าที่ค่อยๆ ห่างออกไปด้วยแววตาลึกล้ำ แม่ทัพที่ถูกเขาตำหนิไปวันก่อนเดินเข้ามา และเอ่ยปากถามขึ้น "องค์ชายจะปล่อยเขาไปอย่างนี้หรือ?"
ดวงตาเรียวของหนานจี๋หานหรี่ลงเล็กน้อย การแสดงออกบนใบหน้าทำให้คนมองไม่ออกว่ามีความเบิกบานใจ "เขาสัญญาว่าหากพวกเราช่วยให้ฉีอวิ๋นได้ครองบัลลังก์ เขาจะส่งเสริมด้านการค้าระหว่างสองแคว้นให้แข็งแกร่งขึ้น หนานมู่เป็แคว้นที่อ่อนแอที่สุดในสามแคว้น ตอนนี้ตงอู๋จ้องพวกเราตาเป็มัน พวกเราต้องหาทางป้องกันไว้ หากได้การสนับสนุนจากเป่ยฉี ตงอู๋จะทำอะไรเราได้? แบบนี้ย่อมได้ชัยชนะร่วมกันทุกฝ่าย"
"แต่ตอนนี้ราชบุตรเขยก็เป็รัชทายาทแล้ว เช่นนี้จะไม่เป็การทิ้งประโยชน์ใกล้ตัวไปแสวงหาประโยชน์ไกลตัวหรือ?"
เมื่อเอ่ยถึงฉีเฉิน ใบหน้าของหนานจี๋หานก็เผยรอยยิ้มเย็นเยือก "ฮึ! มีฐานะเป็รัชทายาทแล้วอย่างไร แม้แต่พี่ชายยังสังหารได้ เ้าคิดว่าเมื่อถึงเวลาที่ตงอู๋บุกมาโจมตีเราเขาจะทำอะไรหรือไม่? เขาไม่ราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟก็ดีแค่ไหนแล้ว"
คนผู้นั้นได้ฟังก็เงียบไป แม้โบราณจะกล่าวว่า ไม่เหี้ยมโหดไม่นับเป็ชายชาตรี แต่มันจะเป็ดังว่าจริงๆ หรือ? ก็ไม่มีใครรู้ได้
...
งานเลี้ยงในวังหลวงจัดขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณแขกบ้านแขกเมืองจากแต่ละแคว้นที่มาร่วมงานฉลอง เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ และเพื่อเป็การแสดงให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของแว่นแคว้น ดังนั้นงานเลี้ยงในวังหลวงจึงจัดอย่างงดงามตระการตาเป็พิเศษ
ฉีเฉินตัดสินใจให้จวินหวงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งนี้จึงพานางไปด้วยอย่างเปิดเผย คนกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้าไปในวังหลวง
ในความเห็นของจวินหวง งานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่อลังการนี้แท้จริงแล้วล้วนมาจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเป็พระราชประสงค์ของฮ่องเต้จะมีใครกล้าคัดค้าน?
ย่อมไม่มีอยู่แล้ว
ทุกคนต่างหัวร่อต่อกระซิก ชมการแสดงบนเวที นักแสดงปิดบังครึ่งหน้าอุ้มผีผาบรรเลงเพลงในท่วงทำนองที่ผ่อนคลาย ผู้ชมหลับตาลงััความรู้สึกชอบชังที่อยู่ในท่วงทำนอง ไม่มีผู้ใดพูดอะไรมาก หรือจะมีก็เพียงประโยคสองประโยคเท่านั้น
จวินหวงเข้าวังเป็ครั้งแรก ยังปรับตัวให้เข้ากับงานเลี้ยงในวังหลวงแบบนี้ไม่ได้ จึงมีทีท่าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด หนานกู่เยว่เดิมทีก็เป็คนห้ามปากตนเองไม่อยู่อยู่แล้ว เมื่อเห็นแบบนั้นก็ยิ้มสดใสราวกับดอกโบตั๋น "ดูทำเข้าสิ เ้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนใช่หรือไม่?"
จวินหวงได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่รู้จะพูดอะไร สักพักจึงหัวเราะคล้อยตาม หนานกู่เยว่บุ้ยปากยื่นออกมา "คุณชายคงจะไม่แอบด่าข้าอยู่ในใจหรอกนะ ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง"
"แน่นอน" จวินหวงยิ้มบางเบา จากนั้นก็มองไปทางอื่น ความจริงไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นบรรยากาศงานแบบนี้ ครั้งหนึ่งซีเชว่ก็เคยจัดงานเลี้ยงในวังที่งดงามตระการตาเช่นกัน ตอนนั้นด้วยฐานะที่เป็องค์หญิงนางจึงไม่สามารถปรากฏตัวในงานเลี้ยงตามใจได้ ทุกวันได้แต่เก็บตัวอยู่ในวังเรียนรู้กฎระเบียบมารยาทเท่านั้น
แต่นางก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในกรอบอยู่ในระเบียบเท่าไร เคยแอบวิ่งมาดูงานเลี้ยง เมื่อเปรียบกับงานเลี้ยงที่นี่แล้วมีแต่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่ด้อยกว่าแน่นอน เมื่อนึกถึงเื่นี้นางก็รู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมาเล็กน้อย
ในขณะที่นางกำลังยืนใจลอยอยู่ หนานสวินก็เดินเข้ามาด้านหลัง และยื่นมือมาแตะที่ไหล่ของนาง นางใจนขวัญหนีดีฝ่อ พอหันกลับมาพบว่าเป็หนานสวิน ก็มุ่นคิ้วยุ่งมองไปรอบๆ เมื่อพบว่าไม่มีใครสังเกตมาทางนี้นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก "หวางเหย่มีธุระอะไรหรือไม่?"
หนานสวินยักคิ้วชี้ไปอีกทางหนึ่ง ก็เห็นหนานจี๋หานมองมาทางนี้อยู่ตลอด ตอนที่เขาเห็นจวินหวง ยังโบกมือให้นางด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็องค์ชายของแคว้นหนึ่ง ไม่นานก็ถูกคนเข้ามารุมล้อม พูดโน่นพูดนี่ เขาได้แต่อึ้งแต่ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ รู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
"พวกเ้ารู้จักกันหรือ?" หนานสวินถามด้วยความประหลาดใจ
นางชำเลืองมองไปทางหนานจี๋หานแวบหนึ่ง ชั่วพริบตาก็เบนสายตาออกมาสบเข้ากับดวงตาที่สืบเสาะของหนานสวินเข้าพอดี นางถึงพยักหน้าแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
ในเวลานี้ฮ่องเต้ในชุดัสีเหลืองอร่าม และพระสนมกุ้ยเฟยก็เสด็จพระราชดำเนินมาอย่างช้าๆ และประทับอยู่้าของพระที่นั่ง พระสนมกุ้ยเฟยสวมชุดหงส์อันวิจิตรงดงาม จวินหวงมุ่นคิ้วทันที หนานสวินรู้ความคิดในใจของจวินหวง จึงเอ่ยปากอธิบายให้นางฟัง "ฮองเฮาถูกความแค้นบังตาคิดสังหารหนานกู่เยว่ จึงถูกส่งเข้าไปอยู่ตำหนักเย็น เดิมทีฮ่องเต้คิดจะแต่งตั้งพระสนมกุ้ยเฟยเป็ฮองเฮา แต่จนใจที่สกุลของฮองเฮามีอำนาจแข็งแกร่ง ดังนั้นเื่แต่งตั้งฮองเฮาจึงต้องถูกพักเอาไว้ก่อน งานเลี้ยงนี้คิดว่าที่พระนางสวมชุดหงส์ก็น่าจะเป็การแสดงอำนาจให้พวกกั๋วจิ้วได้เห็นกระมัง"
จวินหวงฟังแล้วก็พยักหน้า ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมามากนัก ฉีเฉินกวักมือเรียกนางจากอีกด้านหนึ่ง นางยอบกายเล็กน้อยอำลาหนานสวิน แล้วเดินไปหาฉีเฉิน
นางนั่งลงด้านข้างของฉีเฉิน ชมการแสดงบนเวที นักดนตรีบรรเลงผีผาขึ้นเวทีไปนานแล้ว เวลานี้ก็มีนางระบำกลุ่มหนึ่งกำลังเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างช้าๆ ชุดกระโปรงของพวกนางสะบัดพลิ้ว ริบบิ้นผ้าไหมเริงระบำอยู่ในสายลม ทำให้พวกนางดูราวกับเทพธิดา ที่สะกดสายตาผู้คนเอาไว้
ท่วงท่าร่ายรำะโไปมาอย่างคล่องแคล่ว ชุดกระโปรงสีสันงดงามตระการตาคล้ายว่าไม่มีอยู่จริง ผืนแพรไหมสีสดใสเริงระบำพลิ้วไหวอยู่ในอากาศราวกับมีชีวิต คล้ายห้วงฝันอันรางชาง สะกดผู้คนให้หลงใหลเคลิบเคลิ้ม
"พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ องค์ชายหนานจี๋หานถวายสิ่งของล้ำค่าใดให้พระองค์?" ขันทีสองคนกระซิบคุยกันเบาๆ แต่จวินหวงได้ยินอย่างชัดเจน จึงฟังอยู่ด้วยความสนใจ
"ได้ยินมาว่าเป็บัวหิมะดอกหนึ่ง นั่นเป็ของล้ำค่าจากูเาเทียนซาน ยิ่งมีคนพูดกันว่าเป็บุปผาจากสระหยกในแดน์เชียวนะ หากใครโชคดีได้เห็นจะต้องเป็วาสนาที่สั่งสมมาสามชาติภพแน่นอนทีเดียว" คนพูดสีหน้าเต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน คนฟังก็มีสีหน้าเลื่อมใส ราวกับว่าบัวหิมะมาอยู่ตรงหน้า เพียงแค่เอื้อมมือไปก็ััได้เยี่ยงนั้น
จวินหวงเพียงแค่หัวเราะเบาๆ ยิ้มเยาะกล่าวในใจ บัวหิมะแม้ว่าจะมีน้อย แต่ไม่ได้เป็ของหายาก หนานมู่ก็อยู่ทางตอนเหนือสุด เป็แคว้นที่อยู่เชิงเขาเทียนซาน การจะหาบัวหิมะสักดอกมิใช่เื่ยาก เพียงแต่บัวหิมะเป็ของล้ำค่าที่หาไม่ได้ในเป่ยฉีเท่านั้น
ในขณะที่จวินหวงกำลังคิดเพลินๆ ขันทีคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ในแขนเสื้อมีป้ายหยกมรกตสอดอยู่ จวินหวงเคยเห็นของสิ่งนี้เมื่อครั้งตอนที่นางถูกเขาลักพาตัวไป ป้ายหยกนี้เป็หยกพกประจำตัวของเขา
"คุณชาย องค์ชายหนานจี๋หานเชิญท่านไปพบที่อุทยานบุปผาหลวงขอรับ" ขันทีกระซิบบอกเบาๆ
จวินหวงได้ยินแล้วก็มุ่นคิ้ว แต่แล้วก็เข้าใจทันที คิดว่าหนานจี๋หานคงใช้ป้ายหยกของตนเองติดสินบนขันที แล้วให้เขาเป็คนวิ่งเต้นมาบอกนาง คิดแล้วก็พยักหน้า รอจนขันทีเดินไปแล้วนางจึงหันไปหาฉีเฉิน
"ฝ่าพระบาท ผู้น้อยขอตัวสักครู่"
สายตาของฉีเฉินจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างของนางรำบนเวที จึงเพียงพยักหน้าแล้วโบกมือให้จวินหวงไปได้ จวินหวงยืนขึ้นมองเขาทีหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า คิดว่าหากหนานกู่เยว่อยู่ที่นี่ เห็นฉีเฉินเป็แบบนี้คงจะต้องมีเื่แน่ๆ
พอเงยหน้าขึ้นมองไปที่ด้านหลังของฉากกั้นลายวิจิตรงดงามที่อยู่ไม่ไกล ก็เห็นหนานกู่เยว่กำลังพูดคุยอยู่กับพระสนมกุ้ยเฟย นางถอนหายใจออกมาคราหนึ่งแล้วก็เดินตรงออกไป
หนานจี๋หานดูเหมือนว่าจะคอยอยู่นานแล้ว เขาดูกระวนกระวายเล็กน้อย เดินไปเดินมาอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าจวินหวงจะไม่มา พัดพับที่อยู่ในมือก็เกือบจะถูกเขาทำพังยับเยินเสียแล้ว
จวินหวงค่อยๆ เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้อื่นก็ประสานมือคารวะแล้วกล่าวถาม "ไม่ทราบว่าองค์ชายรีบร้อนตามตัวผู้น้อยมาเช่นนี้ มีธุระอันใดหรือ?"
หนานจี๋หานไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินเข้ามาคว้าข้อมือจวินหวง ลืมเื่มารยาทและธรรมเนียมไปจนหมดสิ้น เนื่องจากการเคลื่อนไหวรุนแรงกวานหยกขาวที่ครอบอยู่บนศีรษะเกือบจะหล่นลงพื้น จวินหวงกลับเพียงขมวดคิ้ว สีหน้ายากจะคาดเดาอารมณ์ได้
