เมื่อลืมตาขึ้นกลับพบว่าตนเองมิได้นั่งอยู่ในศาลาสวนดอกไม้ของเรือน ครรลองจักษุกลับเป็ห้องโถงโอ่อ่ากว้างขวาง เสาค้ำยันหนาสามคนโอบสิบต้นแทงขึ้น้าค้ำยันเพดานที่วาดลวดลายวิจิตรแฝงความลี้ลับเอาไว้
ความมึนงงระคนสับสนถาโถมจู่โจมสมองจนปวดศีรษะ เสียงหวีดแหลมดังอยู่ในหู
“ไม่ใช่สวนปักษาหอม ที่นี่คือ...” กวาดตามองรอบด้านพลันรู้สึกถึงความผิดปกติ “ไม่ใช่ นี่ ไม่ใช่ข้า ความทรงจำเหล่านี้ไม่ใช่ของข้า”
ภาพมากมายพลันพวยพุ่งเข้ามาในครรลอง สายตาคล้ายดับมืดลงในสมองฉายภาพประสบการณ์สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี ..... เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ความทรงจำมากมายพุ่งทะลวงจนตัวสั่นเทิ้มได้รับความเ็ปอย่างแสนสาหัส ศีรษะคล้ายถูกแยกออก ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ความทรงจำของเขา
จากนั้นความทรงจำของเขาและความทรงจำแปลก ๆ นี่พลันไหลบ่ามารวมกัน เขาเห็นความทรงจำของตนเองผสมปนเปเข้ามา จากนั้นจึงจำได้ว่าก่อนหน้าที่จะหลับไป ตนกำลังอ่านตำราและดื่มชาอยู่ในสวนปักษาหอมในเรือนของตนเอง
หลังจากที่อ่านตำราจนเมื่อยตาก็หลับลงพักผ่อนบนเก้าอี้ ทว่าเมื่อตื่นขึ้นกลับพบว่าตนเองอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่ชื่อว่า ห้องโถงของสำนักพันปี ในอาณาจักรชางไห่
“สำนักพันปี? อาณาจักรชางไห่? ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ข้าอ่านตำรามามากกว่าแสนเล่มกลับไม่รู้จักชื่อเหล่านี้....”
ภาพมากมายเริ่มสงบลงเขาพยายามเรียบเรียงความคิดระงับความแตกตื่นที่เกิดขึ้น
“ข้าตายขณะหลับแล้วิญญาทะลุมาอยู่ในร่างใหม่หรือ? นี่เป็ไปได้อย่างไร แม้ในตำราที่เคยอ่านเกี่ยวกับลัทธิต่างๆ ว่ามีวิชาแยกิญญา แต่ก็ไม่เคยมีปรากฏเขียนไว้ว่ามนุษย์ที่ตายแล้วสามารถแยกิญญาของตนเองและเข้าสิงสู่ร่างของผู้อื่น ทั้งยังเป็ร่างที่คล้ายจะอยู่กันคนละโลก”
เ้าของร่างและความทรงจำที่เขาเห็นมีนามว่า ไท้หยู อายุสามสิบสี่ปี เป็บุรุษที่แข็งแกร่งในมรรคายุทธ์เป็ผู้ฝึกตนในขั้นจิตไร้ขอบ มีฐานะในสังคมสูงอย่างยิ่งเพราะเป็ถึงประมุขแห่งสำนักพันปี ที่มีประวัติศาสตร์ในอาณาจักรชางไห่มาอย่างยาวนาน เป็สำนักอายุเทียบเท่าบ้านเมือง
ไท้หยูเป็ศิษย์ของเ้าสำนักรุ่นก่อนั้แ่อายุสิบขวบ พออายุสิบห้าขวบก็เป็อันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ มีความสำเร็จสูงอย่างที่ในประวัติศาสตร์สำนักไม่เคยมีมาก่อน เข้ารับตำแหน่งประมุขสำนักตอนอายุยี่สิบห้า ซึ่งเป็ประมุขที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมา สามารถทะลวงขั้นจิตไร้ขอบตอนอายุสามสิบ เห็นได้ชัดว่าอนาคตของเขารุ่งโรจน์ถึงที่สุด
ทว่าหลังจากปีที่สามสิบเอ็ดของชีวิต อาจารย์จากโลกไปด้วยโรคภัย หลังจากนั้นสำนักพันปีก็เริ่มอ่อนแอลง ตัวเขาที่เป็ประมุขสำนักก็ป่วยเป็โรคประหลาด ระดับขั้นฝึกตนกลับลดถดถอยลงเรื่อย ๆ อย่างที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาก่อน จนกระทั่งวันนี้....เขาได้จากโลกนี้ไป
“หลังจากที่เขาจากโลกใบนี้ไป พอดีกลับิญญาของข้าทะลุเข้ามาในร่างงั้นรึ” หลังจากระงับความแตกตื่นได้แล้วเขาพลันครุ่นคิดเื่ราวต่าง ๆ พยายามเรียบเรียงเื่ราวว่าแท้จริงแล้วเป็เช่นไร
“โลกใบนี้ก็มีการฝึกตน ฝึกยุทธ์ อืมแม้จะคล้ายกับโลกเก่าของข้าอยู่บ้าง แต่หลายจุดไม่ได้เหมือนกันสักทีเดียว โลกเก่าของข้าเน้นบำเพ็ญฌาน บัณฑิตทั้งหลายเป็ใหญ่ในโลกหล้า ทว่าโลกนี้เน้นต่อสู้ ผู้แข็งแกร่งที่สุดจึงเป็ใหญ่ในใต้หล้า
“แต่ว่าร่างของผู้ฝึกตนแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ปุถุชน โรคภัยไม่สามารถกล้ำกราย เ้าของร่างนี้กลับตายเพราะโรค ทั้งยังเป็โรคที่ทำให้ขั้นพลังฝึกตนถดถอย....อาจารย์ของเขาก็ตายไปด้วยโรคเดียวกัน เื่นี้น่าสงสัย”
เขานิ่งคิดอย่างสงบ ด้วยอายุที่ผ่านประสบการณ์มามากมายในโลกเก่าของเขา ทำให้เขาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว
ยามนั้นดวงตาเขาพลันเป็ประกาย ภายในความทรงจำของเขามีศาสตร์หนึ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนอ่อนแอลงได้ทั้งยังสามารถทำให้ขั้นพลังลดลง นั้นคือ “มรรคาพิษมนต์ดำแปร”
ในโลกใบนี้แบ่งผู้ฝึกตนออกทั้งหมดเจ็ดมรรคา ยุทธกายจารี เต๋าจิตนิรันดร์ อาวุธผันแปร พยุหะสังหาร อักษรยันต์เร้น พิษมนต์ดำแปรและศิลป์สรรค์สร้าง คนมักเรียกกันอย่างเรียบง่ายว่า ยุทธ เต๋า อาวุธ พยุหะ ยันต์ มนต์ดำ ผู้สร้าง
แต่แล้วความเ็ปพลันแล่นเข้าสมองและทรวงอกจนเขาต้องไอหนัก ๆ ออกมาปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์แห่งความคิด เมื่อกวาดตามองรอบด้านห้องโถงกว้างใหญ่ สองฟากซ้ายขวามีโต๊ะเตี้ยเบาะพรมเรียงแถว ประตูใหญ่สูงสองจั้งกว้างอย่างยิ่ง
แสงอาทิตย์สีทองอบอุ่นสาดส่องเข้ามา กลิ่นหอมของกำยานซาบซ่าน ตัวเขานั่งอยู่กลางโถงกว้างอยู่ในบัลลังก์สีแดงที่แกะสลักสัตว์ห้าตัว เมื่อเห็นภาพทั้งหมดก็พึมพำออกมา
“ห้องโถงของสำนักแห่งหนึ่งกลับใหญ่โตโอ่อ่าราวกับห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ แม้แต่บัลลังก์ประมุขยังแกะสลักสัตว์มงคลห้าตัว” ในโลกเก่าของเขาฮ่องเต้ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดไม่มีผู้ใดสามารถขัดได้
เขาพลันลูบทรวงอกของตนเองพบว่ายังมีความเจ็บแล่นอยู่จึงสันนิษฐานขึ้นมาว่า
“คล้ายว่าโรคที่ทำให้เ้าของร่างจากไปยังไม่หายไป แม้เขาจะตายไปแล้วแต่โรคยังอยู่ในร่าง แย่ยิ่งนักข้าเพิ่งตายแล้วได้ชีวิตใหม่มากลับมาพบว่าตนกำลังจะตายอีกครั้งหรือ ...เฮอะ จะว่าไปข้าตายได้อย่างไรก็ไม่ทราบ หรือน้ำชานั้นมีพิษของแมลงในสวน เฮ้อ”
ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังเข้ามา ไม่นานก็ได้ยินเสียงหอบหายใจ คนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตูรีบวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรนดูจากสีหน้าที่ย่ำแย่ก็ทราบได้ว่ามีเื่หนักใจ เขาสวมชุดคล้ายนักพรต แขนเสื้อหลวมกว้างเบ่งพองด้วยลมสาวเท้าอย่างเร่งร้อนวิ่งเข้ามากล่าวเสียงสั่น ๆ ว่า
“ท่านประมุข ทางสำนักพิรุณพายุส่งคนมาทวงหนี้ ข้าต้านทานไม่ไหวแล้ว ประมุขช่วยทำอะไรสักอย่าง ท่านเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักเช่นนี้พวกเรารังแต่จะเสียเปรียบ”
กล่าวจบก็ปาดริมฝีปากเบา ๆ ที่มุมปากมีสีแดงสดติดอยู่
ไท้หยูครุ่นคิดในใจว่า” มาถึงก็เกิดเื่เลยรึ ข้ายังไม่ทันหายแตกตื่นก็ต้องแสดงบทบาทเป็ประมุขสำนักของพวกเ้าแล้วหรือ”
จากนั้นในความทรงจำพลันผุดเื่ของสำนักพิรุณพายุเข้ามา เป็หนึ่งในสามสำนักใหญ่ของอาณาจักรชางไห่ อดีตรั้งท้ายมาตลอดทว่าเมื่อสำนักพันปีเริ่มเสื่อมถอยก็ลอบจับมือกับสำนักเมฆัร่วมมือกันกดดันสำนักพันปีให้ยกของวิเศษและตำราวิชาโบราณให้
ในตอนนั้นไท้หยูคนเก่าเริ่มป่วยพลังฝึกตนถดถอยต้องใช้สมุนไพรจำนวนมากมาปรุงโอสถบำรุงร่าง จึงได้นำของวิเศษและตำรามากมายไปแลกเปลี่ยนกับทั้งสองสำนัก หลังจากทั้งสองสำนักทราบเื่ว่าไท้หยู้าสมุนไพรจึงใช้โอกาสนี้เอาเปรียบเขาจนสำนักพันปีติดหนี้ทั้งสองสำนักมากมาย สุดท้ายสองสำนักต่างออกอุบายว่าหากไท้หยู (คนเก่า) ไม่สามารถใช้หนี้ได้ก็ต้องยกเทือกเขาหยกแห่งนี้ให้พวกเขา ยกเทือกเขาหยกให้ก็ไม่ต่างกับยกสำนักพันปีให้
เขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง ตนเองตายในโลกเก่ายังไม่ได้รำลึกเสียใจก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ย่ำแย่เช่นนี้ เขาพลันหันไปถามด้วยน้ำเสียงขรึมว่า
“สำนักเราติดหนี้พวกเขาอยู่เท่าไร”
ชายในชุดนักพรตยกมือขึ้นนับนิ้วอยู่หลายชั่วลมหายใจจากนั้นตอบว่า
“สมุนไพรชั้นฟ้ายี่สิบชิ้น สมุนไพรชั้นมนุษย์หกสิบชิ้น โอสถระดับทอง หกเม็ด โอสถระดับเงินและทองแดง..... ยังไม่รวมเหรียญทองที่ติดค้างอยู่ หากคำนวณเป็เงินทั้งหมด คาดว่าคงเกินหมื่นเหรียญทอง...ท่านประมุข”
ไท้หยู (คนปัจจุบัน) ลมแทบจับ จำนวนหนี้มากมายปานนี้ เงินหนึ่งเหรียญทองเท่ากับสิบเหรียญเงิน หนึ่งเหรียญเงินเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทองแดง สำหรับเงินค่าจ้างชาวบ้านทั่วไปวันหนึ่งได้เพียงหลายสิบทองแดงเท่านั้น หนึ่งครอบครัวปกติสามารถใช้เงินสิบทองแดงประทังชีวิตหนึ่งราวหนึ่งเดือน
จำนวนหมื่นเหรียญทองนั้นมากมหาศาลจนไม่อาจเปรียบเปรย ในความทรงจำของไท้หยูคนเก่าแม้แต่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่ของอาณาจักรยังได้รับเบี้ยหวัดเดือนละสองถึงสามเหรียญทองเท่านั้น
“อา เกิดใหม่ทั้งทีก็เป็คนป่วยใกล้ตายที่มีหนี้มหาศาลทับหัว” ไท้หยูคนปัจจุบันครุ่นคิดอยู่ในใจผ่านไปไม่นานก็โบกมือกับชายชุดนักพรตกล่าวเบาๆ ว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว เ้าออกไปก่อนเดี๋ยวข้าตามออกไป บอกพวกเขาไปว่าประมุขกำลังกักตัวให้รอไปก่อน”
ชายชุดนักพรตอ้าปากจะกล่าวแต่สุดท้ายไม่ได้เอ่ยออกมา สีหน้าเขาย่ำแย่อย่างยิ่ง เดินถอยหลังออกจากห้องโถงไป เมื่อพ้นธรณีประตูก็สบถคำหยาบออกมาหลายคำบ่นอุบ
“เฮอะ ท่านประมุขจะเป็เต่าหดหัวไปถึงเมื่อไรกัน ช่างขายหน้ายิ่งนัก สำนักพันปีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานต้องล่มสลายในน้ำมือของเขาแน่ ๆ หากรู้ว่าจะเป็เช่นนี้ ในตอนนั้นข้าจะเลือกศิษย์พี่ของเขาแทน แม้ว่าตอนนั้นรุ่ยซวนจะไม่ได้มีพร์เก่งกาจเท่าเขา แต่คิดว่าคงไม่มีทางพาสำนักมาในทางแย่เช่นนี้”
เมื่อเดินออกไปครึ่งชั่วก้านธูปก็เดินถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง รอบด้านโอบล้อมด้วยภูมิทัศน์ของเทือกเขาและต้นไม้ ที่แห่งนั้นมีตึกสูงสี่ชั้นอยู่หลังหนึ่งสร้างอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ที่สูงเกือบสิบจั้ง
ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมเกือบครึ่งหนึ่งของยอดเขา ปกคลุมส่วนหน้าของเทือกเขาหยก กิ่งก้านสาขาแผ่ออกไปไม่ทราบกี่ร้อยวา
ที่ข้างซ้ายของตึกสี่ชั้นเป็ประตูเสาแกะสลักสีแดง หน้าประตูเสาแกะสลักมีคนสองคนยืนอยู่ ทั้งสองสวมชุดแพรชั้นเลิศตัดเย็บอย่างหรูหรา สายรัดเอวประดับหยกม่วงห้อยถุงหอมปักลวดลายนกกระยาง ที่ข้างเอวมีกระบี่ยาวเจ็ดนิ้วอยู่ในฝักไม้แดงที่มีราคาแพง แกะสลักเป็ลายคลื่น
รายละเอียดปลีกย่อยและการแต่งกายของทั้งสองล้วนคล้ายกัน ต่างที่หนึ่งสวมชุดเขียวอีกหนึ่งสวมชุดสีม่วง หนึ่งใบหน้าหล่อเหลาโครงหน้าคมคาย คิ้วเข้มตรงดุจกระบี่ดวงตาแฝงความคมกล้า
อีกหนึ่งใบหน้าอ่อนโยนดวงตาฉายแววดื้อรั้นหยิ่งทระนงหน้ามนจมูกโด่งริมฝีปากเล็กดูคล้ายอิสตรีที่งดงาม แต่ไม่ว่าทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างไรก็มีสิ่งหนึ่งทีคล้ายกันอย่างยิ่ง นั้นคือลมปราณที่ปลดปล่อยออกมา ทรงพลังและดุดัน รุนแรงราวกับพายุคลุ้มคลั่งในมหาสมุทร
ทั้งสองเปรียบเสมือนพายุบ้าคลั่งส่วนชายชุดนักพรตเป็เรือน้อยที่กำลังจะถูกคลื่นพายุซัดจม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้