แต่เื่ไม่คาดคิดคือเฉินเฟิงไม่รู้ว่าพนักงานต้อนรับสาวคนนี้เพิ่งกลับมาจากวันลา และเธอก็ไม่รู้ว่าโรงแรมห้าดาวเฉียนต๋าแห่งนี้ไม่ใช่ของตระกูลหวังแล้ว
ยิ่งกว่านั้น เพื่อนร่วมงานกะก่อนหน้าของเธอก็ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเ้าของโรงแรมคนใหม่เลย
เื่เลยกลายเป็ว่าเมื่อพนักงานต้อนรับที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เห็นเฉินเฟิงกอดผู้หญิงสองคนอย่างหน้าไม่อายด้วยใบหน้าซีดเซียว เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจว่า
“แล้วดิฉันจะรู้ได้ยังไงว่าห้องสวีทห้องไหนเป็ของคุณคะ? ห้องสวีทที่หรูที่สุดในโรงแรมของเราเป็ห้องส่วนตัวของท่านประธานหวังเจียนหลินกับลูกชายของท่าน หวังซือคง!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ เฉินเฟิงส่งยิ้มเ็าและจ้องมองเธออยู่นานโดยไม่พูดอะไร
ในชาติก่อน ในฐานะพระเ้าแห่งตลาดหลักทรัพย์รายย่อย เฉินเฟิงทำการกว้านซื้อหุ้นใหญ่ๆ จากกรุ๊ปหลายกรุ๊ป ไม่ว่าจะเป็เฉียนต๋ากรุ๊ป อาลีบาบา เพนกวินชิวชิว หรือแม้แต่ตู้เหนียง
เฉินเฟิงทำได้แม้กระทั่งให้คำแนะนำสามีแห่งชาติอย่างหวังซือคงว่าอย่าทำตัวเด่น ไม่งั้นสักวันเขาจะต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่น่าเสียดาย ถึงเป็เ้าของหุ้นจำนวนมากที่สามารถทำเงินได้ก็จริง แต่กลับไม่ได้ส่วนแบ่งโดยตรง
กลับมาตอนนี้ในปี 1995 เฉียนต๋าก็เพิ่งก่อตั้งได้เพียงเจ็ดปีเท่านั้น
ส่วนบริษัทั์ใหญ่ในอินเทอร์เน็ตอย่างพวกเพนกวินชิวชิว อาลีบาบา ตู้เหนียง และพวกบริษัทั์ใหญ่อื่นๆ ยังไม่ถูกก่อตั้ง
บริษัทพวกนี้จะถูกก่อตั้งในปี 1998 1999 และ 2000 ตามลำดับ
เฉินเฟิงยังมีเวลาสามถึงห้าปีเพื่อรวบรวมเงินทุนให้พอ
เขาตัดสินใจแล้ว ในยุคแรกเริ่มของการก่อตั้งบริษัทซึ่งเป็่เวลาที่ยากลำบากที่สุดของหม่าชิงหยางกับหม่าหลงเย้า [1] บริษัทเหล่านี้ยังคงอับจนหนทางถึงขนาดต้องหานักลงทุนจากต่างชาติ
หากเขายื่นมือเข้าช่วยถูกจังหวะ โดยการเสนอเงินทุนอย่างน้อยสองเท่าที่นักลงทุนชาวต่างชาติพวกนั้นเสนอเพื่อให้ได้รับส่วนแบ่งมากขึ้น!
เมื่อถึงเวลาที่บริษัทเหล่านี้มั่นคง เงินส่วนมากก็จะไม่ถูกนักลงทุนต่างชาติแย่งไป!
แน่นอนว่าเฉินเฟิงในฐานะพระเ้าแห่งตลาดหลักทรัพย์ผู้มีทรัพย์สินในกว่าพันล้านหยวน เมื่อได้มีโอกาสเกิดใหม่ทั้งที เป้าหมายเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่แย่งชิงส่วนแบ่งจากบริษัทอินเทอร์เน็ตแน่
เขา้าก่อตั้งบริษัทที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างไม่มีใครเทียบได้ ขนาดว่าบริษัทของเขาต้องกลายเป็เป็บริษัทเอกชนที่ร่ำรวยที่สุดในฮว่าเซีย [2]
เมื่อพนักงานต้อนรับเห็นว่าเฉินเฟิงเอาแต่มองไม่พูดอะไรสักคำ สายตาของเธอก็เริ่มฉายแววเอาเื่
เธอจึงแกล้งทำเป็โทรหาตำรวจเพื่อเป็การข่มขู่
“จะทำอะไรกลางวันแสกๆ แบบนี้”
เฉินเฟินยิ้มมุมปากพร้อมหัวเราะเบาๆ พนักงานต้อนรับแค่ไม่รู้ว่าเขาเป็ใคร เื่แค่นี้เขาไม่เก็บเอามาใส่ใจ หรือจะเพ่งเล็งเธอทีหลังอยู่แล้ว
“คุณหัวเราะอะไรคะ?!” พนักงานต้อนรับผงะไปเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของเฉินเฟิง
รอยยิ้มของเขาน่ามหัศจรรย์จริงๆ!
แท้จริงแล้วก็เป็รอยยิ้มนี้นี่เองที่ทำให้ทั้งหลิ่วอีอี จางหลินเจี๋ย และหลินชิวหยุนแอบตกหลุมรักเขา
โชคดีที่ใน่สามปีที่ผ่านมา เฉินเฟิงมัวแต่ตามจีบจ้าวฉินเสวีย ดาวมหาลัยผู้มีภูมิต้านทานรอยยิ้มของเฉินเฟิง ทำให้เขาไม่ค่อยได้ส่งยิ้มให้สาวๆ คนไหนมากนัก
ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ คงต้องมีสาวๆ ในมหาวิทยาลัยตกหลุมรักเฉินเฟิง หรือเดือนมหาลัยผู้ยากจนคนนี้อีกแน่
“คุณเฉิน ตื่นแล้วเหรอคะ! ห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทเป็ยังไงบ้างคะ?” เฉินเฟิงไม่จำเป็ต้องอธิบายอะไรให้มากความ ในเมื่อพนักงานต้อนรับอีกคนที่ควรจะมาเปลี่ยนกะั้แ่สี่โมงเย็นมาถึง
พนักงานต้อนรับคนนี้เป็คนเดียวกับที่ทำงานกะเย็นเมื่อวาน โดยปกติแล้วจะหมุนเวียนกะเช้าและกะเย็นทุกๆ สิบวัน
เมื่อวานตอนสี่โมงเย็นเป็วันที่เธอเริ่มทำกะเย็นพอดิบพอดี แล้วก็เป็วันที่หวังเจียนหลินเรียกพนักงานทุกคนมาเพื่อประกาศอีกครั้งว่าโรงแรมแห่งนี้ถูกขายให้เฉินเฟิงแล้ว ซึ่งในเวลานั้นเฉินเฟิงกำลังนั่งกินดื่มอยู่ในร้านมิชลินสามดาว
หลังจากนั้นหวังเจียนหลินก็ทำการอำลาโรงแรมอันเป็ลางร้ายแห่งนี้ โรงแรมที่ทำให้เฉียนต๋ากรุ๊ปต้องขาดทุนเป็เวลาติดต่อกันถึงสองปี
ด้วยเหตุนั้น พนักงานต้อนรับคนนี้จึงรู้ว่าใครเป็เ้านายคนใหม่ของที่นี่ ถึงแม้จะมาสาย แต่เธอรีบตามมาไถ่ถามทันที
“หลับสบายดี!” เฉินเฟิงตอบแล้วจึงถามพนักงานต้อนรับที่มาสาย “ผมได้ยินจากพนักงานต้อนรับคนนี้ว่าห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทที่ผมพักเมื่อคืน เป็ห้องส่วนตัวเฉพาะของครอบครัวหวังเจียนหลิน ถูกไหม?”
เมื่อได้ยินคำถาม พนักงานต้อนรับที่มาสายจึงถามกลับด้วยความร้อนรน ”ใช่แล้วค่ะ...คุณไม่ชอบเหรอคะ?”
“คุณคิดว่ายังไงล่ะ? เื่ง่ายๆ แค่นี้ยังจัดการกันไม่ได้!” เฉินเฟินพยักหน้า พูดด้วยท่าทางขึงขัง
“วันแรกที่ผมเป็หัวหน้าคนใหม่ของที่นี่ คุณก็มาสายแล้ว แถมยังสายเป็ชั่วโมง ผมจะจัดการกับคุณยังไงดี?”
“หัวหน้าคะ ให้โอกาสฉันเถอะค่ะ!” พนักงานต้อนรับที่มาสายรีบร้องขอความเมตตา
“วันนี้แม่ของฉันป่วย แถมระหว่างทางกลับจากโรงพยาบาล ฉันก็เกือบโดนรถชนจนมาสายค่ะ”
“ในเมื่อนี่เป็ความผิดครั้งแรก อีกทั้งเหตุผลยังพอเข้าใจได้ ผมจะยังไม่ไล่คุณออกตอนนี้แล้วกัน” เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายของเธอ เฉินเฟิงจึงพูดต่ออย่างเฉยเมย
“แต่ว่านับั้แ่เดือนนี้ไป เงินเดือนของทุกคนเพิ่มขึ้นสองเท่า ส่วนของคุณจะเริ่มนับั้แ่เดือนหน้า ที่เหลือไปคุยกับผู้จัดการของคุณเอาเอง”
หลังจากได้ยินคำตัดสินของเฉินเฟิง พนักงานต้อนรับที่มาสายรีบพยักหน้ารับ จากนั้นจึงไปรายงานเกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือนให้ผู้จัดการโรงแรม
“ทีนี้รู้หรือยังว่าผมเป็ใคร?” ตอนนี้เองเฉินเฟิงหันกลับไปถามพนักงานต้อนรับสาวที่กำลังตะลึงงัน
“ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ผมจะใช้ห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทห้องนั้นเป็ห้องออฟฟิศโรงแรม คุณก็ไปจัดหาห้องอื่นเป็ห้องพักให้ผมละกัน ไม่จำเป็ต้องเป็ห้องสวีทนะ”
หลังจากดึงสติคืนจากรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของเฉินเฟิงได้ พนักงานต้อนรับรู้สึกใกับตำแหน่งของเขามาก เลยรีบพยักหน้ารับคำสั่งเหมือนไก่จิก
“จะจริงจังอะไรขนาดนั้น?” ในที่สุดหลินชิวหยุนก็พูดแทรกขึ้นจากทางซ้าย “พนักงานต้อนรับคนนี้เหมือนอายุเพิ่งจะพ้นสิบแปดปีมาหมาดๆ เอง อย่าไปทำให้เธอใสิ”
“ถ้าเธอว่าอย่างนั้นละก็ งั้นเธอก็มาลองจัดการโรงแรมนี้ดู” เฉินเฟิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำพูดหลินชิวหยุน “ปีสุดท้ายที่จะมาถึงนี้ เธอต้องฝึกงานอยู่แล้ว งั้นก็มาเรียนรู้วิธีบริหารโรงแรมห้าดาวนี่เลยละกัน”
เมื่อได้ยินเฉินเฟิงพูดจนจบ จ้างหลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างไม่รีรอ เธอตอบกลับอย่างเร็วรวดยิ่งกว่า “ฉันก็อยากลองบริหารโรงแรมเหมือนกัน ให้ฉันพักอยู่ที่นี่แล้วช่วยจัดการด้วยเถอะนะ”
จางหลินเจี๋ยย่อมไม่ยอมแพ้แน่นอน
ยังไงก็ตาม ทั้งเธอและหลินชิวหยุนได้มอบครั้งแรกให้กับเฉินเฟิงไปในโรงแรมห้าดาวสุดหรูแห่งนี้แล้ว
“งั้นเอาตามนี้!” เฉินเฟิงกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง
“ฉันจะมอบตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในบริษัทที่ฉันเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ ’เฟิงฮวาเจว๋ต้าย [3]’ ให้พวกเธอ พวกเธอจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการโรงแรมจากผู้จัดการ เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้เป็สิบเท่า แล้วหลังจากปีหน้า เมื่อพวกเธอรับปริญญา ฉันจะเลือกคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับการทำงานมาเป็ผู้จัดการโรงแรมแห่งนี้อย่างเป็ทางการ ส่วนอีกคนที่ไม่ถูกเลือกต้องไปเป็เลขาของฉันที่เฟิงฮวาเจว๋ต้าย”
เชิงอรรถ
[1] หม่าชิงหยางกับหม่าหลงเย้า คือชื่อผู้ก่อตั้งบริษัททั้งสอง ซึ่งอ้างอิงมาจากชื่อคนจริงๆ ได้แก่ แจ็คหม่า (ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา) กับ หม่าฮัวเถิง (ผู้ก่อตั้งเท็นเซ็นต์)
[2] ฮว่าเซีย เป็ชื่อเรียกที่คนจีนในแถบลุ่มแม่น้ำฮวงโหใช้เรียกตัวเอง
[3] เฟิงฮวาเจว๋ต้าย เป็คำเรียกคนละชื่อกับชื่อเต็มของบริษัทตามกฎหมาย