ท่านนายอำเภอเดิมทีก็เพราะกำลังสบายใจถึงขีดสุดจึงได้กล่าวเช่นนั้น
ปัญญาชนก็ล้วนแล้วแต่เป็โรคนี้กันทั้งนั้น
ด้วยอารามดีใจ ไม่ว่าเื่ใหญ่เท่าใดก็ล้วนกล้าเอ่ยปาก เื่ใดก็ล้วนกล้ารับปาก
หลังจากนั้นจึงค่อยกลับมาคิดทบทวนเื่ผลได้ผลเสีย สุดท้ายจึงได้แต่เลิกแล้วกันไป
ทว่ากลับไม่ได้คาดคิดว่าเื่ใหญ่เทียมฟ้าที่เขาเพิ่งจะเสนอให้เด็กหนุ่มตรงหน้า จะถูกเ้าเด็กคนนั้นปฏิเสธเสียได้
เ้าเด็กหนุ่มนั่นไม่เพียงปฏิเสธ แต่ยังจะยกข้อเสนอนั้นให้น้องชายของตน
ทั้งจากที่เขาได้ดูทะเบียนภูมิลำเนาแล้วก็พอจะรู้ว่าเด็กพวกนี้ไม่ใช่พี่น้องกันโดยสายเื
เขาเองก็เชื่อว่าเื่ที่คุณชายเฉินกล่าวมาเมื่อครู่นั้นเป็เื่จริง เ้าเด็กหนุ่มคนนี้ย่อมต้องเป็บุตรของทาส
ในจุดนี้นายอำเภอเฉินก็ยังพอมองออก ทว่าที่เขายอมออกหน้านั้นก็เพื่อทำเื่ที่ต้องเฟ้นหาคนมาสานต่องานให้สำเร็จ
แซ่ลู่ของเ้าหนุ่มนั่นฟังแล้วช่างน่าขันเสียจริง
เ้าเด็กหนุ่มนี่ย่อมเขียนขึ้นมาเองอย่างแน่นอน
ทั้งเมืองหลวงนั้นก็ไม่มีคนแซ่เช่นนี้ คงจะมีแต่คนในดินแดนป่าเถื่อนไร้ความรู้ จึงได้เขียนแซ่นี้ลงไป
ทว่าท่าทางของพ่อบ้านที่มีต่อเ้าเด็กหนุ่มนั้นช่างน่าสนใจนัก ทำให้เขาต้องเอ่ยปากเช่นนั้นออกไป
ทว่าเ้าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาตอนนี้ก็ช่างทำให้เขารู้สึกสนใจจริงๆ
เด็กหนุ่มตรงหน้าเขานามว่าลู่สวิน เ้าเด็กนี่ย่อมไม่ใช่สายเืเดียวกันกับลู่เกออย่างแน่นอน
ด้วยเพราะก่อนหน้านี้ เสมียนซูได้เล่าไว้ว่าเ้าเด็กหนุ่มลู่เกอนั้นถูกขับออกจากจวนพร้อมน้องสาวเมื่อหลายปีก่อน ทั้งบิดาก็ยังเสียไปแล้ว
แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมีน้องชายสายเืเดียวกันเพิ่มได้ ทว่ากับพี่น้องต่างสายเืเช่นนี้ เขายังกล้ายกโอกาสสำคัญของตัวเองให้ได้
เื่นี้สำหรับใต้เท้าเฉินแล้วช่างน่าประหลาดใจนัก
ใต้เท้าเฉินยังจำได้ถึงตอนที่เขาสนทนากับใต้เท้าอีกคนในสายงานเดียวกัน เคยได้ยินเขาเล่าว่ามีครอบครัวหนึ่งในเมืองของเขา เพื่อที่จะได้มีรายชื่อเข้าสอบในสำนักเชินสักคน ในครอบครัวมีบุตรห้าคน ถึงขั้นส่งไปสำนักเชินสามคน สุดท้ายจึงเหลือไว้คนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นพิการจึงไม่อาจติดตามไปด้วยได้
ทว่าเด็กหนุ่มตรงหน้า เ้าเด็กหนุ่มที่เขาคิดว่าน่าสนใจนัก ถึงขั้นใจกว้างยกสิทธิ์ตัวเองให้คนอื่นซะได้
แม้เดิมทีเขาจะเพียงกล่าวลอยๆ ทว่าบัดนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างจริงจัง “เ้ารู้หรือไม่ว่าการมีรายชื่อในการสอบของสำนักเชินนั้นคืออะไร ฝั่งข้าเองก็มีสิทธิ์อยู่ห้ารายชื่อ”
อาลู่พยักหน้าตอบ
“ขอบคุณท่านนายอำเภอ”
อาสวินที่ถูกพี่ชายผลักให้มายืนด้านหน้าพลันใจเต้นตึกตัก
เขารู้สึกว่าตนก็เป็ปัญญาชนเช่นนี้ เขานั้นเชื่อเป็อย่างยิ่งว่า เพื่อตัวเองแล้วไม่ว่าใครเขาก็ล้วนทรยศได้
เมื่อก่อนโลกของเขานั้นมีแค่เสี่ยวอู่และตัวเอง
กระทั่งในตอนแรกเขาก็ยังหลอกใช้เสี่ยวอู่ ให้เสี่ยวอู่ต้องทำงานหนักโดยมีตัวเองคอยควบคุม
ทว่าเมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป เขาก็รู้สึกว่าเสี่ยวอู่ได้กลายมาเป็พวกเดียวกับเขาแล้ว โดยเฉพาะยามที่ประสบกับเหตุการณ์เฉียดตายในตอนนั้น เขารู้สึกว่าตนนั้นไม่ได้คิดอยากจะหนีอีกต่อไป
เขาไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เท่าใดนัก ทว่าในขณะเดียวกันก็หวงแหนมันเหลือเกิน
ต่อมาที่ข้างกายเขามีอาลู่และเฉินโย่วมาเพิ่ม
แม้จะเป็เช่นนั้น แต่ตำแหน่งของทั้งสองคนในใจของเขาก็ยังนับว่าห่างไกลจากเสี่ยวอู่อยู่มากนัก
ด้วยเพราะเสี่ยวอู่นั้นทึ่มทื่อเหลือเกิน แม้ร่างกายจะคล่องแคล่วพอตัว แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าตนจะต้องดูแลเสี่ยวอู่ด้วยตนเองอยู่ดี
ทว่าเมื่อครู่ยามที่คุณชายเฉินมาระราน ก็ได้อาลู่มาคอยกำบังคุ้มภัยให้
บัดนี้ยามที่ท่านนายอำเภอกล่าวว่าจะเสนอรายชื่อให้เข้าสอบสำนักเชินได้ ก็ยังคงเป็อาลู่ที่ไม่มีความลังเลที่จะยื่นโอกาสนี้มาให้เขาแทน
เพียงครู่เดียวดวงตาทั้งคู่ของอาสวินพลันรู้สึกแสบร้อนขึ้นมา เพียงแต่ท่าทีของเขายังคงดูสุขุมเช่นเดิม
เขาก้มลงมองผมยาวที่ปรกลงมาบนบ่าของตน ผมทรงนี้ก็ได้อาลู่เป็คนช่วยมัดเช่นกัน
ตอนนี้เขาจึงไม่ได้เกรงใจอันใดอีก
เขารู้ตัวว่าหากต้องเข้าร่วมการสอบ เขาย่อมเป็ผู้ที่มีความหวังมากที่สุด
อาลู่นั้นแม้จะปราดเปรื่อง แต่เขากลับไม่ชอบเื่พวกนี้นัก
ทว่าเขานั้นไม่เหมือนกัน
เขาเชี่ยวชาญเื่การร่ำเรียนและการสอบ หากว่าเขาสอบเข้าสำนักเชินได้จริงๆ ชีวิตของพี่ชายและน้องสาวก็ย่อมต้องดีขึ้น
คนอันธพาลอย่างคุณชายเฉินเมื่อครู่ก็ย่อมมิกล้าเยาะเย้ยพวกเขาง่ายๆ เช่นนั้น ดังนั้นอาสวินจึงไม่ได้ปฏิเสธอีก
บัดนี้จึงยืนอยู่ตรงหน้าอาลู่แล้วยกมือขึ้นคารวะ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยท่าทีมั่นใจ “ผู้น้อยสามารถสอบผ่านได้อย่างแน่นอน ขอท่านนายอำเภอโปรดลองถามคำถามผู้น้อยสักข้อเถิด”
เ้าเด็กหนุ่มที่ดูไม่หยิ่งยโสจนเกินงามทว่าก็ไม่ได้ถ่อมตนจนเสแสร้งนั้น แม้จะทำให้เขารู้สึกชอบพอ ทว่าเ้าเด็กหนุ่มท่าทางมั่นใจตรงหน้าเขายามนี้กลับดูแล้วปราดเปรื่องกว่า เขามองแล้วยิ่งนึกชอบพอเสียยิ่งกว่าเดิม ในใจมีความรู้สึกราวกับปัญญาชนที่ได้พบกับปัญญาชนที่มีความรู้อีกคนหนึ่ง
ช่างน่าสนใจ
ช่างน่าสนใจเหลือเกิน
นายอำเภอเฉินโบกมือเบาๆ ก่อนจะกลับไปอ่านตำราในห้องของตน ในเมื่อมีเื่น่าสนใจเช่นนี้เกิดขึ้น ก็จะต้องเขียนไปเล่าให้สหายเก่ารู้สักหน่อย
นายท่านสามที่กำลังขึ้นทะเบียนให้คนในหมู่บ้านอยู่ด้านนอกนั้น เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มีเด็กรับใช้คนหนึ่งนำตำราเล่มหนึ่งมาให้อาสวิน
“ใต้เท้ามอบให้ท่าน”
อาสวินได้ยินดังนั้นจึงรับสมุดเล่มนั้นมา
อาลู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงยื่นมือออกไปจับเด็กรับใช้ให้หยุดก่อน จากนั้นก็ยัดเงินก้อนเล็กใส่มือเขา ใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรจะกล่าวอีกหรือไม่”
เด็กรับใช้ที่เดิมทีคิดว่าคงจะได้เปลืองแรงเปล่าที่มาส่งของให้เด็กหนุ่มคนนี้ ด้วยในพื้นที่ห่างไกลนั้นไม่เหมือนกับเมืองหลวง ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนได้สินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ต่างกับที่นี่ที่เงินทองหายาก จึงไม่ได้มอบให้กันง่ายๆ
ทว่าไม่คาดคิดว่าเ้าเด็กหนุ่มนี่จะรู้จักอ่านสถานการณ์นัก เขานั้นไม่ต้องมองก็พอจะรู้ได้ว่าเป็ก้อนเงินก้อนหนึ่ง
เด็กรับใช้จึงกล่าวเสริม “สิ่งที่นายท่านได้กล่าวไว้ล้วนแต่อยู่ในตำราเล่มนี้ ท่านเปิดดูก็ย่อมจะเข้าใจแล้ว”
เมื่อกล่าวจบเด็กหนุ่มก็กลับไปทันที
เสี่ยวอู่ยืนครุ่นคิดมองตำราเล่มนั้นครู่หนึ่ง เมื่อเปิดออกมาก็เห็นคำอธิบายที่เขียนไว้แน่นขนัดจนดูแล้วชวนปวดหัวขึ้นมา อาสวินพลิกดูต่ออีกครู่หนึ่งจึงเข้าใจ
ท่านนายอำเภอให้เขาเขียนความเห็นถึงหน้าที่หกของตำราเล่มนี้ เจ็ดวันให้หลังค่อยนำมาส่งที่นี่
โจทย์ของใต้เท้าเฉินนั้นง่ายมาก เพียงแต่ด้านในนั้นกลับมีบทกลอนบทหนึ่งซ่อนอยู่
เขาไม่ได้กล่าวเื่นี้ออกมา เพียงหันไปมองอาลู่แล้วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงเก็บตำราใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง
เมื่อจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงพากันขึ้นรถเทียมวัวที่เหล่าปาเป็คนบังคับเพื่อเดินทางกลับ
ระหว่างทางก็ผ่านถนนเส้นที่ขายขนม เฉินโย่วจึงซื้ออาหารกลับไปฝากน้าหลัวของนาง และคนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ไปถนนซื่อชู นางคิดอยากจะหาตำราสักเล่มกลับไปฝากท่านอาจารย์ นายท่านสามเองก็อยากซื้อตำราให้อาสวินเช่นกัน ส่วนอาลู่นั้นยังมีธุระอีกนิดหน่อย จึงไปด้วยกันกับเหล่าปา
นายท่านสามจึงพาอาสวินและเฉินโย่วไปยังร้านตำราที่ใหญ่ที่สุดบนถนนซื่อชู เสี่ยวอู่นั้นไม่พิศวาสตำรา จึงได้แต่นั่งจับเจ่ารออยู่บนบันไดหินหน้าร้าน
วันนี้แดดกำลังดี แสงตะวันอบอุ่นสาดส่องลงมา
เสี่ยวอู่รู้สึกง่วงงุนขึ้นมา จึงพิงประตูผล็อยหลับไป
รถม้าคันหรูค่อยๆ เคลื่อนมาหยุดลงตรงหน้าร้านตำราเช่นกัน
ั้แ่ที่ถนนสายนี้เจริญรุ่งเรืองคึกคักขึ้นมา อำเภอิเหอก็มักจะมีบุคคลนิรนามปรากฏกายขึ้นมาเสมอ
กระทั่งม้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ก็โดดเด่นกว่าม้าตัวอื่น ทั้งขนของมันเป็สีขาวปลอดตลอดร่าง ขนของมันยังถูกแปรงเสียจนขึ้นเงา บนร่างยังมีผ้าขนแกะแท้
รถม้าที่ทำจากไม้เนื้อดีเป็สีดำสนิท ยามที่จอด ไม้นั้นก็ราวกับแผ่กลิ่นหอมรุนแรงออกมา
ทว่าเมื่อตั้งใจดมก็ราวกับไม่มีกลิ่นใด
เสี่ยวอู่ที่กำลังสัปหงกอยู่นั้น เมื่อได้กลิ่นหอมก็ไม่ได้ถูกรบกวนจนตื่นขึ้นมา กลับกันเด็กหนุ่มกลับหลับลึกเสียยิ่งกว่าเดิมจนต้องเอนกายพิงกับมุมผนัง
ประตูรถม้าค่อยๆ แง้มออก
บุคคลที่ะโลงม้านั้นแท้จริงแล้วคือภิกษุรูปหนึ่ง
ภิกษุศีรษะล้านนั้นร่างกายดูกำยำสูงใหญ่
จากนั้นก็มีภิกษุชราร่างผอมบางก้าวตามลงมา ภิกษุชราร่างผอมแห้ง ผอมเสียจนดวงตาทั้งสองข้างดูปูดโปนออกมา
ต่อมาจึงเห็นเป็สามเณรรูปหนึ่งตามลงมา
สามเณรน้อยนั้นยังดูเยาว์นัก ทว่าผมบนศีรษะกลับถูกโกนจนเกลี้ยงโล้น ทั้งบนศีรษะยังมีรอยแผลเป็วงๆ อีกหกจุด ดวงตาข้างหนึ่งมีผ้าดำผูกปิดไว้เผยให้เห็นดวงตาเพียงข้างเดียว ดวงตาข้างนั้นทั้งกลมทั้งโต ซ้ำขนตายังยาวเป็แพ
ยามะโลงจากรถด้วยท่าทีซื่อๆ จึงทำให้มองแล้วรู้สึกว่าช่างน่ารักน่าชัง