ไม่รอให้โจวซื่อเอ่ยปากพูด ใบหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็เศร้าหมอง เอาแขนเสื้อปิดหน้า น้ำเสียงเจือสะอื้น "ท่านแม่คิดว่าข้าไม่ควรใช้เงินเชิญหมอมารักษาสามีหรือ ?"
หลินกู๋หยู่แสร้งทำเป็เช็ดน้ำตา นางยืนก้มหน้าอย่างเชื่อฟังราวกับเด็กที่ทำผิด ในมุมที่ไม่มีใครมองเห็นได้ มุมปากของนางโค้งขึ้นน้อยๆ คล้ายเป็รอยยิ้มเยาะเย้ย
“เ้าพูดพล่ามอะไร” ฟางซื่อชี้นิ้วมือไปที่ปลายจมูกของหลินกู๋หยู่ นางพูดอย่างโกรธเคือง “นี่ก็ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว หมอในเมืองมาที่นี่วันเว้นวัน ทุกคนต่างก็รู้ว่าค่าออกไปรักษาคนไข้นอกสถานที่ของหมอคนนั้นไม่น้อยเลย เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจะเพียงพอหรือ?"
หลินกู๋หยู่มองไปที่ฟางซื่อด้วยดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากของนางเม้มแน่นจนเป็สีซีด
ที่ฟางซื่อพูดก็ถูก ค่าออกไปรักษาคนไข้นอกสถานที่ย่อมไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าการออกมารักษาคนไข้ในชนบท หมอย่อมต้องคิดเงินเพิ่มอย่างแน่นอน สมัยนี้มีหมอที่ไหนรักษาคนไข้โดยไม่คิดค่ารักษา
ทุกคนเริ่มบ่นพึมพำ
"เขียนใบยืมหนี้ นี่..." หลินกู๋หยู่โกหกตาใส ไม่นับเงินที่ให้ลู่จื่อยู่ไปแล้วเ่าั้ นางมีเงินเพียงสามตำลึงอยู่ในมือ
“ท่านแม่” ฉือหางซึ่งนอนอยู่บนเตียงเอ่ยขัด เขามองโจวซื่อจากด้านข้างเสียงแ่เบา “พวกเรายังติดหนี้ท่านหมอลู่สิบตำลึง”
หลินกู๋หยู่ไม่รู้ว่าจะสร้างคำพูดที่เหลืออย่างไร เมื่อได้ยินฉือหางพูดดังนั้น นางจึงก้มศีรษะลง
ฉือหางเริ่มโกหกแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาไม่้าร่วมครอบครัวจริงๆ
ฟางซื่อคิดคำนวณ สำหรับเงินสิบตำลึงนี้ แม้ว่าน้องสามจะฟื้นตัวและออกล่าสัตว์ ต่อให้ไม่กิน ไม่ดื่มก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งปี ยิ่งกว่านั้นไม่รู้ว่าอาการป่วยของเขาจะหายเป็ปกติเมื่อไร ในระยะเวลานี้ย่อมยังต้องใช้เงินอีกอย่างแน่นอน
คนเราก็เป็เช่นนี้ จะอย่างไรก็ได้ แต่อย่าได้ป่วยก็แล้วกัน คนเราจะไม่มีอะไรก็ได้ แต่ไม่มีเงินไม่ได้
บางทีฉือหางอาจจะต้องใช้เงินมากกว่านี้ในระยะหลัง กำไรที่ได้อาจจะไม่คุ้มกับการสูญเสีย
ยิ่งไปกว่านั้น น้องสี่เรียนหนังสือยังต้องใช้เงิน แต่นั่นก็ยังเป็ทางเลือกที่ดี เพราะตามที่ท่านอาจารย์ของน้องสี่พูดไว้ น้องสี่อาจจะสอบผ่านได้เป็ข้าราชการในระดับต้น
ข้าราชการในระดับต้น
เช่นนั้นได้เป็เ้าคนนายคน
เมื่อถึงเวลานั้น ครอบครัวก็จะไม่ต้องเสียภาษีสำหรับการทำนาทำไร่แล้ว ใครจะมาดูถูกครอบครัวของพวกเขาได้?
หลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าเงินในครอบครัวมีน้อยไม่พอกินไม่พอดื่ม แต่กระนั้นพวกเขาก็ต้องสนับสนุนให้ฉือเย่เรียนหนังสือ เมื่อฉือเย่ประสบความสำเร็จ พวกเขาจะกลายเป็พี่สาว เป็แม่ของเ้าคนนายคนแล้ว
ฟางซื่อคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน หลังจากเห็นสภาพของน้องสาม หากการรวมครอบครัวจะเป็สาเหตุทำให้ทั้งครอบครัวของพวกนางต้องพลอยลำบากไปด้วย เช่นนั้นจะทำอย่างไร
"ท่านแม่" ฟางซื่อเป็คนช่างพูดเสมอ นางเอนตัวไปกระซิบข้างใบหูโจวซื่อ "หรือว่าพวกเราไม่อยู่ด้วยกันเป็ครอบครัวดี น้องสามดูไม่เต็มใจนัก"
ดวงตาของโจวซื่อตกลงไปที่ร่างของฉือหาง ดวงตาของนางสั่นเครือเช่นเดียวกับริมฝีปากที่สั่นเทา
สาเหตุที่โจวซื่อ้ารวมครอบครัว ไม่เพียงเพราะวันข้างหน้านาง้าให้ฉือหางสร้างรายได้มากขึ้น แต่ยังเป็เพราะผู้หญิงคนนั้น และที่มากกว่านั้นเป็เพราะในเวลาที่สามีของนางยังมีชีวิตอยู่ เขาชอบที่จะอยู่ด้วยกันเป็ครอบครัว
ฉือหนานเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่โชคดีที่ลูกๆ เชื่อฟัง ครอบครัวนี้จึงเป็อันหนึ่งอันเดียวกันเสมอ
ทว่าั้แ่ฉือหางประสบอุบัติเหตุ ลูกชายคนโตและลูกชายคนรองภายนอกดูเหมือนช่วยดูแลฉือหาง แต่ในใจของพวกเขานั้นไม่เต็มใจนัก มักจะบ่นพึมพำอยู่ข้างนอก ซึ่งประเด็นที่พวกเขาบ่นนั้นคือ้าให้ฉือหางกลับบ้าน
ดูเผินๆ คล้ายโจวซื่อเป็คนจัดการครอบครัวโจวทั้งหมด แต่ในความเป็จริงแล้วนางไม่มีอำนาจใดๆ เลย และสิทธิ์ในการพูดก็เป็ของคนในครอบครัวของลูกชายคนโตและลูกชายคนรอง
ลูกชายคนโตเป็คนซื่อสัตย์ แต่ภรรยาของเขานั้นไม่ใช่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่ลูกสะใภ้คนโตพูดออกมา ลูกชายคนโตก็จะทำตามอย่างเชื่อฟัง
ส่วนลูกคนรองและลูกสะใภ้รองนั้นฉลาดแกมโกง พวกเขามักจะจุดไฟจากด้านข้างเสมอ ตราบใดที่ลูกสะใภ้คนโตคิดว่าถูกต้อง ทั้งสองครอบครัวจะยืนอยู่ในฝั่งเดียวกัน
ฉือเย่เรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว แม้ว่าเขาจะคอยช่วยเหลือเมื่อมีเวลาว่าง แต่สิ่งที่เขาทำได้นั้นมีไม่มากนัก คนในครอบครัวต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้เขา ภายใต้สถานการณ์ปกติ ฉือเย่จะไม่สนใจดูแลเื่ในครอบครัวเหล่านี้
โจวซื่อถอนหายใจอย่างจนปัญญา มองไปที่ฉือหางที่นอนอยู่บนเตียงและพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ฝ่ามือและหลังมือเป็เนื้อเดียวกัน[1]
หากนางรู้ว่าอาการเจ็บป่วยของฉือหางจะสามารถหายดีได้ในเวลานั้น นางจะไม่พูดถึงการแยกครอบครัวอย่างแน่นอน
“เอาละ” โจวซื่อมองฉือหางที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความลำบากใจ “ในเมื่อยังเป็หนี้หมอสิบตำลึง วันหลังข้าจะให้เงินห้าตำลึงกับพวกเ้า”
ฟางซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟังคำพูดของโจวซื่อ ใบหน้าเปลี่ยนเป็มืดมน
“ท่านแม่” ใบหน้าของฉือหางแสดงออกถึงความตื่นตระหนก
“ครอบครัวก็ไม่มีเงินมากนัก” โจวซื่อถอนหายใจอย่างจนปัญญา “พักผ่อนรักษาอาการป่วยเถอะ”
ฟางซื่อดึงแขนเสื้อโจวซื่อแล้วขยิบตา
"ถ้าดวงตาของเ้ามีสิ่งผิดปกติก็รีบไปพบหมอ จะดึงข้าทำไมหรือ!" โจวซื่อมองดูฟางซื่ออย่างไม่พอใจ นางผลักฟางซื่อไปด้านข้างก่อนจะช่วยประคองท่านปู่ฉือด้วยความเคารพนอบน้อม
ท่านปู่ฉือเป็เสาหลักของตระกูลฉือ โจวซื่อยอมมีเื่กับท่านลุงมากกว่าไม่เชื่อฟังคำพูดของท่านปู่ฉือ
ท่านปู่ฉือค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แต่ไม่ได้ออกไปในทันที เขาเดินไปที่เตียง มองสีหน้าของฉือหางแล้วพูดอย่างเป็ห่วงเป็ใย "ดูแลตัวเองให้ดี"
ฉือหางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ เขาคงไม่พูดว่าเขาเป็หนี้หมอลู่ด้วยเงินเท่านี้ เขาแค่พลั้งปากพูดไปก็เท่านั้น เขาไม่คิดว่าโจวซื่อจะส่งเงินให้เขามากมายขนาดนั้น
เมื่อกลุ่มคนออกไป หวังเสี่ยวเชี่ยนยิ้มและเดินไปหาหลินกู๋หยู่ "พี่สะใภ้สาม ตอนที่ข้าได้ยินว่ามีคนมากมายมาที่บ้านของพี่ ข้ากังวลว่าพี่จะพูดสู้พวกเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว"
สำหรับสิ่งที่หวังเสี่ยวเชี่ยนทำ หลินกู๋หยู่รู้สึกซาบซึ้งมาก นางรู้สึกว่าหวังเสี่ยวเชี่ยนเป็คนตรงไปตรงมา คนแบบนี้ง่ายต่อการเป็เพื่อนด้วยที่สุด "ขอบคุณ ถ้าเ้าไม่ช่วยข้าั้แ่แรก ข้าก็คงไม่กล้าพูด”
หลังจากส่งหวังเสี่ยวเชี่ยนออกไป หลินกู๋หยู่ก็เฝ้าดูโต้ซานั่งเล่นกับหมอนบนเตียงอย่างมีความสุข และย่างกรายไปที่เตียงของฉือหาง
"อีกสักพักหากท่านแม่ส่งเงินมาให้ ข้าปฏิเสธดีหรือไม่?” ทุกครั้งที่หลินกู๋หยู่ต้องใช้เงิน นางจะบอกฉือหางอย่างชัดเจนเพื่อให้เขารู้ว่าครอบครัวมีเงินเท่าไร ฉือหางจะได้มีส่วนร่วมด้วย
ฉือหางขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่โต้ซาบนเตียง "เอามาเถอะ ข้าจะจ่ายคืนเมื่อข้าหาเงินได้ในปีหน้า"
เขาเป็นักล่าที่เก่งกาจ ย่อมหาเงินได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ
"เ้า...."
“เงินในมือของเ้าคงอยู่ได้ไม่นาน” ฉือหางยื่นมือไปจับมือของหลินกู๋หยู่ ดวงตาสีเข้มจับจ้องนางอย่างสงบ “เราต้องใช้เงิน”
มือที่ถูกเขาจับรู้สึกแปลกเล็กน้อย เมื่อหลินกู๋หยู่กำลังจะเอื้อมมือเพื่อปัดมือของฉือหางออก ฉือหางก็ปล่อยมือด้วยตัวเองอย่างประจวบเหมาะ
“เช่นนั้นก็ดี” ใบหูของหลินกู๋หยู่ร้อนอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้ นางหันศีรษะไปทางด้านข้าง “ใน่เวลานี้ข้าจะไปเก็บสมุนไพร ดูว่าพอจะซื้อของดีๆ มาบำรุงร่างกายเ้าได้หรือไม่"
"เอ่อ" ฉือหางมองดูหลินกู๋หยู่หมุนตัวหันกลับไป เอื้อมมือไปจับมือของหลินกู๋หยู่ "พี่สะใภ้รอง นาง..."
ฉือหางยังไม่ทันได้พูดอะไรก็เห็นว่าหลินกู๋หยู่สะบัดมือออกแล้วมองเขาด้วยความระแวดระวัง เหมือนกับตอนที่เขาพบสัตว์บนูเา สัตว์เ่าั้ก็มองเขาเช่นนี้เช่นกัน
หลินกู๋หยู่เม้มริมฝีปากเล็กน้อยราวกับว่านางเพิ่งมีสติสัมปชัญญะ เสียงของนางมั่นคง "มีอะไรหรือ?"
“สิ่งที่พี่สะใภ้รองพูด เ้าอย่าถือสาเลย” ฉือหางลังเล เมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของหลินกู๋หยู่ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
“ข้าสบายดี” หลินกู๋หยู่รีบส่ายศีรษะ
นางยังไม่ชินกับการถูกััจากคนแปลกหน้า
นางเป็หมอ เวลานางรักษาคนไข้ นางไม่รังเกียจที่จะแตะต้องคนอื่น
เพียงแต่ว่า
ในขณะที่นางไม่รู้ตัว หากมีใครแตะต้องตัวนาง ปฏิกิริยาแรกของนางคือการผลักคนนั้นออกไป
ถ้าผลักออกไปไม่ได้ นางก็แค่ใช้มือเหวี่ยงสุดแรง
เห็นได้ชัดว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างนางเข้าััคนอื่นและคนอื่นัันาง แต่ในใจของนางกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
หลังจากที่หลินกู๋หยู่พูดจบ นางก็หันหลังและเดินไปทางโต้ซา
ผู้ที่มาส่งเงินคือซ่งซื่อพี่สะใภ้ใหญ่ นางวางถุงเงินในมือของหลินกู๋หยู่ด้วยใบหน้าเ็าแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลินกู๋หยู่ไม่สนใจว่าการแสดงออกของซ่งซื่อจะเป็อย่างไร นางเดินกลับไปที่ห้องด้วยตัวเอง เก็บเงินอย่างดีแล้วก็เริ่มเตรียมอาหารเย็น
เดิมทีก็ผล็อยหลับไปอย่างมีความสุขในตอนเที่ยง แต่ใครจะรู้ว่าเื่น่ารำคาญใจนั้นจะเกิดขึ้นในตอนบ่าย
แต่สิ่งที่ทำให้หลินกู๋หยู่มีความสุขก็คือการที่โจวซื่อส่งเงินมาให้ เพราะท้ายที่สุดแล้วมันจะสะดวกกว่าที่จะทำอะไรก็ได้ถ้ามีเงินที่มากขึ้น
ครึ่งเดือนต่อมา
ณ สถานศึกษาภายในเมือง
"ฉือเย่ เ้าไม่สบายหรือไม่ ข้าคิดว่าสีหน้าของเ้าคล้ายจะไม่สบาย" อู๋เหลยมองไปที่ฉือเย่อย่างเป็ห่วง
เขาปวดศีรษะและรู้สึกอึดอัดไปทั่วร่างกาย ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะจับดินสอ ฉือเย่พยายามแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้ม "ไม่เป็ไร"
อู๋เหลยไม่ค่อยเชื่อคำพูดของฉือเย่นัก เขาจึงยกมือขึ้นแตะหน้าผากของฉือเย่และขมวดคิ้วแน่น "เ้ามีไข้ อีกสักพักหลังจากทานอาหารเย็นแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถอะ"
เขาไม่มีความอยากอาหาร แต่กระนั้นก็ตามฉือเย่ยังคงฝืนกินช้าๆ เพราะเขารู้ว่าหากไม่กินข้าว ร่างกายของเขาจะฟื้นตัวได้ช้ากว่า
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ฉือเย่ก็กลับไปที่ห้องและนอนหลับไปเพียงลำพัง
เขาผล็อยหลับไป ดูเหมือนจะได้ยินอะไรบางอย่างกลางดึก ทว่าเสียงเ่าั้ดูคลุมเครือ ได้ยินไม่ชัดเจนนัก
โจวซื่อกำลังสานที่ตักขยะอยู่ในลานบ้าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงรถม้าจากด้านนอก นางใมาก เป็ไปได้ไหมว่าพวกนางจะมาแล้ว?
โจวซื่อวางของในมือลงแล้วรีบเดินออกไป นางเห็นรถม้าหยุดอยู่ด้านหน้าประตู
ปรากฏว่าพวกนางมาแล้วจริงด้วยๆ
ม่านรถม้าถูกเปิดออก ผู้ที่ออกมาจากด้านในรถม้าคือบัณฑิตคนหนึ่ง "สวัสดีท่านป้า!"
โจวซื่อตะลึง เป็ผู้ชายได้อย่างไรหรือ?
"เมื่อคืนนี้พี่ฉือเย่ไม่ค่อยสบาย พวกเราเลยรีบเรียกท่านหมอมาดูอาการ..."
ก่อนที่อู๋เหลยจะพูด ก็เห็นสตรีคนนั้นปีนเข้าไปในรถด้วยความตื่นตระหนก
อู๋เหลยหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว เขาหยุดชะงักไปชั่วคราว "ท่านหมอบอกว่าเขาเป็โรคฝีดาษ!"
มือของโจวซื่อที่กำลังจะััฉือเย่หยุดอยู่ท่ามกลางอากาศ ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็สีน้ำเงิน นางมองไปที่อู๋เหลยด้วยความตื่นตระหนก
จากนั้นโจวซื่อก็ตระหนักได้ว่าร่างกายของอู๋เหลยถูกห่อพันไว้แน่น นางลืมหายใจไปชั่วขณะ เนื่องจากความตื่นตระหนก
“ฝี... ฝีดาษหรือ?” แม้ว่าโจวซื่อจะเป็เพียงสตรี แต่กระนั้นนางก็ยังรู้เื่ไข้ทรพิษ เสียงของนางสั่นคลอนและนางถามอย่างเหลือเชื่อ
อู๋เหลยมองไปที่ฉือเย่ในรถม้าอย่างเศร้าๆ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างหนักใจ
…………………………………………………………………………………
[1] ฝ่ามือและหลังมือเป็เนื้อเดียวกัน หมายความว่าฝ่ามือและหลังมือเติบโตบนมือเดียวกัน อุปมามีความสำคัญเท่าเทียมกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้