ผมเองก็ละอายเกินกว่าจะพูดถึงเกี่ยวกับความชอบและรสนิยมของอวี๋เคอเพราะอย่างไรเสียมันก็เป็สิ่งที่ผมมอบให้ การชอบเกี้ยวสตรีหยอกล้อบุรุษนี้ยิ่งขับเน้นให้การเหยียดหยามสังคมของคนผู้นี้ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อนิสัยของเขา
ดังนั้นตอนนี้ใครสามารถบอกผมได้บ้างว่าคุณชายน้อยผู้แสนจะงดงามที่อยู่ตรงหน้านี้ ผมควรจะทำอย่างไรกับเขาดี? คำพูดที่ตัวเองเอ่ยออกมาเมื่อวานยังคงดังก้องอยู่ในหัวไม่หยุดหย่อน“ข้าผู้นี้ก็ไม่ได้ออกทะเวนนานแล้ว ครั้งนี้ก็พานายน้อยตระกูลโม่นั่นไปด้วยแล้วกันระหว่างทางจะได้ไม่น่าเบื่อ”
น่า... สะอิดสะเอียนจริงๆ !
โม่ชิงมีเครื่องหน้าที่งดงามหยาดเยิ้มหางตาเฉี่ยวเรียวยาว เมื่อช้อนตาขึ้นมองผู้คนโลกก็ราวกับหยุดหมุนทั่วทั้งร่างดูบอบบางอ่อนโยน แม้จะเป็่ปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่อย่างไรเสียพวกเขาต่างก็เป็ผู้ฝึกตนที่ขึ้นชื่อไม่หวั่นต่อความหนาวเย็น บนร่างสวมคลุมด้วยอาภรณ์สีเขียวอ่อนที่มีเนื้อผ้าบางเบายามสายลมพัดมา ก็ลอยล่องพลิ้วไหวไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเซียนที่แฝงอยู่ซึ่งเป็รสนิยมแบบที่อวี๋เคอโปรดปราน
ก่อนหน้าที่จะมาถึงที่นี่กู้จิ่นเฉิงบอกว่าเขาได้รับการอบรมชี้แนะมาเรียบร้อยแล้วส่วนจะเป็การอบรมชี้แนะในด้านใดนั้น ผมใช้เพียงหัวแม่เท้าคิดก็คิดออกแล้วตอนนี้เมื่อได้เห็นตัวจริงก็รู้สึกไม่ค่อยเป็ตัวเองนัก
ขณะที่กำลังคิดไปต่างๆ นานาอยู่นั้น โม่ชิงก็เป็ฝ่ายรุกเดินเข้ามาหาแล้วเอนตัวพิงผมเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาปะทะบนใบหน้า ทำให้ผมตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะหัวใจเต้นตึกตักไปชั่วครู่
อืมดี ไม่เป็ตัวของตัวเองเลยจริงๆ
ในเมื่อเป็การเดินทางไปยังดินแดนซากกระดูกแบบ“ข้ามน้ำข้ามทะเล” กู้จิ่นเฉิงจึงเตรียมพาหนะให้ผมอย่างใส่ใจจอมปีศาจผู้สูงศักดิ์คงไม่เหาะไปด้วยตัวเองหรอกใช่ไหมล่ะ?
จากนั้นจึงนั่งลงบนรถม้าที่ถูกตกแต่งไว้อย่างค่อนข้างหรูหราโดยมีสิงโตปีกเพลิงสองหัวลากอยู่ก่อนจะลิ้มรสสำรับชาที่กู้จิ่นเฉิงได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ก่อนหน้านี้ โดยไม่ได้สนใจโม่ชิงผู้มีกลิ่นกายหอมหวานที่กำลังนั่งอยู่ข้างกายเลยกล่าวโดยรวมแล้วคือสบายใจมาก
ในเวลานี้ผมแค่ต้องหาโอกาสตีโม่ชิงให้สลบ แล้วโยนเขาไปยังพรมแดนของแม่น้ำแห่ง์ประมาณว่าเขาหลบหนีไปได้เอง จากนั้นจึงไปรับซ่งฉียวนแล้วพาไปยังดินแดนเหมันต์ ต้องไม่มีใครระแคะระคายอะไรอย่างแน่นอนถึงอย่างไรผมกับกู้จิ่นเฉิงก็ตกลงกันแล้วว่าไม่ให้เขาจัดเตรียมผู้ติดตามมาให้ผมดังนั้นการเดินทางของผมในครั้งนี้จึงเป็อิสระอย่างเต็มที่
โม่ชิงที่อยู่ด้านข้างนิ่งเงียบไปมากั้แ่ขึ้นรถมาเอาแต่ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ร่างกายที่แอบอิงผมอยู่สั่นเทิ้มเล็กน้อย ราวกับผมเป็สัตว์ร้ายน้ำท่วม [1] อะไรแบบนั้น ที่เมื่อหันไปก็อาจจะกลืนกินเขาเข้าไปได้
ผมแหวกม่านผืนหนาบนรถม้าออก หมายจะออกคำสั่งกับสิงโตปีกเพลิงสองหัวแต่เมื่อยื่นหน้าออกมาก็ปะทะเข้ากับใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่ทันตั้งตัวหนวดทั้งสองข้างชี้ขึ้นกลางอากาศอย่างร่าเริงเมื่อมองพร้อมกับใบหน้านี้ยิ่งดูน่าขันเข้าไปใหญ่
“นายท่านปรารถนาจะไปที่แดนซากกระดูกใช่หรือไม่? เหตุใดจึงไม่เอ่ยบอกข้าสักคำล่ะขอรับ? ”
หัวใจของผมเต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่งช่างโชคร้ายอะไรอย่างนี้! ทำไมถึงลืมเื่ที่คนผู้นี้ยังอยู่ที่วังปีศาจไปได้? แล้วจะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถไล่เขาไปได้? หากหวังตัวจวี๋ตามมาโดยไม่สนยางอายใดๆผมก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธเขาได้เลย
“นายท่าน ข้ารอท่านที่วังปีศาจนานแล้วนะขอรับ”พูดจบ เ้านี่ก็ลูบหนวดเคราตัวเองไปมาจากนั้นก็คลี่พัดที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนแสร้งบังใบหน้าครึ่งหนึ่งอย่างเขินอาย
แหวะ——
“อ้าว นายน้อยตระกูลโม่ก็อยู่ด้วยหรอกหรือ? ” ไม่รู้ว่าผมแสดงท่าทีดูน่ารังแกได้ง่ายเกินไปหรือเปล่าหวังตัวจวี๋จึงไม่ไว้หน้ากัน แล้วยื่นเท้าก้าวเข้าไปในรถม้ายื่นกรงเล็บออกมาบีบคางของโม่ชิงแล้วนวดคลึงไปมาอยู่หลายที พร้อมกับเลียปากไปมาท่าทางดูน่ากลัวเหมือนผีหื่นกาม “ไม่ได้เจอกันหลายวัน ดวงหน้านี้ดูงามขึ้นยิ่งนัก”
ผมพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ เหลือบมองไปยังโม่ชิงแวบหนึ่งก็รู้สึกเลยว่าตัวเขาสั่นแรงขึ้น นิ้วมือเรียวยาวกำหมัดแน่นบนโหนกแก้มมีสีแดงระเรื่อ คาดว่าคงถูกความหื่นกามของหวังตัวจวี๋ทำให้โกรธเข้าแล้ว
ผมถอนหายใจและกำลังจะพูดก็ได้ยินหวังตัวจวี๋พูดต่อว่า “นายท่าน ให้ข้ายืมนายน้อยตระกูลโม่ผู้นี้มาเล่นสักสองวันนะขอรับ? ”
“??? ”
“ผู้น้อยรู้ว่า นายท่านมีเื่สำคัญกว่าที่ต้องไปทำการนำโม่ชิงไปยังแดนซากกระดูกด้วยครั้งนี้เป็เพียงแค่ฉากบังหน้าใช่หรือไม่ขอรับ? ” หวังตัวจวี๋ปล่อยมือที่บีบคางโม่ชิงออก มุมปากแสยะยิ้มเผยฟันเรียงขาวทั้งสองแถวใส่ผมแล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อเขาเป็ฉากบังหน้าสุดท้ายท่านก็ต้องกำจัดเขาทิ้งอยู่ดีใช่หรือไม่ขอรับ แทนที่จะฆ่าเขาในที่รกร้างสู้ให้ผู้น้อยสุขสมก่อนจะดีกว่า”
...จู่ๆผมก็ไม่กล้ามองตรงเข้าไปในดวงตาของหวังตัวจวี๋เลยแม้แต่น้อย ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเ้านี่รู้อะไรไปเสียทุกอย่าง? อีกอย่าง ผมจ้องมองไปยังโม่ชิงที่กำลังก้มหน้าอยู่ ทำไมหวังตัวจวี๋จึงตอแยกับคนผู้นี้ได้ถึงเพียงนี้?
ผมแหวกม่านออกอีกครั้งก่อนจะโบกมือไปมาให้กับสิงโตปีกเพลิงสองหัว เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งนาทีกว่าถึงได้ตอบกลับไปว่า“ตามใจเ้า แล้ววันหน้าก็อย่ามารบกวนข้าผู้นี้อีก”
“เช่นนั้นผู้น้อยก็ขอบพระคุณนายท่านอย่างยิ่งขอรับ!” หวังตัวจวี๋ยังพูดไม่ทันจบก็เอื้อมมือไปรั้งเอวของโม่ชิงเอาไว้โดยไม่สนใจการดิ้นรนของคนผู้นั้นเลยว่าจะกระเด็นเลยออกจากรถม้าไปเป็การขออนุญาตที่รีบร้อนเสียจริง
เพียงแต่สีหน้าอันรื่นรมย์ที่เผยผ่านออกมาทางหางคิ้วของเขาทำให้ผมรู้สึกขนลุกมากก็เท่านั้น
“คราวหน้าผู้น้อยจะมาหาท่านเพื่อดื่มสุรานะขอรับ...”
...ขอร้องเ้าล่ะ อย่ามาเลย
เมื่อภายในรถม้ามีคนหายไปสองคนก็พลันรู้สึกเงียบเหงาอยู่ไม่น้อยแล้วยกชาขึ้นดื่มอีกครั้งจนเวลาล่วงเลยไป ก็มาถึงเรือนที่ซ่อนซ่งฉียวนแล้ว
มองเห็นอาจิ่วในร่างที่ขยายใหญ่กำลังหมอบรอผมอยู่หน้าประตูเรือนที่ไม่ใหญ่นักจากระยะไกลและยังไม่ทันที่เท้าอีกข้างของผมจะก้าวออกจากรถม้าเขาก็ย่อตัวเล็กลงแล้วะโขึ้นไปบนไหล่ของผมอย่างรวดเร็ว ถูไถกับปอยผมของผมไปมาแล้วเริ่มบ่นเื่ต่างๆ ให้ฟัง พูดอย่างเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด
เมื่อเข้าไปยังห้องลับก็เห็นซ่งฉียวนยังคงหลับสนิทอยู่ และบนร่างถูกคลุมด้วยผ้าห่มไว้อย่างเรียบร้อยมองปราดเดียวก็รู้ว่าอาจิ่วเป็คนจัดการให้
ช่างเป็เด็กน้อยที่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ
การนั่งเกาจะงอยปากอันแหลมคมของอาจิ่วที่ข้างเตียงนั้นทำให้จิตใจของผมสงบลงอย่างมาก
หากเยี่ยวั่งจือไม่อยู่จะเป็อย่างไรต่อ? แล้วหาก“เคล็ดวิชาเทียนเฉิน” ปรากฏออกมาให้ผมเห็นในที่แห่งนี้จะเป็อย่างไรต่อ? ในเมื่อผมตัดสินใจที่จะช่วยเขาแล้ว ผมก็จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
......
เชิงอรรถ
[1] สัตว์ร้ายน้ำท่วม หมายถึงสิ่งที่ชั่วร้าย