มู่หรงเฟิงเป็คนหยิ่งยโส เขาจะยอมให้มดแมลงขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 อย่างเย่เฟิงเมินใส่ได้อย่างไร?
ตอนนั้นเองพลังปราณปะทุออกจากร่างมู่หรงเฟิง พร้อมร่างเปล่งแสงเรืองรอง จากนั้นเขายกมือขึ้นหมายสำแดงพลังสังหารโจมตีเย่เฟิง
“ฟิ้ว!” ขณะนั้นไกลออกไป มีแสงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า แม้ตอนนี้จะเป็เวลากลางวัน แต่ผู้คนก็ยังคงเห็นได้ชัดเจน
มู่หรงเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทำให้ต้องชักมือที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศกลับลงมา
“วันนี้ข้ามีธุระ จะไว้ชีวิตเ้าก่อน หากข้าเจอเ้าอีก เ้าไม่ตายดีแน่!” มู่หรงเฟิงกล่าวเสียงเย็น จากนั้นหันไปมองเมิ่งยวี่ฉิงพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้อง นั้นเป็สัญญาณเรียกของสำนัก ทางด้านทะเลสาบมรกตน่าจะมีความเคลื่อนไหวแล้ว ไปกันเถอะ!”
“อืม” เมิ่งยวี่ฉิงพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นนางเหลือบมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะตามมู่หรงเฟิงไป ส่วนหยวนป้าเทียนและม่อหลี่พยุงร่างลุกจากพื้นและตามสองคนไปเช่นกัน
เย่เฟิงไม่มีเวลามากพอจะขวางทางอีกฝ่าย ในสายตาเขา มู่หรงเฟิงก็เป็คนหยิ่งยโสไม่เห็นหัวใคร แม้อีกฝ่ายจะเป็ฝ่ายออกไปก่อน แต่เขาก็ไม่จำเป็ต้องไปเสียเวลากับอีกฝ่าย
“พวกเ้าได้ยินกันหรือยัง ผลึกเจตจำนงปรากฏที่ก้นบึ้งทะเลสาบมรกต ข้าได้ยินมาว่า ผู้มาจากต่างแดนเหล่านี้ที่มาเยือนอาณาจักรจ้าวก็เพื่อชิงผลึกเจตจำนง ข้าว่าพวกเราไปดูกันเถอะ บางทีหนึ่งในพวกเราอาจจะได้ผลึกเจตจำนงไปก็เป็ได้” พลันมีเสียงหนึ่งดังจากที่ไหนสักแห่ง
“อืม ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน แต่ว่าผลึกเจตจำนงนั่นคืออะไรหรือ? ข้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย” คนผู้หนึ่งกล่าว แต่สำหรับทุกคนในที่แห่งนี้ ผลึกเจตจำนงเป็ของแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด
“ถึงกับดึงดูดผู้ฝึกยุทธ์ต่างแดนมาที่อาณาจักรจ้าวได้ คาดว่าของสิ่งนี้คงไม่ใช่ของธรรมดา ๆ เป็แน่” เหล่าผู้ฝึกยุทธ์เริ่มวิเคราะห์กันไปต่าง ๆ นานา
“ไป พวกเราไปสังเกตการณ์ที่ริมทะเลสาบมรกตกันเถอะ” มีคนผู้หนึ่งเริ่มเคลื่อนไหวก่อน โดยมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือที่มีทะเลสาบมรกตอยู่ จากนั้นหลาย ๆ คนก็ตามเขาไป อีกอย่างคนเริ่มเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายในระยะเวลาอันสั้นก็มีร้อยกว่าคนที่เข้ารวมกลุ่ม ทั้งยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นไม่หยุด
“ตาเฒ่า ท่านรู้จักผลึกเจตจำนงหรือไม่ แล้วมันมีประโยชน์ต่อข้าในตอนนี้ไหม?” เย่เฟิงไม่เคยได้ยินเื่ผลึกเจตจำนง จึงอดถามราชันมารชื่อเทียนไม่ได้
“ผลึกเจตจำนงก็คือก้อนผลึกชนิดหนึ่งที่มีไว้ให้ผู้ฝึกยุทธ์เรียนรู้พลังเจตจำนง” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว
“พลังเจตจำนงคืออะไร?” เย่เฟิงเอ่ยถาม สำหรับเขาแล้ว พลังเจตจำนงคือคำศัพท์แปลกใหม่ที่เขาไม่รู้จัก
“พลังเจตจำนงคือขั้นต่อไปของพลังแห่งอำนาจ เมื่อผู้ฝึกยุทธ์บรรลุพลังแห่งอำนาจขั้นิญญา่ปลาย ลำดับต่อไปจากอำนาจจะแปรผันเป็เจตจำนง ดังนั้นพลังเจตจำนงคือพลังที่ล้ำลึกยิ่งกว่าพลังแห่งอำนาจ” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว
แม้เย่เฟิงจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอได้ยินคำพูดของราชันมารชื่อเทียน เขาก็ยังคงอดตัวสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ ในความคิดของเขา การที่มีพลังแห่งอำนาจขั้นิญญาได้ก็เท่ากับอยู่จุดสูงสุดของพลังประเภทนี้ แต่ไม่คิดว่าเหนือพลังแห่งอำนาจจะยังมีเจตจำนงอยู่ด้วย นั่นคือพลังที่แข็งแกร่งกว่าพลังแห่งอำนาจอย่างมากโข
ส่วนพลังอำนาจของเย่เฟิงในเวลานี้เพิ่งบรรลุขั้นกายา ซึ่งอยู่ห่างจากพลังเจตจำนงอีกไกลแสนไกล
เส้นทางแห่งการบำเพ็ญนั้นกว้างใหญ่ไพศาล จนไม่มีที่สิ้นสุด
“แม้ผลึกเจตจำนงจะเป็ของล้ำค่า แต่การที่มีผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่ง ๆ มาเยือนอาณาจักรจ้าวเช่นนี้ ข้าเดาว่าสิ่งที่ปรากฏในครั้งนี้คือผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม มีเพียงมันเท่านั้นจึงจะมีพลังดึงดูดที่แข็งแกร่งขนาดนี้” เสียงของราชันมารชื่อเทียนดังออกมาอีกครั้ง
“แล้วผลึกเจตจำนงแรกเริ่มคืออะไร?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“เมื่อผู้ฝึกยุทธ์บรรลุพลังแห่งอำนาจขั้นิญญา่ปลายและร่างเจตจำนงตื่นขึ้น เมื่อนั้นจะมีโอกาสทำให้พลังแห่งอำนาจแปรเปลี่ยนเป็พลังเจตจำนง แต่วัตถุดิบที่จำเป็ในการปลุกร่างเจตจำนงก็คือผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม อาจกล่าวได้ว่าถ้าไม่มีผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม ต่อให้พลังแห่งอำนาจของตัวผู้ฝึกยุทธ์จะบรรลุขั้นิญญาอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ไม่มีทางแปรเปลี่ยนเป็พลังเจตจำนงได้ ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มจึงเป็สิ่งสำคัญที่สุด แต่มันเป็ของหายาก แม้แต่ข้าในชาติก่อนก็มีอยู่ไม่กี่ก้อนเอง” ราชันมารชื่อเทียนกล่าวอธิบาย
“เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ในภายภาคหน้าหากข้า้าให้พลังแห่งอำนาจแปรเปลี่ยนเป็พลังเจตจำนงที่ทรงพลังยิ่งกว่าก็ต้องชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมาให้ได้ ใช่หรือไม่?” เย่เฟิงซักถามต่อ
“ใช่ แม้สำหรับเ้าจะเป็เื่ที่ค่อนข้างไกลตัวโข แต่ในเมื่อผลึกเจตจำนงปรากฏที่นี่ ข้าแนะนำให้เ้าไปชิงมันมาจะดีกว่า เมื่อถึงเวลาที่เ้าใช้มันจะได้ไม่ต้องไปตามหาให้เสียเวลาอีก” ราชันมารชื่อเทียนชี้แนะเย่เฟิง
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นข้าจะไปที่ทะเลสาบมรกตสักรอบ” เย่เฟิงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เป้าหมายของเขาคือพลังแห่งอำนาจบรรลุขั้นิญญา ยังไม่ได้มีเพียงเท่านั้น แม้แต่พลังเจตจำนงก็เป็สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้เช่นกัน
เมื่อกล่าวจบ เย่เฟิงก็มุ่งหน้าไปยังประตูทิศเหนือของเมืองหลวงเฉกเช่นคนอื่น ๆ ซึ่งตลอดทางมีผู้ฝึกยุทธ์เข้าร่วมขบวนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขบวนขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม เย่เฟิงก็ตามขบวนนั้นจนมาถึงริมทะเลสาบมรกต ที่นี่มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายมาถึงก่อน คนส่วนใหญ่ล้วนเป็คนแปลกหน้า พวกเขาอายุยังน้อย แต่กลับดูไม่ธรรมดา ทุกคนมีตบะขั้นยุทธ์แท้ขึ้นไป ตอนนี้สองสามคนที่อยู่ด้านหน้าสุดอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ซึ่งในนี้มีมู่หรงเฟิงและเมิ่งยวี่ฉิงอยู่ด้วย
“ไม่คิดว่าในทะเลสาบของอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ติดพรมแดนจะมีผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม พลังแห่งอำนาจของพี่มู่หรงบรรลุขั้นผันแปร่กลางแล้ว ข้าว่ามีโอกาสสูงที่จะชิงผลึกเจตจำนงไปได้!” ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 คนหนึ่งกล่าวขณะมองมู่หรงเฟิงด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา
ลือกันว่าเมื่อผลึกเจตจำนงแรกเริ่มปรากฏบนโลก ทุกครั้งที่ผู้ชิงไปได้มักจะมีพลังแห่งอำนาจที่ล้ำลึกที่สุด เพราะผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมีแสงศักดิ์สิทธิ์ปกป้อง หาก้ามันก็ต้องมีความรู้และสติปัญญาจึงจะได้รับการยอมรับจากแสงศักดิ์สิทธิ์ และได้ของล้ำค่ามา แต่ผู้มีความรู้มักจะเป็ผู้ที่มีความรู้ต่อพลังแห่งอำนาจอย่างล้ำลึก
อำนาจน้ำแข็งของมู่หรงเฟิงบรรลุขั้นผันแปร่กลาง เป็หนึ่งในไม่กี่คนในที่แห่งนี้ที่มีความรู้ต่อพลังแห่งอำนาจระดับสูง มู่หรงเฟิงก็ย่อมมีความหวังสูงที่จะได้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมา
“มันก็ไม่แน่ อำนาจดาบของศิษย์พี่ข้าก็บรรลุขั้นผันแปร่กลางแล้วเหมือนกัน เป็หัวกะทิในหมู่อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของสำนัก ครั้งนี้ศิษย์พี่ข้าต้องได้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม” ไม่ไกลออกไปมีผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาสะสวยโต้แย้ง ซึ่งข้างกายของหญิงผู้นี้คือชายหนุ่มชุดม่วง ชายผู้นี้อายุประมาณ 20 ปี แบกดาบที่ด้านหลัง ให้ความรู้สึกเฉียบคม
ชายหนุ่มมีนามว่าจั่วเหลิ่งเทียน อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ส่วนหญิงผู้นั้นที่พูดเมื่อครู่มีนามว่าเหยาซินเอ๋อร์ เป็ศิษย์น้องของจั่วเหลิ่งเทียน ทั้งสองคนมาจากกองกำลังหนึ่งทางภาคตะวันตกของจักรวรรดิจิ่วโยวที่มีนามว่า พันธมิตรเทียนเตา ศิษย์ในสำนักเป็นักดาบที่ทรงพลังและมีฝีมือแก่กล้า
“ใครจะชิงผลึกเจตจำนงได้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตนเอง แต่มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
อีกด้านหนึ่ง มีหญิงงามสองคนยืนอยู่ตรงนั้น แต่หนึ่งในสองกล่าวเช่นนั้น ซึ่งพวกนางมาจากกองกำลังหนึ่งของภาคกลางในจักรวรรดิจิ่วโยวที่มีนามว่า เทียนเซียงหลิน แต่กองกำลังนี้ลึกลับมาโดยตลอด ทั้งยังรับแต่ผู้หญิงเข้าสำนักและแต่ละคนก็ล้วนสวยงดงาม
ผู้หญิงสองคนนี้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนเป็พิเศษ เป็หญิงงามที่โดดเด่นอย่างมาก ตบะของพวกนางก็อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ซึ่งหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีฟ้าที่อยู่ทางซ้ายมีนามว่าหลันเซียง ส่วนข้าง ๆ หลันเซียงคือศิษย์พี่ของนาง นามว่าชิงเซียง
ชิงเซียงมีรูปร่างผอมสูง อาภรณ์สีครามที่นางสวมใส่ทำให้เห็นสัดส่วนชัดเจน แต่ใบหน้าอันงดงามของนางกลับดูเ็า ให้ความรู้สึกเข้าใกล้ได้ยาก
บางเวลาผู้คนก็เหลือบมองไปที่เมิ่งยวี่ฉิง เหยาซินเอ๋อร์ หลันเซียง และชิงเซียงด้วยสายตานิ่งอึ้ง
เมื่อขบวนที่เย่เฟิงอยู่มาถึงที่นี่ก็หยุดฝีเท้า ไม่กล้าไปข้างหน้าต่อ เพียงหยุดมองอยู่บริเวณที่ห่างจากริมทะเลสาบสิบจั้ง เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ทราบดีว่า คนแปลกหน้าเหล่านี้ล้วนเป็บุคคลที่พวกเขามิอาจยั่วยุได้ หากไปข้างหน้าต่อ พวกเขาอาจจะเจอกับหายนะได้
เย่เฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูความสนุกสนาน ดังนั้นเขาจึงเดินออกจากฝูงชนแล้วพุ่งตรงไปยังริมทะเลสาบ
“ดูสิ หมอนั่นอยากตายหรือไง? ผู้ฝึกยุทธ์ต่างแดนเ่าั้ล้วนแต่มีฝีมือร้ายกาจ หากอีกฝ่ายโมโหขึ้นมา เขาจบเห่แน่!” มีคนหนึ่งสังเกตเห็นเย่เฟิง จึงอุทานด้วยความใ และในใจเริ่มไว้อาลัยให้เย่เฟิง
“ไม่สิ ชายผู้นี้ดูคุ้นมาก ๆ ข้าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?” ผู้คนมองเย่เฟิงและผุดความคิดเช่นเดียวกันนี้ขึ้นในหัว
“เย่เฟิง ชายผู้นี้คือเย่เฟิง อันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่งไง!”
ในเวลาเดียวกันนั้นมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้หลาย ๆ คนตาทอประกายและค่อย ๆ เผยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งอันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่ง สถานะเช่นนี้คุ้มค่าพอที่จะให้พวกเขาเลื่อมใสศรัทธา
ขณะเดียวกันมู่หรงเฟิง เมิ่งยวี่ฉิง และคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นเย่เฟิงแล้วเช่นกัน
“หมอนี่แกว่งเท้าหาเสี้ยนจริง ๆ เมื่อครู่อุตส่าห์ไว้ชีวิตเขา แต่ไม่นึกว่าเขาจะมาที่นี่” มู่หรงเฟิงพึมพำ พร้อมคิดอยากฆ่าเย่เฟิงอีกครั้ง
“คนนี้คือใคร ดูจากลักษณะท่าทีและตบะต่ำต้อยของเขา น่าจะเป็ชาวอาณาจักรจ้าว” เหยาซินเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จั่วเหลิ่งเทียนกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูถูก นางคือศิษย์จากกองกำลังชั้นยอดแห่งจักรวรรดิจิ่วโยว ย่อมไม่เห็นเย่เฟิงอยู่ในสายตา
จั่วเหลิ่งเทียนเลื่อนสายตาไปมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาไปเช่นกัน บางทีคนอย่างเย่เฟิงอาจไม่คุ้มค่าพอที่จะให้เขาสนใจ
“ศิษย์พี่ คนนี้ดูเหมือนจะน่าสนใจ รู้ทั้งรู้ว่ามีตบะต่ำต้อย แต่ก็ยังกล้าเข้ามา”
หลันเซียงหันไปมองเย่เฟิงที่เดินมาทางนี้ นางยิ้มพลางกล่าวต่อว่า “แต่ดูจากปฏิกิริยาของคนพวกนั้นที่อยู่ด้านหลัง คนนี้น่าจะเป็บุคคลมีชื่อเสียงของอาณาจักรจ้าว”
“อย่ายุ่งเื่คนอื่น ครั้งนี้เ้ากับข้าต้องได้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มกลับเทียนเซียงหลิน” ชิงเซียงเหลือบมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับหลันเซียงเช่นนั้น ซึ่งนางเจอคนไม่เจียมตัวมาเยอะ การปรากฏตัวของเย่เฟิงจึงไม่ใช่เื่น่าแปลกใจอะไร
แม้แต่สายตาเลื่อมใสศรัทธาของผู้คนด้านหลังที่มองเย่เฟิง ชิงเซียงก็ยังไม่สนใจ ที่นี่ก็เป็แค่อาณาจักรเล็ก ๆ ที่ติดพรมแดน แม้มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ต่อหน้าอัจฉริยะจากกองกำลังชั้นยอดอย่างพวกเขา ไม่นับว่าเป็สิ่งใดและไม่คุ้มค่าพอให้สนใจ
“เมื่อครู่ไว้ชีวิตเ้า แต่เ้ากลับตามมาหาที่ตายเสียเอง หรือเ้าอยากตายมากนักหรือ?”
เมื่อมู่หรงเฟิงเห็นเย่เฟิงเดินมาที่ริมทะเลสาบมรกตก็หันไปมองเย่เฟิงอีกครั้งด้วยสายตาคมกริบ ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นเช่นนั้น
ในความคิดของเขา การที่เขาไว้ชีวิตเย่เฟิงเมื่อครู่นี้ เย่เฟิงก็น่าจะรักษาโอกาสนี้และหนีไป แทนที่จะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเช่นนี้
