“โม่กุ้ยเฝิ่น?” แม่นางฉินยิ้มรับ “เป็ชื่อที่ดี ฟังดูสดใสไม่เหมือนใคร ที่สำคัญตัวแป้งยังมีกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ นับว่าไม่เลวทีเดียว” หญิงสาวถามย้ำอีกครั้ง “เ้าอยากใช้ตลับแบบไหนล่ะฟู่อิน?”
แป้งหอมของแม่นางฉินเคยใช้ตลับเงินไปแล้ว นางไม่คิดใช้ซ้ำ
แน่นอนว่าในตลาดยังมีแป้งหอมใส่ตลับไม้และตลับทองแดงวางขาย แต่ทั้งสองแบบไม่อาจเพิ่มราคาให้แป้งหอมได้มากนัก
นางหลงใหลงานกระเบื้องเคลือบลายจีนมานาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลับกระเบื้องสีขาวนวลวาดลวดลายดอกไม้และนกงามแถมด้วยแปรงผัดหน้า ช่างมีเอกลักษณ์และหรูหรา เหมาะสำหรับสตรีสมัยก่อนยิ่งนัก
เครื่องชามกระเบื้องเคลือบฝีมือชาวต้าเว่ยมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล สีสันของมันไม่ใช่แค่สีฟ้าหรือขาวเท่านั้น แต่ยังมีการใช้สีสันสดใสมากมาย แสนประณีตและงดงาม
“ข้าจะใช้ตลับที่ทำจากกระเบื้องเคลือบสีขาวเ้าค่ะ!” หลินฟู่อินตอบด้วยความมั่นใจ
แม่นางฉินคิดตามอยู่ครู่หนึ่งก่อนเห็นด้วยว่าตลับกระเบื้องเคลือบสีขาวก็ดูเข้าท่า แม้จะไม่ดูดีเท่าตลับเงินของนาง แต่ใช่ว่าจะออกมาไม่ดี
“แต่การทำตลับกระเบื้องเคลือบไม่ใช่ถูกๆ เหมือนกันนะฟู่อิน” แม่นางฉินจ้องหน้าเด็กสาว
การทำเครื่องกระเบื้องเคลือบนั้นค่อนข้างซับซ้อน แม้จะสั่งทำเพียงตลับเล็กๆ ก็อาจจะต้องใช้เงินหนึ่งหรือสองตำลึงเงินเลยทีเดียว
หลินฟู่อินเม้มปากแล้วตอบกลับไปว่า “แป้งหอมที่ข้าขายก็ใช่ว่าราคาจะถูก แม้ข้าอยากประหยัดเงินไว้ส่วนหนึ่ง แต่ตลับที่ใส่ตัวแป้งต้องดูดี ข้ายอมให้มันเสียราคาไม่ได้”
หญิงสาวหัวเราะออกมาเช่นกัน นางเองก็ค้าขายมามาก ย่อมรู้ดีว่าหน้าตาภายนอกนั้นสำคัญเพียงใด “ข้าเข้าใจเ้าดีฟู่อิน เช่นนั้นมาใช้ตลับกระเบื้องเคลือบตามที่เ้า้ากันเถิด ข้ารู้จักร้านอยู่ร้านหนึ่ง เดี๋ยวข้าช่วยเ้าดูเื่นี้เอง”
ได้ยินเช่นนั้นหลินฟู่อินก็เกิดรู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันที “ต้องรบกวนแม่นางฉินเสียแล้ว เช่นนั้นหากข้าเริ่มทำชาดเมื่อไรข้าจะนำมาวางขายที่นี่ที่แรก!”
“เ้าทำชาดได้ด้วยหรือ? ััของมันทำให้รู้สึกดีมากจริง ๆ!” ยิ่งได้ฟังคำมั่นสัญญาของอีกฝ่าย หัวใจของแม่นางฉินก็ยิ่งพองโต มือสวยถูกยกขึ้นมาตรงหน้า “ตกลงตามนี้หรือไม่?”
หลินฟู่อินยื่นมือไปแตะอีกฝ่ายแล้วส่งเสียงพูดอย่างจริงจัง “ข้าตกลง!”
“เ้าดื่มชาก่อนเถิด” แม่นางฉินดันถ้วยชาน้อยไปไว้ตรงหน้าของหลินฟู่อินก่อนจะลุกขึ้น “ข้ายังมีตลับเปล่าเหลืออยู่ในร้าน ประเดี๋ยวข้าจะลองนำมาใส่แป้งหอมของเ้าแก้ขัดไปก่อน”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับก่อนหยิบชามาจิบ
แม่นางฉินกลับมาพร้อมกับตลับใส่แป้งกว่าครึ่งกระสอบ
หญิงสาวหยิบตลับเ่าั้ออกมาวางเรียงกันบนโต๊ะให้หลินฟู่อินดูแล้วถามว่า “ฟู่อิน เ้าว่าตลับกระเบื้องเคลือบนี้เป็เช่นไร? ข้านำไปล้างและวางทิ้งไว้ให้แห้งเรียบร้อยแล้ว พร้อมใส่ผงแป้งลงไปได้เลย”
หลินฟู่อินหยิบของตรงหน้าขึ้นมามองอย่างละเอียด พบลวดลายดอกไม้และนกหลากสี ล้วนดูโดดเด่นและงดงามเป็ที่น่าพึงพอใจมาก
“งดงามยิ่งนัก ท่านใช้พวกนี้ได้เลย” พูดจบเด็กสาวก็ค่อยๆ บรรจุผงแป้งลงตลับที่เตรียมไว้ก่อนใช้ชิ้นส่วนกระเบื้องเล็กๆ กดอัดเนื้อแป้งให้เรียบเนียนเข้ากันดี
หลังจากช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่นานตลับกระเบื้องก็บรรจุแป้งหอมพร้อมใช้งานนับหกสิบตลับเสร็จเรียบร้อย
“่หอมและนุ่มมือเหลือเกิน” แม่นางฉินถูผงแป้งที่หลังมือพลางกล่าวชื่นชม
หลินฟู่อินฉีกยิ้มพร้อมกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าตั้งใจทำให้มีกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ในนั้น คราวหน้าข้าจะทำแป้งหอมประทินผิว อาจใช้หวงฉี ไป๋จื่อ หรือแม้แต่ดอกบ๊วยก็นำมาใช้เป็ส่วนผสมได้ ยามเข้าฤดูใบไม้ร่วงเมื่อดอกไม้ต่างๆ บานเต็มที่แล้ว เราค่อยนำดอกไม้เ่าั้มาทำเป็แป้งหอมหรือชาดภายหลัง”
แม่นางฉินได้ยินแผนค้าขายระยะยาวเช่นนี้ ดวงตาสวยก็เบิกกว้างอย่างตื่นเต้น “ฟู่อิน เ้านี่อัจฉริยะจริงๆ! เ้าวางแผนเอาไว้อย่างไรบ้าง?”
“อืม…” หลินฟู่อินคิดตาม ั์ตาสีพุทราเป็ประกายก่อนมองที่แม่นางฉินอย่างมั่นใจ “เมื่อข้าตั้งใจทำสิ่งใดแล้ว แม้ระหว่างทางอาจไม่สวยงามนัก แต่ทุกสิ่งมักจะสำเร็จเสมอ”
เด็กสาวเว้น่ไว้ครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อว่า “ข้าคิดว่ากิจการนี้อาจไปต่อไป ติดที่ข้าไม่มีประสบการณ์ในการค้าขาย ข้าจึงคิดว่าหากร่วมมือกับแม่นางฉิน ข้าผลิตท่านขาย เราจะสำเร็จไปด้วยกัน แน่นอนว่าท่านสามารถขายชาดของเ้าอื่นได้ตามปกติ ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในส่วนนั้นเ้าค่ะ”
แม่นางฉินได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าเด็กสาวตรงหน้าวางแผนมาเป็อย่างดีแล้ว นับั้แ่วันที่เกลี้ยกล่อมไม่ให้นางล้มเลิกกิจการไฉ่จือไจ เด็กสาวผู้นี้คิดไว้นานแล้ว!
ทุกคำพูดให้กำลังใจ ทุกคำพูดที่สอนให้นางได้รู้ แม่นางฉินตื้นตันใจขึ้นมาทันทีเมื่อเข้าใจว่าหลินฟู่อินคิดจะโอบอุ้มนางมาั้แ่แรก
“ฟู่อิน เ้าคิดถึงข้าอยู่เสมอ นับเป็โชคของข้ายิ่งนัก ข้ายินดีค้าขายกับเ้า!” แม่นางฉินตอบรับอย่างไม่ลังเล
คราวก่อนก็เื่ชาดหิมะหลอมที่แม้จะวางขายในราคาที่ถูกกว่าชาดทั่วไป แต่นางกลับทำกำไรได้มากกว่าร้านอื่นที่ขายชาดแบบเดียวกัน
คำโบราณกล่าวไว้ว่าอย่าเชื่อความสำเร็จเพียงครั้งเดียว แต่นางเชื่อเหลือเกิน คนเราหากทำได้แล้วหนึ่งครั้ง ก็คุ้มค่าที่จะเชื่อมั่นต่อไป
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านยินดี” หลินฟู่อินยิ้มดีใจ
แม่นางหลินจับมือของเด็กสาวแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “เหตุใดข้าจะไม่ยินดีทำกันเล่า? ข้าคงเขลาตาย!” ว่าแล้วก็เหลือบมองตลับแป้งหอมที่ตั้งไว้ข้างกาย แป้งหอมเหล่านี้ใช้งานง่ายมาก ใครยอมควักเงินซื้อไปลองย่อมติดใจ นางไม่กังวลเลยว่าจะขายไม่ออก!
หลินฟู่อินคิดอย่างนั้นเช่นเดียวกัน
หากแต่คิดถึงสิ่งที่แม่นางฉินพูด แป้งหอมของนางยังไม่มีชื่อเสียงเท่าที่ควร หากวางขายจริงไม่ควรตั้งราคาสูงเกินหน้าเกินตา
“ข้ามัวแต่ชวนเ้าคุยเื่อื่นจนลืมเื่ราคาเสียสนิท” แม่นางฉินมองไปยังหลินฟู่อิน
เด็กสาวจ้องกลับ “ข้ารออยู่”
แม่นางหลินยกชาขึ้นมาจิบก่อนพูดว่า “จากที่ข้าเคยขายในไฉ่จือไจ แป้งหนึ่งตลับขายได้หกสิบสองตำลึงเงิน แต่ด้วยความสัตย์จริง แม้แต่ข้าเองก็ไม่คิดเสียเงินซื้อเพราะราคาที่สูงเกินไป อีกอย่างเราอยู่กันในเมืองเล็กๆ หากขายไม่ได้สักตลับเดียวเราก็ขาดทุน ว่ากันตามตรงข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรขายแป้งหอมของเ้าในราคาเท่าไร”
หลินฟู่อินตกตะลึงกับราคาแป้งหอมที่สูงถึงหกสิบสองตำลึงเงิน
แพงเกินไปแล้ว!
แม้จะใส่ในตลับเงินแท้อย่างดีก็ยังแพงเกินไป!
รู้หรือไม่… ที่ดินที่นางซื้อมานั้นราคาเพียงสิบห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งหมู่ เท่ากับว่าแป้งหอมไฉ่จือไจหนึ่งตลับสามารถซื้อที่ดินเพิ่มได้กว่าครึ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ
เห็นหลินฟู่อินเงียบไม่พูดอะไร แม่นางฉินจึงพูดขึ้นมาว่า “ที่จริงแล้วข้าคิดว่าแป้งหอมของเ้าทำกำไรได้มากกว่าแป้งไฉ่จือไจเสียด้วยซ้ำ ข้าเข้าใจหากเ้า้าขายในราคานี้ แต่หากเทียบเมืองของเรากับเจียงหนานที่มั่งคั่งร่ำรวยถึงเพียงนั้น ข้าไม่คิดว่านี่คือราคาที่ผู้คนส่วนใหญ่เอื้อมถึง”
แน่นอนว่าอัตราการบริโภคของเมืองไม่อาจสูงลิ่วเหมือนกับเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี แต่ลึกๆ ในใจของหลินฟู่อินนั้นรู้สึกว่าผู้คนในชิงเหลียนมีกำลังซื้อเทียบเท่ากับผู้คนในเมืองใหญ่เ่าั้
จริงอยู่ที่นางคิดจะทำแป้งหอมขายเพื่อเก็บหอมรอมริบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เท่ากับว่าเป็เื่ปกติที่ราคาแป้งหอมของนางไม่อาจเทียบได้กับเครื่องหอมที่แพงที่สุดของไฉ่จือไจ
อีกอย่างแป้งหอมโม่กุ้ยเฝิ่นของนางยังไม่ใช่เวชสำอางอย่างแท้จริง
หากคิดทำเวชสำอางอย่างจริงจัง ส่วนผสมจำเป็ต้องใส่สารสกัดจากสมุนไพรทางการแพทย์อีกมากมาย ทำให้จำเป็ต้องขายในราคาสูงลิ่ว
ถึงอย่างนั้นแป้งหอมของหลินฟู่อินก็จำเป็ต้องขายในราคาหลายสิบตำลึงต่อหนึ่งตลับ เพราะถือว่าเป็จุดเริ่มต้นของเวชสำอางคุณภาพดีในอนาคต
คิดได้ดังนั้นหลินฟู่อินจึงเสนอว่า “หากขายตลับละยี่สิบแปดตำลึงเงินเล่า?”
“ยี่สิบแปดตำลึงเงินต่อหนึ่งตลับอย่างนั้นหรือ?” แม่นางฉินคิดว่าราคานั้นถูกเกินไป แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้เพราะต้องยอมรับว่าแป้งหอมนี้ยังไม่โด่งดังเท่าแป้งหอมไฉ่จือไจ
“ข้าไม่เป็ไร อาจต้องขาดทุนเล็กน้อย แต่หากขายดิบขายดีอย่างที่คาดไว้ ข้าสามารถขึ้นราคาได้อีกเล็กน้อย ไม่จำเป็ต้องรีบร้อนตอนนี้” แม่นางฉินพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ
หลินฟู่อินส่ายหน้าพร้อมส่งยิ้มบาง “แม่นางฉิน ข้าไม่คิดขึ้นราคาหรอก ข้าบอกท่านแล้วว่าแป้งหอมนี้ด้อยที่สุดในบรรดาแป้งหอมที่ข้าทำ ข้าขอตั้งราคาไว้เท่านี้ก่อน”
ใบหน้าสวยหวานของแม่หน้าฉินซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจแน่ชัดแล้วก็ไม่อาจขัดได้ “เช่นนั้นหากเ้าเริ่มทำชาดออกขาย ข้าก็จะเลิกขายของเ้าอื่นเช่นกัน! ข้าจะขายของเ้าเท่านั้น!”
และนี่คือสิ่งที่หลินฟู่อินอยากได้ยินจากปากของแม่นางฉิน หัวใจของนางเบิกบานเมื่อทุกอย่างสำเร็จตาม้า “ตกลง ตัวข้านั้นแล้วแต่คำพูดของท่าน” หลินฟู่อินกล่าวต่อว่า “แม่นางฉิน ข้าขอเวลาปรึกษาท่านสักประเดี๋ยว”
“ว่ามาได้เลย” แม่นางฉินตอบรับด้วยสีหน้าจริงจังขณะหยิบกาน้ำชามาเติม
หลินฟู่อินจิบชาที่อีกฝ่ายยื่นให้พร้อมหัวเราะเล็กน้อย “ข้าวางแผนเอาไว้เช่นนี้เพราะข้าจำเป็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ท่านสามารถให้ค่าแป้งหอมที่นำมาวันนี้ให้ข้าก่อนได้หรือไม่ และหากข้าทำสำเร็จพร้อมขายในวันหลัง ท่านค่อยให้เงินข้าหลังขายหมดแล้วก็ย่อมได้”
แม่นางฉินยิ้มกว้างขณะยกมือป้องปาก “ดูเ้าพูดเข้าสิ แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว ตอนข้ายังทำไฉ่จือไจ พวกพ่อค้าแม่ค้าต้องจ่ายเงินมัดจำให้ข้าก่อนเป็เงินครึ่งหนึ่งของราคาที่่ตั้งไว้ แต่บางครั้งหากไม่ขัดสน ข้าก็เป็ฝ่ายจ่ายเงินให้พวกเขาก่อนเช่นกัน”
หลินฟู่อินโล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
นางคิดว่าเงินมัดจำนั้นคือเงินจำนวนเล็กน้อยที่สองฝ่ายแลกเปลี่ยนกันไว้แทนสัญญา สุดท้ายจึงแบ่งรายได้กันตามที่ตกลงกันไว้
“เมื่อเ้ายังไม่มีเงิน ข้าจะจ่ายค่าแป้งทั้งหมดให้ก่อน หากของเหล่านี้ขายดี ข้าจะไปหาเ้าเอง” แม่นางฉินกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ
หลินฟู่อินยิ่งรู้สึกดีใจมากขึ้นไปอีก
นี่สินะข้อดีของการมีสหายที่เขาว่ากันว่าแม้ต่างคนต่างทาง แต่ยินดีกลับมาเกื้อหนุนกัน
บางครั้งหลินฟู่อินจึงพร้อมหยิบยื่นน้ำใจและยินดีช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับทุกคน
“แม่นางฉิน เช่นนั้นแล้วข้าขอขายแป้งหอมให้ท่านตลับละยี่สิบตำลึงเงิน” ราคาเท่านี้เป็ราคาที่ทุกคนจับต้องได้ และแม่นางฉินสามารถทำกำไรได้อย่างน้อยเจ็ดตำลึงเงินต่อหนึ่งตลับ นับเป็กำไรที่สูงไม่น้อย
แม่นางฉินพอใจกับราคานี้เช่นกัน อย่างน้อยราคาที่หลินฟูอินเสนอก็สามารถทำกำไรให้นางเป็สองเท่า หากเทียบกับตอนที่นางขายแป้งหอมไฉ่จือไจ
หลินฟู่อินหัวเราะ “ข้าไม่สนแล้วว่าแป้งหอมจะเป็อย่างไร ข้าสนแค่ว่าข้าจะตั้งราคาขายให้ท่านยี่สิบตำลึงเงิน”
ราคาของกระเบื้องเคลือบไม่ใช่ถูกๆ หนึ่งตลับให้ขายยี่สิบตำลึงเงินคงไม่เหมาะ แต่แม่นางฉินมั่นใจว่าตัวเองเอาอยู่ “ข้าเข้าใจในราคาที่เ้าให้ข้า วางใจเถิด ปล่อยให้เป็หน้าที่ของข้าเอง”
หลินฟู่อินยิ้มรับอย่างดีใจ ก่อนจะนั่งคุยสารทุกข์สุกดิบกับแม่นางฉินอยู่พักใหญ่
เมื่อร้านค้ากลับมาคึกคักอีกครั้ง แม่นางฉินจึงขอตัว “ลูกค้ามาเพิ่มอีกแล้ว ข้าจะมอบเงินให้เ้าก่อนแล้วข้าจะขอตัว หากมีเวลาข้าจะไปหาเ้า เ้าเห็นด้วยหรือไม่”
“ท่านพักมากพอแล้ว สำหรับข้านับเป็เื่ดีที่ได้เห็นท่านทำงานอย่างมีความสุขในทุกวัน”
เป็เื่ปกติของคนทำมาค้าขาย ยิ่งยุ่งวุ่นวายเท่าไรยิ่งดี
“สาวน้อยของข้า” แม่นางฉินเรียกหลินฟู่อิน “ข้างหน้ามีแป้งหอมทั้งหมดหกสิบแปดตลับด้วยกัน เ้าคิดตลับละยี่สิบตำลึงเงิน รวมแล้วข้าต้องให้เ้าหนึ่งพันสามร้อยหกสิบตำลึงเงิน” หลังจากคิดเสร็จนางจึงเอ่ยถาม “ฟู่อิน เ้าว่าถูกต้องใช่หรือไม่? อยากให้ข้าคิดอีกครั้งหรือไม่?”
“ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ข้าไม่คิดก้าวก่ายเ้าค่ะ” หลินฟู่อินตอบพร้อมหัวเราะ
แม่นางฉินหัวเราะกลับ “เ้ารอประเดี๋ยว”
พูดจบหญิงสาวก็ลุกเข้าไปในห้องของนาง ก่อนกลับออกมาพร้อมเงินกองใหญ่
“นี่ตั๋วเงินรวมหนึ่งพันสามร้อยตำลึง ส่วนนี่คืออีกหกสิบตำลึงเงิน” แม่นางฉินยื่นกองเงินตรงหน้าให้หลินฟู่อิน
หลินฟู่อินเก็บตั๋วแลกเงินใส่ในกระเป๋าข้างในเสื้อคลุม ส่วนก้อนตำลึงเงินนางหยิบมาเก็บใส่กระเป๋า
หลังจากเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว นางจึงลุกขึ้นแล้วพูดกับแม่นางฉิน “ข้าจะขอเดินเล่นดูสินค้าที่ร้านท่านเสียหน่อย แล้วข้าจะลองนำแป้งหอมพวกนี้ไปวางขายด้วย”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” แม่นางฉินยิ้มอย่างมีความสุขก่อนร้องอุทานอย่างตื่นเต้น “ฟู่อิน เ้าช่วยข้าหยิบตลับแป้งหอมไปวางสิ ทำตัวตามสบายเหมือนเ้าช่วยข้าดูร้านได้เลย”
แม่นางฉินกล่าวอย่างไม่เกรงใจ แต่ตัวหลินฟู่อินเองก็ยินดีช่วยแม่นางฉิน หยิบแป้งหอมโม่กุ้ยเฝิ่นของนางออกไปหน้าร้าน
ทันทีที่แม่นางฉินปรากฏตัวก็มีเสียงบ่นจากลูกค้าเื่เดิมทันที
“เถ้าแก่เนี้ย ของร้านท่านดีทุกอย่างก็จริง แต่แป้งหอมนี้ช่างแห้งกร้าน ยากที่จะใช้ทาทั่วใบหน้าของข้านัก!”
แม่นางฉินรับฟังอย่างใจเย็น นางไม่รู้สึกรำคาญลูกค้าของนางสักนิด ทั้งยังตอบกลับด้วยรอยยิ้มสวย “แม่นางเฉิง ข้าจะไม่ปิดบังท่าน และยอมรับว่าแป้งหอมนี้ยากต่อการใช้งานจริงๆ”
แม่นางเฉิงอายุยังน้อยและดูเหมือนจะเป็สาววัยแรกแย้มที่กำลังมีความรัก ทั้งรักสวยรักงามและรักชายในใจของนางที่เป็เ้าของร้านใหญ่ถึงสองร้านในตัวเมือง กล่าวคือแม่นางเฉิงท่านนี้เป็ลูกค้าที่กระเป๋าหนักพอสมควร
หลังจากได้ฟังคำพูดของแม่นางฉิน ใบหน้าของนางก็ขมวดยุ่งยิ่งขึ้น “ข้าอยากให้ท่านคำนึงถึงการนำของดีมาวางขายมากกว่านี้ ผิวของคนเหนืออย่างข้าค่อนข้างแห้ง พอผัดแป้งนี้ลงไปเนื้อแป้งจึงหลุดอย่างง่ายดาย”
แม่นางเฉิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ แต่มีลูกค้าคนอื่นมาร่วมชี้แนะด้วยอย่างสนุกปาก
“จริงอย่างแม่นางว่า แป้งหอมนี้แห้งกร้านดีเสียจริง” หญิงสาวในชุดหรูหราฉูดฉาดหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาเพื่อเรียกความสนใจจากคนอื่น
“แป้งหอมไฉ่จือไจใช้ดีกว่านี้มาก แต่ก็ทั้งแห้งทั้งแพงอยู่ดี คุณภาพแป้งไม่สมกับราคาที่สูงลิบ หากเข้าฤดูหนาวยิ่งยากต่อการใช้งาน ข้าทนแทบไม่ไหว”
เห็นได้ชัดว่าคำเรียกร้องจากลูกค้าส่วนใหญ่นั้นเกี่ยวกับแป้งหอม หลินฟู่อินและแม่นางฉินมองหน้ากันและกัน รอยยิ้มสวยปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่
แม่นางฉินพยักหน้าส่งสัญญาณให้หลินฟู่อินอย่างรู้กัน นางยกมือขึ้นป้องปากเพื่อกระแอมแล้วพูดว่า “ท่านลูกค้าที่รัก ข้าเข้าใจคำพูดของพวกท่านดี ข้าเองก็ไม่ชอบเนื้อแป้งที่แห้งกร้าน แต่ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เวลานี้ข้ามีข่าวดีมาประกาศให้ทุกท่านได้ทราบ ร้านเล็กๆ แห่งนี้ของข้าได้แป้งหอมตัวใหม่มาจากปรมาจารย์ผู้เก่งกาจด้านนี้โดยเฉพาะ และพวกมันเดินทางมาถึงแล้ววันนี้ ขอเชิญทุกท่านนำไปลองใช้เถิด!”
สิ้นสุดเสียงะโก้อง เหล่าลูกค้าในร้านก็เริ่มเดินมารายล้อมพวกนาง
แม่นางเฉิงแย้งขึ้นมาว่า “เถ้าแก่เนี้ยฉิน ท่านพูดจริงหรือไม่? โปรดอย่าล้อเล่นกับพวกข้าอีกเลย”
“ใช่แล้ว เราคือลูกค้าประจำของท่านนะ!”
ท่ามกลางเสียงโต้เถียงของทุกคน แม่นางฉินก็พูดแทรกขึ้นอย่างใจเย็น น้ำเสียงของนางหาได้มีความลังเลแฝงอยู่ในนั้น “เหตุใดข้า เ้าของร้านฉินผู้นี้จะกล้าล้อเล่นกับลูกค้าผู้มีพระคุณของข้ากันเล่า? ดูสิ นี่คือแป้งหอมพร้อมให้ทุกท่านใช้ ขอเชิญพวกท่านมาลองแล้วว่ากันตามความจริงเถิด!”
หลินฟู่อินถอยกลับไปยืนรอที่ประตูด้านหลัง นางเห็นสาวน้อยสาวใหญ่จากตระกูลร่ำรวย ใบหน้าของบางคนก็คุ้นเคยเสียจนนางคิดว่าเป็การดีกว่าหากนางแยกตัวออกมา
แม่นางฉินหยิบตลับแป้งหอมขึ้นมาหนึ่งตลับให้เหล่าหญิงสาวลองใช้ เรียกเสียงฮือฮาได้ครั้งใหญ่
ลูกค้าที่ลองใช้ต่างอึ้งและทึ่งกับผลลัพธ์ที่ได้
โดยเฉพาะลูกค้าที่เคยซื้อแป้งหอมของไฉ่จือไจ “แป้งนี่มีกลิ่นหอมกว่าแป้งของไฉ่จือไจเสียอีก!”
“แป้งนี่ต้องแพงมากใช่หรือไม่ เถ้าแก่เนี้ยฉิน?” เสียงของลูกค้าสตรีท่านหนึ่งเอ่ยถาม แม้ใจยังลังเลที่จะซื้อแต่ก็ยังอยากรู้ราคาอยู่ดี
แม่นางฉินส่ายหน้าพร้อมมอบรอยยิ้มบางเป็คำตอบ “แป้งหอมนี่เรียกว่าโม่กุ้ยเฝิ่น ชื่อเสียงยังไม่โด่งดังเท่าของไฉ่จือไจ ราคาจึงถูกกว่าแป้งหอมที่ดีที่สุดของทางร้านอยู่มาก”
“ตลับละเท่าไรอย่างนั้นหรือ?” แม่นางเฉิงคนสวยถามอย่างตื่นเต้น นางเป็ลูกค้าที่ซื้อแป้งไฉ่จือไจเป็ประจำ แม้บางครั้งจะลังเลที่จะซื้อไปบ้าง แต่การซื้อสักสองสามตลับเก็บไว้ใช้ในหนึ่งปีก็ยังดี
ยิ่งแป้งหอมโม่กุ้ยเฝิ่นมีราคาถูกกว่าเช่นนี้ นางยิ่งอยากมีไว้ใน
หญิงสาวที่ลองใช้แป้งหอมโม่กุ้ยเฝิ่นหูผึ่งกันถ้วนหน้า รอฟังราคาจากปากแม่นางฉินด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
ราคาของแป้งนี้ต้องสูงมากอย่างแน่นอน
แม่นางฉินยิ้มแล้วพูดว่า “แป้งโม่กุ้ยเฝิ่นนี้ราคาตลับละยี่สิบแปดตำลึงเงิน” พูดจบนางก็สังเกตสีหน้าของหญิงสาวทั้งหลายทันที
แน่นอนว่าใบหน้าของผู้ที่ได้ยินต่างก็ฉายแววตกตะลึง แต่บางคนกลับส่ายหัวด้วยความผิดหวัง บางคนก็กัดฟันแน่นด้วยกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ
แม่นางเฉิงผู้เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและฐานะยิ้มแป้น “ถูกดีจัง”
หญิงสาวหลายคนที่ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดมองไปตรงหน้าด้วยความอิจฉา
ขณะนั้นเองหญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็เริ่มต่อแถวทยอยซื้อแป้งหอมกลับไปคนละตลับสองตลับ
หลินฟู่อินสังเกตเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ห่างๆ นางเห็นว่าแป้งหอมของนางนั้นขายออกไปแล้วห้าตลับ
“แป้งนี่ใช้ดีมาก ข้ารู้สึกชุ่มชื้นตอนใช้ทาบนใบหน้า แทบไม่รู้สึกถึงความหยาบกระด้างเหมือนแป้งหอมตัวอื่นเลย แถมมีกลิ่นหอมสดชื่นของดอกหอมหมื่นลี้เข้ามาเสริมอีก พวกท่านยังลังเลอะไรกันอยู่เล่า?”
เมื่อเห็นว่ายังมีคนที่ลองใช้แต่ยังไม่คิดจะซื้อ แม่นางฉินจึงเริ่มพูดโน้มน้าวใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้