ภายในห้องรับรอง เสิ่นเสวียนยืนอยู่ตรงหน้าหานเตา สองมือทาบตรงขมับทั้งสองข้างของอีกฝ่าย
หานเตาที่เมื่อครู่จิตสังหารกำลังเดือดพล่านกลับยืนเหม่อลอย สีหน้าไร้อารมณ์ รูม่านตาเริ่มขยายออกอย่างช้าๆ
ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบราวกับร้างผู้คน!
หานเตามีองครักษ์ติดตามมาสี่คน พวกเขาหันมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ควรทำอย่างไร
พวกเขาต่างรู้ดีถึงพลังของหานเตา ส่วนเสิ่นเสวียนนั้นอ่อนแอเปราะบาง จะเป็ภัยคุกคามถึงชีวิตต่อหานเตาได้อย่างไร
เถ้าแก่ตระกูลซูที่ก้มหน้าเดินถอยหลังออกไปก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงดังมาจากห้องรับรอง เขารู้สึกถึงความผิดปกติจึงเดินเข้าไปอีกครั้ง และได้เห็นเหตุการณ์นั้นพอดี
ทุกคนรอบๆ จ้องมองเสิ่นเสวียนด้วยดวงตาเบิกโพลง
“คิดสังหารข้า เ้าคู่ควรแล้วหรือ”
เสิ่นเสวียนมองหานเตาที่สูงกว่าตนเองพลางหัวเราะเบาๆ แล้วปล่อยมือออก จากนั้นซัดพลังฝ่ามือเข้าใส่หน้าอกของหานเตา ผลักให้อีกฝ่ายกระเด็นไปหาเหล่าองครักษ์ตระกูลหาน
พลังมหาศาลพุ่งตรงเข้ามา ต้องใช้องครักษ์ถึงสามคนจึงจะรับร่างของหานเตาไว้ได้
“คุณชาย คุณชาย!”
บรรดาองครักษ์เข้าประคองหานเตาไว้แล้วรีบเรียกสติเขาขึ้นมา แต่กลับพบว่านายน้อยของพวกเขาเหมือนกับคนตายไปแล้ว เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น
“อย่าเปลืองแรงเลย เขาไม่ต่างอะไรกับคนตายไปแล้ว”
เสิ่นเสวียนปัดมือพลางกล่าวเสียงเรียบ เมื่อครู่ในพริบตาที่เขารวบรวมพลังที่ฝ่ามือแล้วโจมตีออกไป พลังเ่าั้พุ่งเข้าไปในหัวของหานเตา ทำให้เส้นประสาทของหานเตาบิดเบี้ยว ดูผิวเผินเหมือนไม่เป็อะไร ทว่าในความเป็จริงหานเตากลายเป็คนไร้ความสามารถ ราวกับคนที่ตายไปแล้ว
“เสิ่น! คุณชายเสิ่น นี่มัน...”
เถ้าแก่ตระกูลซูกล่าวเสียงสั่น ไม่รู้ควรทำอย่างไร
“บอกพวกเขาไปว่าข้าเป็คนทำ”
ขณะที่กล่าว เสิ่นเสวียนก็เข็นเสิ่นเสี่ยวเม่ยออกไปจากห้องรับรอง โดยไม่มีใครกล้าขวางทางเขาเลย
การกระทำของเสิ่นเสวียนทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหวาดกลัวเขายิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มที่ดูอ่อนแอคนหนึ่งกลับทำให้ผู้แข็งแกร่งขั้นกึ่งก้าวแม่ทัพาเ็หนักได้อย่างง่ายดาย จะต้องมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน ภายนอกลือกันไปว่านายน้อยตระกูลเสิ่นเป็เพียงคนไร้พลัง ทว่าข่าวลือน่าจะเป็เื่หลอกลวง!
“ท่านพี่ ท่านทำร้ายหานเตาไปแล้ว คนตระกูลหานจะต้องตามสืบอย่างแน่นอน พวกเราออกจากเมืองอวี่ฮว่ากันก่อนเถอะ!”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยที่นั่งอยู่บนรถเข็นกล่าวกับเสิ่นเสวียน นางรู้ดีถึงพลังของตระกูลหาน หากอยู่ที่นี่ต่อจะต้องเดือดร้อนแน่
“เสี่ยวเม่ยของพี่เก่งแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก คนตระกูลหานยังมิอาจทำอะไรพวกเราได้”
เสิ่นเสวียนยิ้มเล็กน้อย เขาชอบความรู้สึกที่มีคนเป็ห่วงเช่นนี้มาก
ทว่าขณะที่เขาเดินมาถึงโถงใหญ่ในโรงเตี๊ยม กลับมีองครักษ์เดินเข้ามาอีกหลายแถว องครักษ์เหล่านี้สวมชุดเฟยอวี๋[1] ห้อยกระบี่ไว้ที่สายรัดเอว พวกเขาไม่เหมือนกับองครักษ์ตระกูลหานเลย พลังขององครักษ์เหล่านี้แข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนมีพลังถึงขั้นปรมาจารย์กันแล้ว และมากกว่าครึ่งที่ถึงขั้นปรมาจารย์ระดับสูง
หลังจากนั้นก็มีชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามา
หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมขนนกสีขาวเหลือบทอง ในมือถือพัดขนนกดูสง่างาม ส่วนอีกคนหนึ่งคือหานเฟิง นายน้อยแห่งตระกูลหาน
“คุณชายเจี้ยน เชิญด้านใน”
หานเฟิงเดินนำหน้าชายหนุ่มคนนี้ด้วยท่าทีนอบน้อม แสดงว่าไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกัน
“จากที่ข้าเห็นมาระหว่างทาง ตระกูลหานของพวกเ้าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้พอดี รอให้ข้ากลับไปก่อน ข้าจะรายงานต่อประมุขสำนัก ให้พวกเ้าได้เข้าร่วมกับสำนักกระบี่”
ชายหนุ่มโบกพัดขนนกพลางกล่าวเสียงเรียบ
“ขอบคุณคุณชาย ขอบคุณคุณชาย”
หานเฟิงได้ยินคำของคุณชายเจี้ยน ทำให้เขารู้สึกปลื้มปีติมาก ขอเพียงมีสำนักกระบี่เป็ที่พึ่ง ตระกูลหานของเขาจะรุ่งเรืองขึ้นได้อย่างแท้จริง
แต่ในขณะนั้นเอง เขาััได้ถึงไอพลังที่คุ้นเคย จึงหันไปมองทางโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม เห็นเสิ่นเสวียนเข็นเสิ่นเสี่ยวเม่ยมาถึงพอดี
“เ้าเองหรือ”
“คุณชายโปรดรอสักครู่ มีบางอย่างที่ข้าต้องสะสางก่อน”
เมื่อกล่าวจบ หานเฟิงก็เดินไปที่โถงใหญ่ จ้องมองเสิ่นเสวียนไม่วางตา
“เ้ามาทำอะไรที่นี่”
หานเฟิงคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายไปเอาความกล้าหาญจากไหนมายืนเกะกะอยู่ที่นี่ นอกจากนี้เขายังให้หานเตามาเก็บกวาดล่วงหน้าแล้ว เสิ่นเสวียนทำอย่างไรจึงยังอยู่ตรงนี้ได้
“หานเตาล่ะ”
หานเฟิงมองหน้าเสิ่นเสวียนแล้วรู้สึกใจไม่ดี ก่อนหน้านี้ในหอประชุมตระกูลเสิ่น เขาเคยเห็นฝีมือของเสิ่นเสวียนมาก่อนแล้ว สามารถสังหารคนได้โดยไม่กะพริบตา จิตใจเช่นนี้แม้แต่เขายังหวั่นเกรง
“คุณ...คุณชาย! คุณชายเขา...”
ตอนนั้นเอง องครักษ์ตระกูลหานหลายคนในห้องรับรองพากันประคองหานเตาเดินออกมา พวกเขามองหานเฟิงด้วยสายตาหวาดกลัว เพราะเกรงว่าหานเฟิงจะบันดาลโทสะใส่พวกเขา
“หืม?”
หานเฟิงเร่งรุดไปตรงหน้าหานเตา เขายื่นมือไปจับชีพจรของหานเตา พบว่าชีพจรยังเต้นอยู่ แม้พลังภายในร่างจะแปรปรวนแต่ก็ยังนับว่าสมบูรณ์ดี จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ตื่น! ตื่นสิ!”
หานเฟิงตบหานเตาไปสองครั้ง กลับเห็นแววตาของอีกฝ่ายว่างเปล่า ไร้ชีวิตชีวา
“ตื่น! ตื่นสิ!”
ไม่ว่าหานเฟิงจะส่งเสียงเรียกอย่างไร หานเตาก็ยังไม่รับรู้
“เ้าทำอะไรเขา”
หานเฟิงหันไปถามเสิ่นเสวียน เขารู้ว่าเสิ่นเสวียนคนนี้ลึกลับมาก แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเสิ่นเสวียนจะกล้าลงมือกับตระกูลหานของเขาจริงๆ อีกทั้งหานเตามีพลังยุทธ์ขั้นกึ่งก้าวแม่ทัพแล้ว อีกฝ่ายกลับทำให้หานเตากลายเป็แบบนี้ได้โดยที่ตนเองไม่เป็อะไรเลย พลังของเสิ่นเสวียนอยู่ในขั้นไหนแล้วกันแน่
“วางใจได้ เขายังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่สติไม่สมประกอบเท่านั้น”
เสิ่นเสวียนรู้ดีว่าวันนี้จะต้องสู้กันอย่างแน่นอน ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับหานเฟิงด้วย แต่เขาก็มั่นใจว่าจะเอาชนะได้
“สติไม่สมประกอบ!”
เมื่อได้ยินคำของเสิ่นเสวียน มุมปากของหานเฟิงพลันกระตุกรัว
ตระกูลหานเป็ตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองอวี่ฮว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา ตระกูลอื่นๆ ไม่มีใครกล้าคัดค้าน กระทั่งถึงวันนี้ กลับมีคนอาจหาญทำร้ายคนในตระกูลหานของเขาอย่างโจ่งแจ้ง เพียงนึกถึงท่านพ่อของหานเตาก็ทำให้หานเฟิงหวั่นใจขึ้นมา
“ข้าไม่สนใจว่าเ้าเป็ใคร ไม่สนใจว่าเ้าจะมาจากไหน วันนี้เ้าทำร้ายเขา เช่นนั้นข้าจะให้เ้าชดใช้ด้วยชีวิต”
หานเฟิงจ้องเสิ่นเสวียนเขม็งพลางกล่าวเสียงเรียบ ทว่าไอพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งพลันปะทุออกมาจากร่าง
คุณชายเจี้ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังนั่งลงบนเก้าอี้ที่องครักษ์ยกมาให้ พลางมองทั้งสองคนด้วยความสนใจ นอกจากการทดสอบตระกูลหนึ่งว่าจะเข้าร่วมสำนักกระบี่ได้หรือไม่แล้ว ยังต้องสังเกตความกล้าหาญของผู้สืบทอดตระกูลด้วย และในตอนนี้เขาอยากจะรู้ว่า หานเฟิงผู้นี้จะจัดการเื่นี้อย่างไร
เสิ่นเสวียนเข็นเสิ่นเสี่ยวเม่ยไปด้านข้าง เพื่อให้ห้องโถงของโรงเตี๊ยมมีที่ว่างมากพอ
ตอนนี้คนที่เขากำลังสนใจไม่ใช่หานเฟิง ทว่าเป็คุณชายเจี้ยนผู้นั้น
คนที่แสดงพลังจิติญญาเข้าตรึงร่างของเขาไว้บนถนนก่อนหน้านี้ มีไอพลังคล้ายกับคุณชายเจี้ยนผู้นี้มาก เขาไม่มั่นใจเลยว่าคนผู้นั้นจะใช่คุณชายเจี้ยนหรือไม่ หากว่าใช่ พลังแค่นี้ของเขาคงดูไม่จืด
หากว่าไม่ใช่ คนผู้นั้นจะต้องลอบสังเกตการณ์อยู่อย่างแน่นอน ซึ่งไม่เป็ผลดีต่อเสิ่นเสวียนเลย
ทันใดนั้น มือของหานเฟิงพลันแปรเปลี่ยนเป็กรงเล็บ พุ่งทะยานเข้าตะปบเสิ่นเสวียน กรงเล็บสะบัดออกไปก่อให้เกิดไอพลังต่อสู้ที่รุนแรงแผ่กระจายไปทุกทิศทาง เพียงพอจะแสดงทักษะที่แท้จริงของหานเฟิงออกมาได้
ส่วนเสิ่นเสวียนในตอนนี้กำลังหลบหลีกไปเรื่อยๆ ไม่ได้เข้าปะทะกับหานเฟิงโดยตรง
“ขั้นแม่ทัพระดับกลาง หึๆ ไม่เลวเลยนี่”
คุณชายเจี้ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือถือพัดขนนกโบกเบาๆ พลางพยักหน้า
ฝึกฝนได้ถึงขั้นแม่ทัพระดับกลางั้แ่อายุยี่สิบปี นับว่าเป็อัจฉริยะคนหนึ่ง พลังยุทธ์เช่นนี้เพียงพอจะเป็ส่วนหนึ่งในสำนักกระบี่ของพวกเขาได้
“ท่านลุงกู่ ท่านคิดว่าหานเฟิงคนนี้เป็อย่างไร”
คุณชายเจี้ยนถามขึ้นเบาๆ คล้ายกำลังคุยกับอากาศ
“คุณชาย อย่าได้เป็ศัตรูกับเด็กนั่น ถึงคราวจำเป็เราอาจต้องสนับสนุนเขา”
เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของคุณชายเจี้ยน
..........................................................
[1] ชุดเฟยอวี๋ มีลักษณะเป็เสื้อคอป้าย ท่อนล่างเป็กระโปรงจีบ ตามประวัติศาสตร์เป็เครื่องแบบขององครักษ์เสื้อแพรในสมัยราชวงศ์ิ บนชุดปักลายัมีครีบคล้ายปลา มีเล็บสี่เล็บ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้