เส้นทางของผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพแห่งนี้กล่าวว่าการดิ้นรนต่อสู้นั้นเป็สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ถือเป็กฎเกณฑ์ที่แม้ไม่ถูกระบุด้วยลายลักษณ์อักษร ทว่าย่อมกระจ่างใจแก่บรรดาผู้ฝึกตนทุกคน กันทั้งสิ้น พวกเขาทั้งหลายล้วนต้องฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามมากมายเพื่อเอาชีวิตรอดและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ที่สำคัญคือ โลกยุทธภพนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การประลองฝีมือบนสังเวียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการชิงไหวพริบอันซับซ้อนมีชั้นเชิงที่เหล่าผู้ฝึกตนต้องใช้ทั้งพละกำลังและสติปัญญาเพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดเหนือผู้ใด
แน่นอนว่าเส้นทางนี้ย่อมเป็การเดินทางที่โหดร้ายหาใช่โรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขาทั้งหลายย่อมต้องเผชิญหน้ากับความเ็ป ความสูญเสียและความสิ้นหวังอย่างนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันบนเส้นทางเดินนี้ก็สามารถพบเจอกับมิตรภาพเพื่อนำทางไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือการต่อสู้ในโลกยุทธภพนี้ไม่ใช่เพียงเป็การเอาชีวิตรอด การดิ้นรนหนีต่อสู้ในโลกยุทธภพจึงเป็การเดินทางที่ทั้งโหดร้ายบ้างก็งดงาม อย่างไรย่อมถือเป็การทดสอบขีดจำกัดของมนุษย์และเปิดเผยความกล้าหาญ ความเมตตารวมไปถึงความมุ่งมั่นที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของผู้คนว่ามีมากน้อยเพียงใด...
"หวังเฟยหลงคือท่านลุงของข้าใช่หรือไม่ขอรับ?" แม้พอจะคาดเดาได้แต่หนิงอ้ายก็ได้ถามไปเพื่อความมั่นใจ
"หลานรู้ได้อย่างไร...หรือว่า" หวังจิ่งหลงที่ได้ยินก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงเื่ราวที่ได้พูดคุยกับอีกฝ่ายก่อนหน้าที่ว่ามียอดฝีมือวันเยาว์ท่านหนึ่งเข้ามาช่วยได้ทัน คนผู้นั้นคงเป็หลานชายของเขาคนนี้เป็แน่
"มหาค่ายกลจากห้วงมิติพิสดารได้นำพาข้าไปโผล่ที่ใจกลางผืนป่าโบราณ จากนั้นหลานจึงได้ออกเดินทางออกมาเรื่อย ๆ และบังเอิญช่วยเหลือท่านตารองไว้ได้ทันพอดีขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปให้หายสงสัย
"ขอบคุณหลานมากที่ช่วยตาของเ้าได้ทันท่วงที..." หวังจิ่งหลงเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ เพราะหากช่วยเหลือไม่ทันแล้วเขาคงต้องสูญเสียน้องชายไปอย่างตลอดกาล
"นอกเหนือจากตระกูลฟางแล้วยังมีอีกหลายตระกูลที่เข้าร่วมกับตระกูลฮั่นตาคิดว่าพวกมันคงจะลงมือในวันประชุมใหญ่..." หวังจิ่งหลงคาดการณ์ออกมา ก่อนที่จะได้พูดคุยกันมากกว่านี้ เสียงเร่งฝีเท้าด้วยวิชาตัวเบาขั้นสูงสุดที่กำลังมุ่งตรงมายังตำหนักด้วยความเร่งรีบด้วยเพราะปรากฎแน่ชัดในญาณััรับรู้ของทุกคนในที่นี้ พ่อบ้านประจำตระกูลจะบอกกล่าวบางสิ่งที่เกิดขึ้นให้รับรู้
"ท่านประมุขเกิดเื่ร้ายแรงขึ้นแล้วขอรับ ท่านผู้าุโในตระกูลหลายท่านรวมไปถึงท่านประมุขคนเก่าได้ถูกวางยาพิษ อาการของทุกคนย่ำแย่อย่างถึงขีดสุดโอสถทิพย์ระดับห้ายังทำได้เพียงชะลอพิษร้ายเพียงเท่านั้น ทั้งยามนี้ท่านหวังจางจิ้งก็ได้หลบหนีไปยังตระกูลฮั่นแล้วด้วยขอรับ!!!" พ่อบ้านหวังเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงตึงเครียด สถานการณ์ยามนี้นับเป็วิกฤตของตระกูลหวังที่เกิดจากฝีมือของคนในอย่างแท้จริง
"เ้าจงรีบนำทางข้า พวกเ้าทั้งสามเหมยฮวา เยว่ซิน หนิงอ้าย จงรออยู่ในเรือนหลังนี้ให้ดี หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด!!!"
"ท่านตา ข้าขอไปกับท่านด้วยนะขอรับ โอสถที่ข้าอยู่อาจพอช่วยเหลือทุกคนได้ไม่น้อย..." ทางฝั่งของเหมยฮวากับเยว่ซิน แม้จะเป็ห่วงทั้งสองมากเพียงใด ทว่าพวกนางก็นับว่าเป็สตรีที่รู้ความท่านหนึ่งเช่นกัน ก่อนแยกจากไปพวกนางจึงไม่ลืมเน้นย้ำให้พวกเราทั้งสองดูแลตนให้ดีด้วย หวังจิ่งหลงกับหนิงอ้ายจึงตกปากรับคำอย่างแข็งขัน พร้อมกับเรียกใช้ท่าร่างวิชาตัวเบามุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นในทันที
เมื่อไปถึงพื้นที่ดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าโดยรอบบริเวณนี้ล้วนเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ที่พอจะคาดเดาได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดสิ่งใดขึ้น ทั้งยังมีร่างไร้ิญญาอีกนับสิบที่นอนตายเกลื่อนอยู่โดยรอบ
"คำนับพี่ใหญ่..." หวังเฟยหลงเห็นพี่ชายของตนที่เป็ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันมาถึงจึงรีบเข้ามาทักทายในทันที แม้จะแปลกใจที่เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ตามติดมาด้วย แต่พอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเป็หลายชายของตนที่ได้ตกตายไปเมื่อสิบปีก่อน ไม่คาดคิดว่าสมบัติวิเศษของตระกูลชิ้นนั้นจะสามารถฟื้นคืนชีวิตได้เช่นนี้
ชายที่มีรูปลักษณ์วัยกลางคนตรงหน้ามีนามว่าหวังเฟยหลง หรือตามศักดิ์ฐานะของอีกฝ่ายคือคุณชายรองตระกูลหวัง ก่อนหน้านี้ที่หนิงอ้ายได้ช่วยเหลืออีกฝ่ายด้วยความบังเอิญจึงไม่ได้สังเกตุสักเท่าไหร่ แต่พิจารณาอีกครั้งแล้วหน้าตาของอีกฝ่ายมีความหล่อเหลาคล้ายคลึงกับตาของเขามากถึงสามสี่ส่วนเพียงแต่ดูอ่อนเยาว์กว่าเท่านั้น
หวังเฟยหลงผู้นี้กล่าวได้ว่าเป็อีกหนึ่งผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงอยู่ ไม่น้อย ด้วยรากฐานพลังปราณของราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นสูงด้วยวัยเพียงเท่านี้ รวมไปถึงความสามารถและฝีมือที่ไม่อ่อนด้อย สิ่งเหล่านี้จึงทำให้อีกฝ่ายได้รับการยอมรับและนับถือของคนในตระกูล ่เวลาก่อนหน้านี้ที่หวังจิ่งหลงหนีหายไปนั้น หวังเฟยหลงต่างถูกเสนอชื่อขึ้นเป็ว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไปอยู่หลายครั้ง ทว่าเขาได้แต่ปฏิเสธอยู่ทุกครั้งไปด้วยเหตุผลมากมายที่ได้กล่างอ้าง ถึงอย่างนั้นภาระหน้าที่ต่าง ๆ เขาก็ให้ความช่วยเหลือทางตระกูลอย่างเต็มที่สม่ำเสมอ จนเมื่อสิบปีก่อนที่พี่ชายคนโตกลับมาเขาจึงรู้สึกดีใจมาก ด้วยเพราะภายในใจของเขานั้นหาใช่อยากขึ้นเป็ผู้นำตระกูลแต่อย่างใด เขาเพียง้าสนับสนุนพี่ชายของตนเพียงเท่านั้น
"ผู้นี้คงเป็หลานชายที่ตกตายในเหตุการณ์หมู่บ้านไท่หลุน ดินแดนพิภพระดับกลางเสียกระมัง...ตามีนามว่าหวังเฟยหลงเป็น้องชายคนที่สองในบรรดาพี่น้อง อย่างไรแล้วตารองก็ยินดีด้วยที่เ้ากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง นับเป็ความเมตตาจาก์..." หวังเฟยหลงแนะนำตัวพร้อมกับพินิจมองชายหนุ่มตรงหน้า กลิ่นอายที่ััได้อย่างแ่เบาให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน คลับคล้ายว่าเคยเจอกันก่อนหน้าเสียอย่างนั้น
"หวังเฟยหลงเป็น้องชายคนรองของตาเ้า ความจริงแล้วพวกเรามีกันอยู่ห้าพี่น้อง นั่นก็คือตาของเ้า ท่านลุงรองหวังเฟยหลง ท่านลุงสามหวังจื่อหราน ท่านลุงสี่หวังสือเหยียนและคนสุดท้ายเป็สตรีนามว่าหวังซินหรู อีกไม่นานหลานย่อมได้พบเจอหน้าพวกเขาอย่างแน่นอน..." หวังจิ่งหลงเอ่ยแนะนำไปให้หนิงอ้ายได้รับรู้
"คำนับท่านตารอง ข้ามีนามว่าหวังหนิงอ้ายยินดีที่ได้เจอท่านอีกครั้งขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยมารยาทอันนอบน้อม
"ไม่คิดว่าคนที่ช่วยเหลือในวันนั้นจะเป็หลาน อย่างไรต้องขอบคุณเ้าอีกครั้ง..."
" ข้าสมควรช่วยเหลือท่านลุงแล้วขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความจริงใจ
"เื่การตอบแทนไว้ค่อยคุยกันหลังจากนี้ แล้วเื่ราวเป็มาอย่างไรหรืออาเฟย เหตุใดจึงให้พ่อบ้านไปแจ้งเื่ช้าถึงเพียงนี้กัน?" หวังจิ่งหลงถามหวังเฟยหลงด้วยความเคร่งเครียด
"ก่อนหน้านี้ท่านปู่ทวดสามได้เชิญท่านพ่อและผู้าุโหลายท่านมายังเรือนรับรองหลังนี้ โดยแจ้งว่า้าปรึกษาหารือเื่ราวบางประการ ตอนแรกเหล่าทหารเวรยามยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด หลังจากนั้นต่อมาได้เกิดเสียงปะทะดังขึ้นใน่เวลาเดียวกันที่หอบรรพชนสั่นไหว ดังนั้นทุกคนจึงให้ความสนใจกับทางฝั่งนั่นมากกว่าก่อนที่ม่านปราการจากสมบัติวิเศษชิ้นนั้นจะทลายลงไป จากนั้นจึงได้มีการปะทะกันขึ้นก่อนที่ท่านปู่ทวดสามจะหลบหนีออกไปด้วยความช่วยเหลือจากคนตระกูลฮั่นขอรับ" หวังเฟยหลงเล่าถึงสถานการณ์ความเป็ไปให้พี่ชายของตนได้รับรู้
"แล้วเหตุใดจึงไม่มีผู้ใดไปรายงานข้ากัน..." หวังจิ่งหลงถามกลับด้วยความเคร่งเครียด
"อย่างที่ท่านพี่ทราบ ยามปกติท่านปู่ทวดสามและท่านพ่อรวมไปถึงผู้าุโท่านอื่นมักจะนัดดื่มน้ำชาใน่เวลานี้เพื่อพูดคุยปรึกษาหารือในเื่ราวต่าง ๆ สิ่งนี้จึงทำให้เกิดการหละหลวมเื่การป้องกัน ด้วยเพราะไม่คาดคิดว่าท่านปู่ทวดสามจะอาศัย่เวลานี้ลงมือวางยาพิษทุกคนโดยไม่หวั่นเกรง เมื่อสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วข้าจึงได้รีบให้ท่านพ่อบ้านรีบไปแจ้งท่านพี่ขอรับ..."
"ช่างเถอะ!! แล้วตอนนี้อาการของท่านพ่อและผู้าุโท่านอื่นเป็อย่างไรบ้าง?"
"พิษที่ท่านพ่อและผู้าุโท่านอื่นได้มีความร้ายแรงกว่าพิษร้ายที่ข้าโดนหลายเท่า ทั้งยังมีความประหลาดยิ่งนักเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วยามคล้ายกับว่าพลังลมปราณในร่างกายถูกกัดกินหายไปทีละส่วน บทเวทย์รักษาและสมบัติวิเศษก็ไม่อาจช่วยรักษาได้ แม้กระทั้งโอสถทิพย์ระดับห้าก็ทำได้เพียงประคองอาการเพียงเท่านั้น หากปล่อยให้เป็เช่นนี้ตามการคาดหมาย ไม่เกินสามวันพวกท่านทุกคนก็คงจะ..." หวังเฟยหลงตอบกลับไปก่อนที่จะเงียบเสียงในตอนท้าย ทว่าหวังจิ่งหลงกลับเข้าใจได้อย่างไม่ยากนัก
"หนิงเอ๋อร์...เ้าช่วยตรวจดูอาการของท่านปู่ทวดและผู้าุโท่านอื่นได้หรือไม่?" หวังจิ่งหลงหันไปคุยกับชายหนุ่มผู้เป็หลานของตนที่ยืนอยู่ด้านข้างกัน อีกฝ่ายได้เรียนรู้และเป็ศิษย์คนสุดท้ายของเทพโอสถาย่อมมีทักษะติดตัวที่ไม่ธรรมดาสามัญ แต่ถึงอย่างไรหากไม่สามารถรักษาได้ เขาคงต้องเชื้อเชิญปรมาจารย์โอสถเหวิน ผู้เป็นักปรุงโอสถระดับเจ็ดประจำมหานครมาเสียแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหรือไม่ก็ตาม
พึงทราบว่าสำหรับนักปรุงโอสถแล้ว ยิ่งมีระดับสูงมากเพียงใด กฎเกณฑ์ในการรักษาหรือหลอมสร้างปรุงโอสถล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจส่วนตัวทั้งสิ้น หากนักปรุงโอสถท่านนั้นจะสะดวกใจที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือก็ไม่อาจบังคับได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิธีการรุนแรงในการขู่เข็ญด้วยการใช้กำลังเข้าหักหาญ เพราะตัวตนของนักปรุงโอสถระดับห้าเป็ต้นไปย่อมมี สุดยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยที่คอยคุ้มครองอีกฝ่าย โดยเกิดจากการยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนที่พึงพอใจต่อกัน ยิ่งกับปรมาจารย์โอสถระดับเจ็ดท่านนี้ ไม่รู้ว่ายามเมื่อเขาส่งสารขอความช่วยเหลือแล้ว สิ่งแลกเปลี่ยนนั้นอีกฝ่ายจะยอมรับหรือไม่
"ข้าคิดว่าสามารถรักษาท่านปู่ทวดและผู้าุโทุกท่านได้ เพียงแต่้าสถานที่ที่สามารถรองรับทุกคนในที่นี้และต้องมีการรักษาความปลอดภัยในระดับสูงสุด ระหว่างการรักษาไม่อาจให้มีผู้ใดเข้าขัดขวางได้ทั้งสิ้นขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความมั่นใจหลายส่วน หากพิษนี้ร้ายแรงมากเกินไปในแหวนมิติเขายังมีโอสถระดับสูงอีกจำนวนไม่น้อยที่ได้หลอมสร้างขึ้นและติดตัวมาจากมหาพิภพพิสดาร
"ตอนนี้ท่านพ่อรวมไปถึงผู้าุโท่านอื่น ข้าให้หมอประจำตระกูลคอยเฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิด ตำหนักอิงเยว่มีสลักค่ายกลป้องกันระดับสูงทั้งข้ายังได้สั่งการให้เหล่าองครักษ์จัดการเวรยามป้องกันอย่างแ่าแล้วขอรับ..." หวังเฟยหลงหันไปบอกกล่าวกับพี่ชายของตน
"เช่นนั้นพวกเ้าที่เหลือจงวางกำลังรักษาความปลอดภัยในระดับสูงสุด ไม่ว่าผู้ใดหากจะเข้าออกจากม่านพิภพให้แจ้งความประสงค์กับข้าโดยตรงเท่านั้นและไม่ห้ามให้ผู้ใดออกจากเรือนหลังจากนี้ทั้งสิ้น!!!" หวังจิ่งหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด จากนั้นเขาจึงเดินนำหนิงอ้ายตรงไปยังตำหนักอิงเยว่ด้วยความร้อนใจ
ทหารเวรยามที่ยืนประจำการเมื่อเห็นประมุขตระกูล คุณชายรองและคุณชายท่านหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงมายังตำหนักอิงเยว่จึงไม่รอช้าก้มศีรษะทำความเคารพอย่างนอบน้อม หนิงอ้ายกวาดสายตาไปรอบ ๆ ญาณััของเขาแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ จึงรับรู้ได้ว่าภายในเงามืดนั้นล้วนเต็มไปด้วยผู้เฝ้ารักษาการณ์ที่มีระดับพลังิญญาไม่ธรรมดาสามัญ มีผู้ฝึกตนราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาและราชทินนามราชันิญญาขั้นสูงย่างก้าวที่มีจำนวนมากมายคอยเฝ้าระวังคุ้มกันเช่นนี้ นับว่าเป็การป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่ง
ทางเดินในจวนตระกูลหวังแห่งนี้ล้วนถูกประดับประดาตกแต่งด้วยหินเวทย์ที่ส่องสว่างจนเห็นทางเดินได้ชัด ตลอดเส้นทางนั้นมีการรักษาการณ์จัดสรรเวรยามเข้มงวด มีหลายสายตาเช่นกันที่จับจ้องชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เดินตามหลังท่านประมุขตระกูลและคุณชายรอง แม้อีกฝ่ายจะมีผ้าคลุมคอยปกปิดตัวตน ทว่ากลิ่นอายที่พวกเขาััได้ล้วนชี้ชัดว่าคุณชายท่านนี้เป็สุดยอดฝีมือที่ไม่อาจดูเบาได้ แม้อีกฝ่ายจะเป็คนแปลกหน้าที่ไม่สมควรปรากฎขึ้นในสถานการณ์ตอนนี้ แต่อย่างไรก็เป็คนที่นายเหนือหัวพามา ดังนั้นแล้วย่อมสามารถให้ความไว้วางใจได้หลายส่วนทีเดียว…
