การกลับมาตระกูลกู้ครั้งนี้ บิดา นายหญิงและน้องสาวทั้งสองคนปฏิบัติต่อนางอย่างสนิทสนมมากกว่าครั้งก่อนมาก
น้องสี่กู้เหยาซึ่งมักจะดูแคลนนางเสมอ ถึงกับเรียกนางว่าพี่ใหญ่ด้วยรอยยิ้ม
หลังจากมาถึง บิดาก็เรียกเสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิ้งชินไปที่ห้องหนังสือส่วนนายหญิงเว่ยซื่อพาพวกนางสามพี่น้องมาพูดคุยเื่ครอบครัวสามีของนาง
เนื่องจากนางยังเป็ห่วงเื่ความสัมพันธ์ของหวังซู่เหนียงกับเรือนใหญ่กู้เจิงจึงยินดีรักษาความสัมพันธ์อันดีนี้ไว้ อีกทั้งหลังจากที่นางแต่งงานไปแล้วเว่ยซื่อก็ปฏิบัติต่อซู่เหนียงของนางอย่างดี
“ที่แท้บ้านตระกูลเสิ่นก็น่าสนใจถึงเพียงนี้เชียวหรือเ้าคะ?” กู้เหยาอายุยังน้อยและมีนิสัยกระตือรือร้น พอได้ยินกู้เจิงเล่าเื่ปลาและกุ้งที่นางกินล้วนจับสดๆมาจากในแม่น้ำ ทั้งยังได้ลองทำมันเผาและขนมเข่งเอง จึงรู้สึกสนใจขึ้นมา
กู้อิ๋งยิ้มบาง ๆ ในฐานะบุตรสาวคนโตของเว่ยซื่อนางถูกมารดาเข้มงวดมาั้แ่เด็ก จึงทำให้ต้องคิดเยอะ นางมองกู้เจิงแล้วพูด “ฟังแล้วน่าสนใจจริงๆ พี่ใหญ่ช่างวาสนาดีนักที่พ่อแม่สามีดีต่อท่านเช่นนี้”
“ใช่ พ่อแม่สามีข้าเป็คนจิตใจดี” ในจุดนี้ กู้เจิงรู้สึกว่าตัวเองวาสนาดีไม่น้อย “หลังจากแต่งเข้าตระกูลเสิ่น แม่สามีก็เห็นข้าเป็เหมือนบุตรสาวแท้ๆจนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยให้ข้าทำงานหนักเลยเ้าค่ะ”
นายหญิงเว่ยซื่อพยักหน้า “นี่เป็ที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดของสตรีแล้ว เจิงเอ๋อร์เ้าเองก็ต้องทำตัวให้ดีเข้าไว้”
เจิงเอ๋อร์? แม้แต่คำเรียกก็เปลี่ยนไปหรือ? ในเมื่อเว่ยซื่อเรียกนางอย่างเป็ธรรมชาติกู้เจิงจึงขานรับอย่างเป็ธรรมชาติเช่นกัน “เ้าค่ะ”
เว่ยซื่อยิ้มพลางเอ่ย “การสอบครั้งนี้ หวังว่าเจิ้งชินกับเสิ่นเยี่ยนจะสอบผ่าน”
กู้เหยากล่าว “ท่านพ่อเคยพูดว่าต่อให้พี่รองสอบไม่ผ่านก็ไม่เป็ไร พี่รองอายุเพียงแค่สิบหกปีหากสอบไม่ผ่านก็ไม่มีใครว่าหรอกเ้าค่ะ”
“ท่านพ่อของเ้าก็พูดไปอย่างนั้นเองแต่ความจริงในใจเขาเป็กังวลยิ่งนัก” เว่ยซื่อจิ้มหน้าผากของบุตรสาวตัวน้อยอย่างเอ็นดู “อีกอย่าง พี่รองของเ้าเรียนหนังสือหนักถึงเพียงนี้ก็เพื่อที่สักวันหนึ่งจะได้มีชื่อติดบนประกาศ เขาตั้งใจมากเพื่อการสอบครั้งนี้”
ท่าทางกังวลและคาดหวังของนายหญิง ทำให้กู้เจิงนึกถึงแม่สามีขึ้นมาเื่เกี่ยวกับตำแหน่งชื่อเสียงของเสิ่นเยี่ยนนั้น พ่อแม่สามีไม่ได้สนใจนักไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ แม้เสิ่นเยี่ยนจะรู้ตัวเองดีว่าควรทำอะไรแต่ในฐานะบิดามารดา พวกเขาไม่กังวลสักนิดเลยหรือ?
“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา” กู้เหยาออดอ้อน ก่อนจะพูดกับกู้เจิงว่า “พี่ใหญ่ ขนมเข่งแห้งผสมเสิ่นผีกับงาดำที่ท่านเพิ่งพูดถึงเมื่อครู่วันที่ทำเสร็จแล้วต้องเอามาให้ข้ากินให้ได้นะเ้าคะ”
“ถ้าน้องสี่อยากกิน ข้าจะให้ชุนหงนำมาส่งให้เ้า”
หลังจากพูดคุยกันสักพัก กู้เจิงก็ขอตัวไปหาซู่เหนียง
เมื่อออกจากเรือนใหญ่มาถึงเรือนเล็ก นางก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหวังซู่เหนียงที่รอบุตรสาวอยู่ในโถงทางเดินโดยมีสาวใช้คอยปรนนิบัติพอเห็นบุตรสาววิ่งเข้ามาก็กางแขนออกรอให้กู้เจิงโผเข้ากอด
“เจิงเอ๋อร์ของข้า แม่คิดถึงเ้าจะตายแล้ว"
กู้เจิงกอดหวังซู่เหนียงให้สมกับความคิดถึงแต่นางไม่กล้ากอดแน่นเกินไป เพราะกลัวว่าซู่เหนียงจะเจ็บกระดูกหน้าอก “ข้าก็คิดถึงซู่เหนียงเช่นกันเ้าค่ะ เหตุใดท่านถึงลงจากเตียงเล่า ยังพักไม่ครบกำหนดเลยนะเ้าคะ”
“ถ้ายังนอนพักอยู่อีก แม่คงจะอ้วนลงพุงแล้ว” หวังซู่เหนียงบีบเนื้อที่เอวตัวเองให้นางดู
กู้เจิงถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อมองซู่เหนียงอย่างพินิจพิเคราะห์ผิวตัวขาวราวหิมะ ใบหน้างดงามแต่งแต้มด้วยสีชมพูงามหยดย้อยกว่าคุณหนูเช่นนางเสียอีก กู้เจิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดซู่เหนียงจึงงดงามขึ้นกว่าเดิมอีกเ้าคะ? อยู่ต่อหน้าท่านเช่นนี้แล้วข้ารู้สึกละอายนัก”
ประโยคนี้ทำหวังซู่เหนียงขบขัน นางแสร้งทำเป็ตีบุตรสาว “เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ก็ปากหวานขนาดนี้เชียว”
สองคนแม่ลูกพูดคุยหยอกล้อกันจนมาถึงห้อง
หลังจากหวังซู่เหนียงนอนลงบนเตียงอีกครั้งนางก็กุมมือบุตรสาวไว้พลางยิ้มด้วยตาแดงก่ำนางสะอึกสะอื้นเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า “เ้าเด็กคนนี้ มาแอบยัดเงินที่แม่มอบให้เ้าไว้หากไม่ใช่เพราะอากาศหนาว แม่เลยให้บ่าวเอาเสื้อกันหนาวออกมาป่านนี้คงยังไม่รู้ว่าเ้าทำอะไรเอาไว้”
ถูกจับได้แล้วหรือ? กู้เจิงยิ้มหวาน “ซู่เหนียงตระกูลเสิ่นปฏิบัติต่อข้าเป็อย่างดี เงินพวกนั้นข้าไม่จำเป็ต้องใช้หรอกเ้าค่ะ”
“ดูจากที่เ้าเป็เช่นนี้ แม่ก็รู้ว่าตระกูลเสิ่นปฏิบัติต่อเ้าอย่างดีแต่ไม่ว่าตระกูลเสิ่นจะปฏิบัติต่อเ้าดีหรือไม่เงินพวกนี้ล้วนเป็ทรัพย์สินที่แม่มอบให้เ้าเอาติดตัวไปดังนั้นเ้าจึงควรรับเอาไว้”
“เช่นนั้นข้าฝากซู่เหนียงดูแลไว้ก่อนรอจนข้าขาดเงินแล้วค่อยมาขอจากท่านเ้าค่ะ”
คิดไปคิดมา หวังซู่เหนียงก็พยักหน้า นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ ในใจเ้าคงไม่โทษที่แม่ตัดสินใจยอมยกเ้าให้เสิ่นเยี่ยนแล้วกระมัง?”
ท่านเรียกว่านั่นคือการยอมหรือ? นั่นคือการบังคับให้แต่งงานไม่ใช่หรือ? แต่การได้แต่งกับเสิ่นเยี่ยนนั้นถือว่านางโชคดีแล้วถ้าเปลี่ยนเป็ชายผู้อื่น ใครจะรู้ว่านางจะเป็อย่างไร? กู้เจิงเอาหน้าซุกในอ้อมอกของซู่เหนียง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ซู่เหนียง ต่อไปข้าจะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอนเ้าค่ะ” นางไม่อยากให้ซู่เหนียงเป็ห่วงเื่ในอนาคตของนางอีก
“ใช่แล้ว ต่อไปบุตรเขยของเราจะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน” หวังซู่เหนียงกล่าวอย่างมั่นใจ
กู้เจิง “...” นางพูดถึงตัวนางไม่ใช่เสิ่นเยี่ยน
อาหารมื้อเย็นของเรือนใหญ่ที่เตรียมไว้นั้นมีมากมายหลายอย่างแต่ละอย่างล้วนใช้วัตถุดิบอย่างดีที่สุดทั้งครอบครัวนั่งล้อมรอบโต๊ะพูดคุยและกินอาหารกันอย่างสนุกสนาน
แม้กู้เจิงจะดูยิ้มแย้มแต่ในใจนางกลับนึกถึงซู่เหนียงที่ต้องกินข้าวคนเดียวในวันนี้
“ท่านพ่อเ้าคะ ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดไว้ตอนงานล่าสัตว์ว่าถ้าพี่รองสอบผ่านในครั้งนี้ ท่านจะไปสู่ขอบุตรสาวตระกูลหนิงให้พี่รอง” กู่เหยากล่าวอย่างตื่นเต้น
กู้เจิ้งชินที่กำลังคีบอาหารใส่ปากพลันใบหน้าแดงก่ำอย่างรวดเร็วเขาอยากจะโกรธ แต่พอเห็นน้องสี่ยิ้มอย่างน่ารักให้ เขาก็โกรธไม่ลงจึงพูดแก้เขินว่า “เ้าพูดจาเหลวไหลอะไรอีกแล้ว ถ้าคนนอกได้ยินเื่นี้เข้า อาจทำลายชื่อเสียงของคุณหนูหนิงได้”
“นี่อยู่ในบ้าน พี่เขยก็เป็คนของเราเองไม่มีคนนอกได้ยินหรอกเ้าค่ะ” กู้เหยาทำหน้าบูดบึ้งนางถามกู้เจิงที่อยู่ข้างๆ ว่า “พี่ใหญ่ตอนนั้นพี่ก็ได้ยินท่านพ่อพูดเช่นนี้ใช่ไหมเ้าคะ”
กู้เจิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อเคยพูดไว้จริงๆ ว่าหากน้องรองสอบติดจะไปสู่ขอคุณหนูตระกูลหนิงให้”
เมื่อบุตรสาวทั้งสองพูดขนาดนี้แล้ว กู้หงหย่งจึงต้องตามไปน้ำว่า “ในเมื่อพ่อพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ ดังนั้นการสอบครั้งนี้ชินเอ๋อร์จะต้องทำให้สุดความสามารถ”
“ท่านพ่อ?” กู้เจิ้งชินคิดไม่ถึงว่าบิดาก็เป็ไปกับเขาด้วย
เว่ยซื่อไม่ได้พูดอะไร แต่ในดวงตาเปี่ยมด้วยความยินดี กู้อิ๋งก็ยิ้มอย่างดีใจ ถ้าเพื่อนรักจะกลายมาเป็คนในครอบครัวเดียวกันคงทำให้สนิทกันยิ่งขึ้น
ทุกคนต่างพูดคุยหัวเราะกัน แม่แต่เสิ่นเยี่ยนเองั์ตายังแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มกู้เจิงนึกถึงบุตรสาวภรรยาเอกของตระกูลหนิง นางเคยพบอีกฝ่ายแค่ครั้งเดียวเป็สตรีที่มีเสน่ห์และมีชีวิตชีวา ใบหน้ากลมรับกับดวงตากลมโตสดใสยามยิ้มดูน่ารักน่าทะนุถนอม น่าจะเข้ากันได้ดีกับน้องรองกู้เจิ้งชิน
หลังจากทานอาหารเย็นกันเสร็จ กู้เจิ้งชินก็ชวนเสิ่นเยี่ยนไปที่ห้องหนังสือ
กู้เจิงถูกบิดาเรียกให้ไปเดินเล่นด้วยกันนี่เป็เื่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ั้แ่ที่ได้แต่งงานออกไปกู้เจิงรู้สึกว่าคำพูดของบิดาที่พูดกับนางเหมือนมีความรักปนอยู่ไม่น้อย ไม่รู้จู่ๆเกิดอะไรขึ้น
“อวี๋เอ๋อร์ ไม่สิ เจิงเอ๋อร์ เมื่อไม่กี่วันก่อนพ่อไปศาลาที่ว่าการให้คนของที่ว่าการอำเภอเปลี่ยนชื่อในหนังสือสมรสระหว่างเ้ากับเสิ่นเยี่ยนจากกู้อวี๋เป็กู้เจิง” กู้หงหย่งมองบุตรสาวคนโตยิ้มๆ รอปฏิกิริยาขอบคุณจากบุตรสาว
กู้เจิงไม่ได้ยึดถือกับชื่อขนาดนั้น ซู่เหนียงเรียกนางว่าอาเจิงคนตระกูลเสิ่นก็เรียกนางเช่นนี้ แม้แต่ตวนอ๋องก็เรียกนางว่ากู้เจิงไม่ต่างไปจากคนอื่น แต่ถ้าคิดในแง่ที่ว่า นี่เป็การกระทำที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างบิดากับนางนางย่อมต้องยอมรับไว้ นางจึงยิ้มรับ “ขอบคุณท่านพ่อมากเ้าค่ะ”
กู้หงหย่ง “...” ทำไมมันต่างจากที่เขาคิดไว้
สองพ่อลูกเดินอยู่ในลานบ้านเงียบๆ หลังจากถามไถ่กันตามปกติกู้หงหย่งก็วกเข้าประเด็นหลัก “หลายวันมานี้พ่อเป็ห่วงเื่การสอบของน้องรองเ้าวันก่อนตวนอ๋องได้อวยพรชินเอ๋อร์เื่การสอบ และยังบอกให้ข้าเชิญเสิ่นเยี่ยนมาสอนน้องรองเ้าสักสองสามวันด้วย”
“ให้เสิ่นเยี่ยนสอนน้องรองหรือเ้าคะ?”
กู้หงหย่งยิ้ม “ใช่แล้วเมื่อครู่ข้าได้คุยกับเสิ่นเยี่ยนในห้องหนังสืออยู่นานไม่แปลกใจเลยที่ตวนอ๋องจะให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนี้ ข้าคิดว่าอนาคตของเสิ่นเยี่ยนจะต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกรแน่”
ประเมินค่าเขาสูงปานนี้เชียว? กู้เจิงรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรท่านพ่อมักจะวางมาดเป็ดั่งนักปราชญ์ไม่ชมผู้อื่นง่ายๆ แต่ดูท่าเสิ่นเยี่ยนคงจะเป็ข้อยกเว้น
“เสิ่นเยี่ยนก็รับปากว่า่สองสามวันนี้จะมาช่วยสอนน้องรองของเ้า” กู้หงหย่งยิ้มกว้าง แต่แล้วก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดตวนอ๋องถึงบอกว่าเ้าไม่คู่ควรกับเสิ่นเยี่ยนเขามีความรู้ความสามารถถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่แสดงออกมาให้ใครเห็นวันหน้าเขาต้องกลายเป็คนใหญ่คนโตแน่นอน ดังนั้นเจิงเอ๋อร์เ้าต้องปักหลักอยู่ในตระกูลเสิ่นให้มั่น”
กู้เจิง “...” จู่ๆก็รู้สึกถึงความกดดัน
ชุนหงที่เดินตามอยู่ไม่ไกลเห็นนายท่านดูสนิทสนมกับคุณหนูก็รู้สึกยินดียิ่งคุณหนูไม่เคยได้รับความสนใจจากนายท่านมาั้แ่เด็กจนไม่รู้ว่าแอบร้องไห้ไปตั้งกี่ครั้ง คิดไม่ถึงว่าพอแต่งงานแล้วนายท่านกลับให้ความสำคัญกับคุณหนูขึ้นมา เื่นี้คงต้องขอบคุณท่านบุตรเขย
ชุนหงแอบสาบานในใจว่าจะปฏิบัติกับตระกูลเสิ่นให้เหมือนคนในครอบครัว
ตอนที่ออกจากตระกูลกู้บิดากับนายหญิงเว่ยซื่อยืนส่งพวกนางจากห้องโถงแต่มีกู้เจิ้งชินกับสาวใช้สองสามคนเดินตามมาส่งพวกนางที่หน้าประตูอีกที
กู้เจิงปล่อยม่านรถลง นางเหลือบมองเสิ่นเยี่ยนหลังจากเข้ามาในรถม้า เขาก็นั่งตัวตรงวางสองมือลงบนเข่า ดวงตาปิดลงท่ามกลางอากาศเย็นยามราตรี กลิ่นอายของเขาดูเย็นเยียบยิ่งขึ้น
นี่นางแต่งงานกับรูปปั้นหยกหรือ? กู้เจิงคิดสงสัย