ท้องฟ้ากว้างเต็มไปด้วยเมฆหลากสี พระอาทิตย์สาดแสงจนหมด ในตอนพลบค่ำ อวิ๋นเส่าต้าวก็กลับถึงจวนแล้ว
อวิ๋นอี้รออยู่ที่ห้องโถง และเมื่อเห็นคนเดินเข้ามา ก็เรียกท่านพ่อด้วยน้ำเสียงหวานชื่น ในหน้าเหนื่อยหน่ายของอวิ๋นเส่าต้าว แปรเปลี่ยนเป็ยิ้มแย้ม
เขาโบกมือให้อวิ๋นอี้ ในแววตาเต็มไปด้วยความรักเอ็นดูที่ซ่อนไว้ไม่อยู่ "อวิ๋นเออร์ กลับมาเยี่ยมพ่อหรือ?"
"ใช่สิเ้าคะ!"
อวิ๋นอี้พูดพลางยิ้มหรี่ตามองเขา
นางชอบครอบครัวนี้มาก ช่างใกล้ชิดและคุ้นเคยกันดียิ่งนัก ความรักที่มีต่อนางก็แสนจะจริงใจ
อวิ๋นเส่าต้าวพานางมานั่ง ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี อวิ๋นจ้านโอดครวญร้องหิว ทำให้อวิ๋นอี้พูดว่า "หิวทีเ้าก็ร้องเสียงดังเช่นนี้ จะมีผู้ใดปล่อยให้เ้าหิวตายได้เล่า?”
“ท่านพี่!” อวิ๋นจ้านตบโต๊ะอย่างเคร่งขรึม แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “น้องชายของท่านอยู่ในวัยกำลังโตนะขอรับ หากปล่อยให้ข้าหิว ข้าจะไม่สูงนะขอรับ! ท่านพี่มิอยากมีน้องชายที่สูงยาวร่างใหญ่ แข็งแกร่งไร้เทียมทานหรือ? ถึงเพลานั้นท่านพี่ยืนข้างข้า จะทำให้ท่านได้หน้ายิ่งขึ้นอีกนะขอรับ!"
"ไม่อยาก" อวิ๋นอี้มุ่ยหน้า พูดอย่างไม่เกรงใจ "หน้าอย่างเ้า เป็เทพบุตรสูงยาวร่างใหญ่มิได้หรอก อย่างมากก็เป็ได้เพียงบุรุษหน้าตาขี้เหร่ร่างใหญ่"
บุรุษหน้าตาขี้เหร่หรือ?
อวิ๋นจ้านหน้ามุ่ยลง แม้เขาไม่หล่อเหลาเท่าหรงซิว แต่ก็มิได้ถึงขั้นขี้เหร่!
"ฮึ่ม!" อวิ๋นจ้านพูด "ข้ามิได้ขี้เหร่เสียหน่อย"
"ยอมรับความจริงเถิดคุณชาย!" อวิ๋นอี้ส่ายหัวพูด
อันที่จริง อวิ๋นจ้านมิได้ขี้เหร่ แต่นางแค่ชอบสีหน้าท่าทางไม่พอใจของเขา
คนสองประชันฝีปากอย่างไม่รู้จบ อวิ๋นเส่าต้าวมองเงียบๆ อยู่ข้างๆ รอยยิ้มอันอ่อนโยนเต็มเปี่ยมอยู่ในแววตาของเขา อาหารมื้อนี้ช่างอบอุ่นยิ่งนัก
หลังอาหาร อวิ๋นอี้แอบถามอวิ๋นเส่าต้าวว่าอยากได้ของขวัญกระไรในวันเกิด แต่คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเส่าต้าวจะแค่ตบไหล่นาง คำพูดแฝงด้วยความรู้สึกไม่ดี “พ่อมิปรารถนาสิ่งใด ข้าแค่หวังว่าเ้ากับหรงซิวจะมีความสุขกัน พ่อก็พอใจแล้ว”
เขาพูดพลางมองท้องฟ้าอย่างสงบ
ค่ำคืนที่มืดมิด ไม่มีกระไรเลยนอกจากดวงดาวที่สว่างไสว
อวิ๋นอี้หวนนึกถึงคำพูดของเขา นางกับหรงซิวมีความสุขด้วยกันหรือ?
ตอนนี้ทั้งสองก็พยายามกันอยู่ แต่ผลที่ออกมานั้น ไม่อาจมีผู้ใดควบคุมได้
ทุกวันนี้นางไม่ได้เกลียดหรงซิวอย่างเมื่อก่อนแล้ว
บางที พวกเขาอาจพยายามขยับเข้าไปในหัวใจของกันและกันได้อีกก้าวหนึ่ง
คืนนี้หรงซิวยังคงมารับนางที่จวน อวิ๋นเส่าต้าวส่งพวกเขาไปที่ประตูและโบกมือลา
ระหว่างทางกลับ ภายใต้เสียงตึกตักของรถบนถนน อวิ๋นอี้พิงกำแพงรถและผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ระหว่างการเดินทางที่โยกเยกไปมานั้น นางตื่นขึ้นหลายครา เมื่อรู้สึกตัวว่านางกำลังพิงไหล่ของหรงซิวของหรงซิวอยู่ มุมปากของอวิ๋นอี้เผยอขึ้นเล็กน้อย พิงแนบเข้าไปอย่างสบายใจ
วันเวลาก็เหมือนน้ำไหล ่เวลาส่วนใหญ่สงบ แต่ก็มีขึ้นมีลง
หลังจากที่อวิ๋นอี้กินๆ นอนๆ ี้เีอยู่ที่จวนมาทั้งสัปดาห์ ลู่จงเฉิงก็มาหาถึงที่
เมื่อได้ได้รับสาร นางจึงสั่งพ่อบ้านให้ลู่จงเฉิงรออยู่ที่ห้องโถง ส่วนนางเองก็แต่งตัวช้าๆ
นางรู้ดีว่าลู่จงเฉิงมาด้วยเหตุใด
เกี่ยวกับแผนการตลาดของโรงเตี๊ยม หลังจากไตร่ตรองอยู่หลายวัน อวิ๋นอี้ก็มีความคิดขึ้น ตั้งใจว่าจะรอให้นางนอนให้สบายใจแล้ว แล้วค่อยไปหาลู่จงเฉิง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทนไม่ไหวเสียก่อน
ครึ่งชั่วยามต่อมา อวิ๋นอี้จึงได้ได้ออกมาพบแขกที่ห้องโถง
ลู่จงเฉิงยังคงสงบอยู่เช่นเคย สีหน้ายังคงเรียบเฉย แววตาเ็า เขาจิบชานิ่งๆ และมองมา "พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ข้ามาครานี้ก็เพราะเื่ของโรงเตี๊ยม”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หยุด ขนตาเรียวยาวของเขาบดบังอารมณ์ในดวงตาจนมิด
อวิ๋นอี้ตอบ ไม่พูดพร่ำ เขียนสิ่งที่้าใส่กระดาษ แล้วส่งให้ลู่จงเฉิง "เหล่านี้คือสิ่งที่ข้า้า เตรียมให้เสร็จภายในสองวันได้หรือไม่เ้าคะ?"
ลู่จงเฉิงกางกระดาษออกแล้วอ่านดูทีละอย่าง
"หาก้อนหินั์สูงสองเมตร"
ก้อนหิน? เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดจึงหาหินั์ จะทุบร้านหรือ?
ลู่จงเฉิงมองอวิ๋นอี้อย่างสงสัย คิดไม่ออกว่านางคิดกระไรอยู่ ทำได้เพียงอ่านต่อไป
"หาช่างไม้หนึ่งคน"
ช่างไม้หรือ? พวกเขาไม่จำเป็ต้องทำโต๊ะเก้าอี้ใหม่นี่!
ลู่จงเฉิงเริ่มไม่เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขามองไปที่อวิ๋นอี้อีกครั้ง อีกฝ่ายสงบนิ่ง ในขณะนั้นก็พลิกกระดาษต่ออย่างสง่างาม
เขานึกถึงความสำเร็จของร้านตัดเสื้อจึงเลือกที่จะเชื่อ
“หาหมอโหรมา จะจริงหรือหลอกก็ได้”
ลู่จงเฉิงนำกระดาษพับไว้เหมือนเดิม อวิ๋นอี้ได้ยินการเคลื่อนไหว มองมาและถามขึ้นว่า "หาได้หรือไม่เ้าคะ?"
"ได้พ่ะย่ะค่ะ"
"กระนั้นก็กลับไปได้แล้วเ้าค่ะ อีกสองวันค่อยมาหาข้า" หลังจากอวิ๋นอี้พูดจบ นางก็นั่งบนเก้าอี้ต่อ
เดิมลู่จงเฉิงที่พูดน้อยอยู่แล้ว ตอนนี้เขาถูกไล่ มุมปากกระตุก แต่สุดท้ายก็ไม่พูดกระไร แล้วหันหลังเดินออกไป
เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ทุกอย่างเตรียมพร้อมภายในเวลาไม่ถึงวัน แต่ยังคงทำตามที่ตกลงไว้ เขาไปหาอวิ๋นอี้ในวันที่สาม
อวิ๋นอี้นัดให้เขาไปเจอที่ร้านตัดเสื้อ
หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงแล้ว พวกเขาพูดเื่หัวข้อหลักโดยทันที
อวิ๋นอี้ถามว่าเขาเอาก้อนหินนั้นไปวางไว้ที่ใด แล้วจึงเรียกช่างไม้ออกมา ยื่นกระดาษให้เขาแล้วพูดพึมพำข้างหูเขาอยู่นาน
ลู่จงเฉิงเห็นแต่ช่างไม้พยักหน้าไม่หยุด หลังจากอวิ๋นอี้พูดจบ ช่างไม้ก็เดินออกไปด้วยใบหน้าที่มีความสุข
"ครานี้ท่านรอดูเถิดเ้าค่ะ" หลังจากที่นางพูดอยู่นาน คอแหบแห้ง นางหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ "เชื่อข้าสิ ท่านจะเห็นผลในหนึ่งสัปดาห์"
หลังจากอวิ๋นอี้พูดจบ ก็มองไปที่ลู่จงเฉิง
อีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีออกมามากนัก ดูเหมือนเขาจะครุ่นคิดกระไรอยู่
นางวางถ้วยชาลง ไม่ดูกระดาษ แสดงความห่วงใยต่อลู่จงเฉิง “อัครมหาเสนาบดีขวาลู่เ้าคะ ท่านกำลังกังวลหรือ?”
ลู่จงเฉิงเงยหน้า สบตาเข้ากับนาง
ดวงตาของนางยังคงสวยงามและกระจ่างใส ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือความหลงใหลที่นางเคยมองเขาได้หายไปแล้ว
ลู่จงเฉิงไม่สามารถบอกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เขารู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป แต่เขารู้สึกว่ามันควรจะเป็เช่นนั้น
นางเป็สตรีของหรงซิว
ต้องเป็เพราะความสามารถของนางเป็แน่ เขาถึงได้คิดกระไรมากมายเช่นนี้ นางถึงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเขา
หลังจากไม่ได้สติอยู่ครู่หนึ่ง ลู่จงเฉิงก็ส่ายหัว "มิได้กังวลพ่ะย่ะค่ะ มอบหมายงานให้ท่านแล้ว ข้ามั่นใจพ่ะย่ะค่ะ"
"มิกังวลนั่นแหละถูกแล้วเ้าค่ะ!" อวิ๋นอี้พูดด้วยรอยยิ้ม
นางพอใจกับแผนการของโรงเตี๊ยมยิ่งนัก นางมีความมั่นใจที่จะทำให้โรงเตี๊ยมเป็ดั่งร้านตัดเสื้อ กลับมามีชีวิตและเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
วันเวลาผ่านไปอย่างปกติ ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ใบไม้บนต้นด้เปลี่ยนเป็สีเขียวไปบ้างแล้ว ลมที่พัดมาบนใบหน้าอบอุ่น ผู้คนยังคงใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบสุขอิ่มเอมใจ เพียงแต่ว่าวันนี้เป็วันที่ไม่ธรรมดา
บนถนนที่พลุกพล่านที่สุด มีก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้าในชั่วข้ามคืน ที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ก้อนหินนั้นสูงถึงสามเมตร คนห้าหกคนก็โอบมิได้ ทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่กลางถนน
ที่แปลกไปกว่านั้นคือมีคำสองคำสลักอยู่บนก้อนหิน "เกาเซิ่ง" [1]
ผู้คนต่างมามุงอยู่กันที่หน้าโรงเตี๊ยมอย่างแออัด และพูดคุยกันถึงมัน
บางคนบอกว่ามันเป็ลางไม่ดี บางคนบอกว่าเป็พรจาก์ และบางคนก็บอกว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ปกติ
ทุกเสียงพูดมิได้ขาดสาย บางคนถึงกับกระชากคอะโ จะฆ่าแกงกัน คนที่รู้ก็คิดว่ากำลังพูดคุยกัน คนที่ไม่รู้ก็คิดว่ากำลังทะเลาะกัน
เหตุการณ์ก้อนหินตกลงมาจากท้องฟ้าสร้างความแตกตื่นให้กับหน่วยงานรัฐยิ่งนัก
ทางการส่งคนมาตรวจสอบและศึกษาอยู่นาน แต่ยังไม่ได้เื่กระไร
ในขณะที่ผู้คนพากันพูดไปต่างๆ สมณะของลัทธิเต๋าก็ถือป้ายดูดวงเดินผ่านมา
มีคนตาแหลมคมะโออกมาทันทีว่า “นั่น! มีสมณะลัทธิเต๋า! สมณะเต๋า! ท่านมาดูหน่อย หินที่จู่ๆ ตกลงมานี้หมายความอย่างไร!”
มีคนริเริ่ม ก็ย่อมมีคนเห็นด้วยในทันที
ในไม่ช้าสมณะเต๋าก็ถูกผู้คนผลักดันไปข้างๆ ก้อนหิน
แม้แต่คนของทางการก็ให้เกียรติสมณะ หัวหน้าที่รับผิดชอบงานขึ้นไปข้างหน้า พูดกับสมณะเต๋าเหนียมๆ ว่า “ขอรบกวนท่านอาจารย์ช่วยดูหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ว่าหินก้อนั์นี้หมายความว่าเยี่ยงไร?”
สมณะเต๋าพยักหน้าอย่างสงบ เขาเดินไปรอบๆ หินสองคราอย่างจริงจัง
หว่างคิ้วของเขามีรอยย่นสามขีด มองเข้าไปอย่างใกล้ชิด แล้วก็เว้นระยะห่างออกมา จากนั้นในขณะที่ทุกคนกำลังดูอยู่ เขาก็นับนิ้วขึ้น และพูดด้วยความประหลาดใจว่า “นี่เป็ลางดี! ลางแห่งความสำเร็จ!”
สมณะเต๋าอยู่ในอารมณ์แตกตื่น เสียงะโก้องดังของเขา ทำให้ทุกคนล้วนตื่นเต้นไปด้วย
หัวหน้างานของทางการขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม "ท่านอาจารย์ขอรับ ช่วยอธิบายให้แจ่มแจ้งกว่านี้ได้หรือไม่ขอรับ?"
ใบหน้าสงสัยของเขาหายไป แทนที่ด้วยความตื่นเต้นและปีติยินดี เขาเผชิญหน้าฝูงชนอย่างตื่นเต้น ยกแขนขึ้นและชี้ไปที่โรงแรมที่อยู่ข้างหลังเขา “ไม่ผิดแน่ โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็สถานที่แห่งความเจริญรุ่งเรือง บรรดาผู้ที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น!”
หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าหัวเราะขึ้นฟ้าหลายครั้ง ยกป้ายดูดวงของเขาแล้วเดินจากไปอย่างสง่างาม
ในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน การพูดคุยเกี่ยวกับก้อนหินนั้นก็ถูกย้ายไปยังโรงเตี๊ยม
เหมือนว่าจะเป็ครานั้นเองที่ทุกคนเพิ่งจะได้เห็นโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ด้วยใจที่อยากจะเข้าไปเชยชมสถานที่แห่งความรุ่งเรือง หลายคนจึงพากันเข้าไปในโรงเตี๊ยมไม่ได้ขาดสาย
จ่างกุ้ยรู้เื่จากอวิ๋นอี้แล้ว เขาต้อนรับผู้คนอย่างเป็มิตร
เมื่อจำนวนผู้มาเยือนค่อยๆ เพิ่มขึ้น จ่างกุ้ยจำสิ่งที่อวิ๋นอี้บอกได้ เดินไปบนเวทีสูงด้วยรอยยิ้ม พูดกับทุกคนอย่างใจเย็นว่า "ก้อนหินั์ได้บังเอิญตกลงมาที่ร้านของเรา ในเมื่อท่านสมณะเต๋าบอกแล้วว่าที่แห่งนี้เป็สถานที่แห่งความเจริญรุ่งเรือง กระนั้นท่านผู้ที่มาใช้บริการร้านของเราในวันนี้ เราขอคิดเพียงครึ่งราคาขอรับ”
ผู้คนมักอ่อนไหวต่อคำพูดเื่ส่วนลดเสมอ
ภายใต้การยกยอปอปั้นถึงสองเท่า โรงเตี๊ยมซึ่งไม่ได้เป็ที่สังเกตมานาน ในที่สุดก็เข้าสู่สายตาของผู้คน
ในบรรดาคนที่มาดูความครึกครื้น บางคนแนะนำว่าควรเปลี่ยนชื่อโรงเตี๊ยมเป็ "โรงเตี๊ยมเกาเซิ่ง" คิดว่าเป็ชื่อที่พรจาก์
จ่างกุ้ยตัดสินใจ ยังไม่ถึงตอนกลางคืน ก็เปลี่ยนชื่อเสียแล้ว ั้แ่นั้นมาก็กลายเป็โรงเตี๊ยมเกาเซิ่ง
จำนวนผู้ใช้บริการของโรงเตี๊ยมเกาเซิ่งค่อยๆ เพิ่มขึ้น การบอกปากต่อปากในหมู่ผู้คนนั้นมีความสำคัญมาก
การค้าเริ่มดีขึ้น ชื่อเสียงก็แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากก้อนหินั์ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า
มันเป็่สอบเดือนวสันต์พอดี มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่เข้าเมืองหลวงมา หลายคนก็ได้ยินเื่ของโรงเตี๊ยมเกาเซิ่งระหว่างทาง
“บรรดาผู้ที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น”
ผู้ที่จะเข้าสอบ ส่วนใหญ่ก็หาที่พึ่งทางใจให้กับตนเอง และโดยเฉพาะหลังจากที่โรงเตี๊ยมเกาเซิ่งเคยถูกสมณะเต๋าพูดไว้ว่า ที่แห่งนี้เป็สถานที่แห่งความรุ่งเรือง ดังนั้นการต่อสู้อันดุเดือดเพื่อห้องพักก็เริ่มขึ้น
นักเรียนไม่น้อยที่ใช้เงินให้คนช่วยจองโรงเตี๊ยมให้
ผู้ที่ทำตามเช่นนั้นมีมากมาย แต่จำนวนห้องมีจำกัด ไม่ถึงสิบวัน ห้องทุกห้องของโรงเตี๊ยมถูกจับจองไว้ด้วยราคาสูง
อวิ๋นอี้พอใจกับผลลัพธ์นี้มาก นั่งไขว่ห้างฟังลู่จงเฉิงเล่าสถานการณ์ของโรงเตี๊ยม่นี้ให้ฟัง นางยิ้มตาหยีถามเขา "อัครมหาเสนาบดีขวาลู่พอใจหรือไม่เ้าคะ?"
ลู่จงเฉิงพยักหน้า
หรงซิวขำขันแล้วเอาองุ่นที่ปอกป้อนเข้าปากนาง “อวิ๋นเออร์ ความสามารถในการคุยโวของเ้าเก่งขึ้นเรื่อยๆ เลยเชียว!”
เชิงอรรถ
[1] เกาเซิ่ง 高升 หมายถึง การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง