“แม่จะตัดใจตบหน้าเ้าได้อย่างไรกันเล่า เสด็จพ่อของเ้าถือกำเนิดเป็ตี๋จื่อ แม้จะไม่ได้มองข้ามซู่จื่อ แต่เหตุการณ์ก่อฏเมื่อหกปีก่อน ผู้ก่อการฏล้วนเป็ซู่จื่อ ดังนั้นในระหว่างตี๋ซู่แล้วนั้น เสด็จพ่อเ้าย่อมให้ความสำคัญกับตี๋จื่อมาก” ฉินกุ้ยเฟยกล่าว “อย่าเห็นว่าเสด็จพ่อของเ้าเคร่งขรึมไม่พูดจาเพียงแค่ยิ้มหรือหัวเราะ ความสัมพันธ์ของเขากับไท่จื่อเยี่ยนนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก เขาเป็คนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกเป็อย่างยิ่ง”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ไหนแต่ไรมาเสด็จพ่อไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเราอย่างเมตตา หรือใจกว้างมาก่อน แต่กับน้องสี่นั้นเขามีท่าทีอ่อนโยนเต็มไปด้วยไมตรีจิต มีสิ่งของอะไรดีๆ จวนฉีอ๋องจะได้รับเป็คนแรก ตำหนักคุนหนิงเป็ที่สอง ที่สามยังไม่รู้ว่าเป็ผู้ใด บรรดาองค์ชายที่ร่วมมือกันก่อการฏเมื่อหกปีก่อนนั้น ท่านตาได้ให้ความช่วยเหลือมากมายเพียงใด แต่เสด็จพ่อกลับไม่เคยระลึกถึงความดีของสกุลฉินเลย” ในใจองค์ชายใหญ่ไม่เป็สุข
“โอรสข้า เ้าต้องกระจ่างแจ้งว่าเมื่อเป็ขุนนางของฮ่องเต้แล้วไม่ว่าทำสิ่งใดเพื่อฮ่องเต้ล้วนเป็เื่ที่สมควร เ้าอย่าได้ขอรางวัลจากฮ่องเต้เมื่อทำเื่อันใดสำเร็จ นั่นเป็สิ่งที่เป็ไปไม่ได้ จงอย่าได้คิดว่าเขาเป็เสด็จพ่อของเ้า แต่ต้องปฏิบัติตนเฉกเช่นเป็ขุนนางขององค์ฮ่องเต้” ฉินกุ้ยเฟยพร่ำสอนโอรสของตนอย่างใส่ใจ
“คำพูดของเสด็จแม่ ลูกจดจำไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินกุ้ยเฟยมองเล็บของตนด้วยความพอใจยิ่ง จากนั้นจึงให้คนออกไปจนหมด สายตาของนางกลับมาอยู่บนร่างขององค์ชายใหญ่อีกครั้ง “เช่นนั้นกลับมาพูดถึงเมื่อตอนแรก เ้าเข้าวังมาเร่งด่วนเช่นนี้ด้วยเหตุอันใด”
“หูตาของเราในจวนฉีอ๋องรายงานมาว่า...” องค์ชายใหญ่เล่าเื่ทั้งหมด “เสด็จแม่ ท่านเห็นเป็เช่นใดพ่ะย่ะค่ะ?”
สีหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าฉินกุ้ยเฟยค่อยๆ เปลี่ยนเป็แววตาคมปลาบ “ไม่ว่าพิษในร่างของกู้จวิ้นเฉินจะถอนได้หรือไม่ เขาล้วนเป็ภัย”
“ความหมายของเสด็จแม่คือ?”
“หากพิษในร่างของเขาถูกถอน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าในสายตาของราชสำนัก หรือในสายตาของเสด็จพ่อของเ้า เขาย่อมมีคุณสมบัติที่จะ่ชิงบัลลังก์ักับเ้า” ฉินกุ้ยเฟยแจกแจง “ลำดับแรก ตำแหน่งฮ่องเต้ของเสด็จพ่อเ้านั้นเดิมทีเป็ของเขา ขุนนางที่จงรักภักดีต่อไท่จื่อเยี่ยนเ่าั้ บัดนี้ยังมีกำลังและความสามารถอยู่ในราชสำนักไม่น้อย พวกเขายินดที่จะคอยประคับประคองและปลุกปั้นโอรสของไท่จื่อเยี่ยน เพื่อให้ตนเองมีโอกาสได้รับใช้ในตำแหน่งขุนนางสำคัญอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่สนับสนุนเ้า ลำดับต่อมา ความสัมพันธ์พี่น้องของเสด็จพ่อเ้ากับไท่จื่อเยี่ยนนั้นแน่นแฟ้นยิ่งนัก สำหรับเขาแล้วพี่ชายเช่นไท่จื่อเยี่ยนเสมือนเป็บิดาของเขา ดังนั้นในใจของเขาโอรสของไท่จื่อเยี่ยนย่อมมาเป็อันดับแรก จากนั้นจึงจะเป็เ้า ต่อให้เขาไม่ได้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ แต่การมีชีวิตอยู่ของเขาก็ถือเป็อันตรายอย่างหนึ่ง”
“เสด็จพ่อช่างลำเอียงนัก ข้าต่างหากที่เป็โอรสของเขา เหตุไฉนเขาจึงได้ให้ความสำคัญกับกู้จวิ้นเฉินถึงเพียงนั้น?” องค์ชายใหญ่ไม่พอใจยิ่งนัก
“ใจของคนเรานั้นก็เอนเอียงอยู่แล้ว” ฉินกุ้ยเฟยไม่ได้อธิบาย เื่บางเื่ต่อให้อธิบายหรือให้คำตอบไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นมิสู้ยอมรับความจริงเสียดีกว่า “งานฉลองวันราชสมภพของเสด็จพ่อเ้าดำเนินการไปเช่นใดแล้วบ้างเล่า?”
“มีน้องรองและน้องสามช่วยกันพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ขาดตกบกพร่องอันใดไปย่อมไม่ใช่ปัญหาของข้า” องค์ชายใหญ่ตอบ
“พวกเ้าทั้งสามพี่น้องรับผิดชอบร่วมกัน หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นต่อให้ไม่ใช่เ้าเพียงคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ แต่จะกลายเป็ความทรงจำที่ไม่ดีต่อเ้าอยู่ในใจของเสด็จพ่อ” ฉินกุ้ยเฟยกล่าว “ยังมีอีก เ้าและสะใภ้จะต้องพยายามให้มาก เร่งมือเข้า หากสามารถให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์ใหญ่ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทได้ จะมีผลดีต่อตำแหน่งฮ่องเต้ของเ้ายิ่งนัก”
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่เองก็คิดเช่นนั้น แต่ท้องของพระชายาเอกไม่รักดี “เช่นนั้นทางกู้จวิ้นเฉิน...”
“เื่นี้ข้าจะปรึกษาหารือกับท่านตาของเ้าเอง” ฉินกุ้ยเฟยกล่าว “ไม่ว่าพวกเราจะทำการอันใด เ้าล้วนไม่ต้องเข้ามาร่วมด้วย ต่อให้ฮ่องเต้มีความเห็นเป็อื่นในอนาคต คิดจะลงโทษ ก็เป็เื่ของข้าและท่านตาเ้า”
เจตนาของฉินกุ้ยเฟยนั้นองค์ชายใหญ่กระจ่างแจ้งแก่ใจ
“ใช่แล้ว ตามกฎระเบียบขององค์ชายและชินอ๋อง ให้มีพระชายาเอกหนึ่งคน พระชายารองสองคน ในเวลานี้เ้ามีเพียงพระชายาเอกและพระชายารองอย่างละหนึ่งคน ยังมีพระชายารองอีกหนึ่งคน เ้ามีตัวเลือกในใจแล้วหรือไม่?” ฉินกุ้ยเฟยถาม
“ลูกไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรักระหว่างชายหญิง เสด็จแม่มีคนในใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินกุ้ยเฟยหยิบภาพวาดออกมาสองม้วน “เ้ามาดูนี่เสียหน่อย”
หญิงสาวบนภาพวาดทั้งสองดูแตกต่างกัน คนหนึ่งร่าเริงฉลาดเฉลียว อีกคนนั้นเงียบสงบและบริสุทธิ์ องค์ชายใหญ่พบเห็นหญิงงามมามาก ภาพวาดทั้งสองไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกรักแรกพบกับเขา “เสด็จแม่เลือกคนไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่คือหลี่หม่าน หลานสาวของจงกั๋วกง ปีนี้มีอายุสิบห้าปี และคนนี้คือบุตรสาวคนโตของจวนจงหย่งโหว หลี่หลิน บุตรีของหลี่ซวี่ ปีนี้มีอายุสิบหกปี” ฉินกุ้ยเฟยแนะนำ “รอให้ถึงวันฉลองราชสมภพของเสด็จพ่อเ้า พวกเขาจะต้องเข้าวังอย่างแน่นอน เ้าก็ดูเสียว่าคนไหนถูกชะตากับเ้ามากกว่ากัน แม้จะเป็พระชายารอง แต่ก็ต้องถูกชะตากับเ้า”
“บัดนี้จวนจงกั๋วกงไม่มีค่าพอจะเอ่ยถึงแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” องค์ชายใหญ่กล่าว “แม้จวนจงกั๋วกงจะเป็ครอบครัวขุนนางดังกาลก่อน แต่ไม่มีอำนาจที่แท้จริงในราชสำนัก หลี่ซวี่จงหย่งโหวเสียชีวิตไปแล้ว จวนโหวก็เป็เพียงจวนที่ตกต่ำ”
ฉินกุ้ยเฟยยิ้มบางๆ พร้อมกับหยิบพู่กัน เขียนอักษรสามตัวลงบนกระดาษว่า ‘เหรินเซียงโหว’
“เหรินเซียงโหวคือ?” องค์ชายใหญ่ยังคิดตามไม่ทัน
“เหล่าเฟิงจวิน[1]ของเหรินเซียงโหวเป็น้องสาวแท้ๆ ของจงกั๋วกง เหรินเซียงโหวคนปัจจุบันคือบุตรชายของนาง เหรินเซียงโหวกล้าหาญองอาจเชี่ยวชาญการศึก หากสามารถดึงสกุลหลี่เข้ามาได้ ก็เท่ากับเป็การดึงเหรินเซียงโหวเข้ามาด้วย เหรินเซียงโหวมีบุตรชายสามคน ไม่มีบุตรสาว” แต่ละก้าวของฉินกุ้ยเฟยล้วนมีเหตุมีผลเสมอ
“เพื่อลูก ท่านแม่ต้องลำบากแล้ว”
“เสด็จแม่” เสียงออดอ้อนเสียงหนึ่งดังมาจากข้างนอก
จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ค่อยอยู่ในวังหลังนัก ดังนั้นลูกๆ ของเขาจึงมีไม่มาก องค์ชายสามองค์ องค์หญิงสององค์ นอกจากองค์หญิงเล็กที่อยู่ในวัยห้าขวบแล้ว ก็ยังมีองค์หญิงในวัยสิบสี่ปีอยู่อีกองค์ ทั้งยังถือกำเนิดจากสาวใช้ของฉินกุ้ยเฟยเมื่อครั้งนางยังเป็เพียงพระชายารอง สาวใช้ให้กำเนิดบุตรอย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงเสียชีวิตจากการคลอดบุตร ครั้นแล้วองค์หญิงองค์นี้จึงถูกเลี้ยงดูโดยฉินกุ้ยเฟย
“น้องสาวมาแล้ว เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเสด็จแม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่ก้าวถอยออกไปชนกับองค์หญิงใหญ่ที่กำลังเข้ามา เขายิ้มพลางพูดขึ้น “ไฉนจึงเดินเหินราวกับมีลมพัดหอบมาเช่นนี้ เ้ามิใช่เด็กน้อยแล้ว ยังจะะโโลดเต้นเช่นนี้อยู่อีก”
องค์หญิงใหญ่หันไปทำหน้าผีใส่องค์ชายใหญ่ “เสด็จพี่องค์ชายใหญ่มีพระชายาแล้วเริ่มเอาจริงเอาจังขึ้นนะเพคะ” จากนั้นจึงวิ่งไปหยุดข้างกายฉินกุ้ยเฟย “เสด็จแม่ นี่เป็สีทาเล็บสีใหม่ที่ฉุนเหอเพิ่งได้มาเพคะ ข้ารู้ว่าท่านแม่กำลังเก็บสะสม จึงนำมันมาด้วย เป็เช่นใดบ้าง สีนี้งดงามหรือไม่เพคะ?”
สีฟ้า แตกต่างจากสีแดงที่มีความโดดเด่น แต่ให้ความรู้สึกงดงามที่ถ่อมตน
“เ้าไปเล่นกับฉุนเหออีกแล้วหรือ?” ฉินกุ้ยเฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนาง “ปีหน้าก็จะถึงวัยปักปิ่น[2]แล้ว ไฉนจึงยังเที่ยวไปทั่วเช่นนี้?”
“เฮ้อ...” องค์หญิงใหญ่ถอนใจเฮือกหนึ่ง “ผู้อื่นอยู่ในสายตาเสด็จแม่อย่างไรก็ยังเป็เด็กอยู่ดีนั่นแหละเพคะ”
“เ้าเด็กคนนี้...วันนี้ไปหาฉุนเหอไปเล่นอะไรกันอีกเล่า?” ฉินกุ้ยเฟยถามยิ้มๆ ท่านหญิงฉุนเหอเป็ธิดาของฉุนหยางอ๋อง ฉุนหยางอ๋องเป็ท่านอ๋องผู้มีนามสกุลแตกต่างกับท่านอ๋องผู้อื่นในราชวงศ์ เนื่องด้วยเขาเป็ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาของไท่จู่ฮ่องเต้[3] ครั้งนั้นได้ร่วมมือกันล้มล้างราชวงศ์ก่อน เป็ขุนนางที่ร่วมก่อตั้งราชวงศ์ใหม่พร้อมกับไท่จู่ฮ่องเต้ และเป็ท่านอ๋องเพียงผู้เดียวที่ต่างแซ่ต่างสกุล
“ก็ไม่มีอันใดเพคะ...ได้รู้จักกับแม่นางคนหนึ่งที่มากับหลี่จือ บุตรีคนโตของจวนจงหย่งโหว ชื่อว่าหลี่หลินเพคะ” องค์หญิงใหญ่กล่าว
ฝีเท้าขององค์ชายใหญ่หยุดชะงักลง จากนั้นยืนอยู่หน้าประตูไม่ได้ออกไป
ฉินกุ้ยเฟยหัวเราะขึ้นครั้งหนึ่ง “อ้อ? เป็แม่นางที่มีนิสัยเช่นใดเล่า?”
“อืม...เป็แม่นางที่มีนิสัยเงียบขรึมไม่ช่างพูดสักเท่าใด แต่นำของอร่อยๆ มาให้พวกเรามากมาย ของว่างเ่าั้อร่อยมากเพคะ” องค์หญิงใหญ่พูดแล้วก็ยังมีความรู้สึกอยากกินเล็กน้อย “นางยังบอกอีกว่าคราวหน้าจะเชิญพวกเราไปเที่ยวที่จวนโหวเพคะ”
“เช่นนั้นก็ไปเถิด จงหย่งโหวท่านก่อนนั้นเป็ขุนนางจงรักภักดีของเสด็จพ่อเ้า เสียชีวิตเพราะช่วยชีวิตเสด็จพ่อเ้าเอาไว้ ครอบครัวเช่นนี้คู่ควรที่เ้าจะไปทำความรู้จักเอาไว้ แต่เ้าต้องจดจำเอาไว้ว่าเ้าคือองค์หญิง ไม่ว่าเมื่อใด สถานที่เช่นใด ล้วนต้องจดจำฐานะของตนเอาไว้ เ้าเป็องค์หญิงผู้สูงส่ง” ฉินกุ้ยเฟยสั่งสอนอย่างละเอียด
“เสด็จแม่โปรดวางใจเพคะ” องค์หญิงใหญ่จดจำไว้พร้อมกับหัวเราะฮิๆ
การสอบระดับมณฑลสามรอบเป็เวลาเก้าวันได้เสร็จสิ้นลงแล้ว วันถัดมาคือเทศกาลไหว้พระจันทร์[4] หลี่ฉือและหลี่โจวกลับมาในวันที่สิบห้าเดือนแปด จึงทำให้จวนโหวมีบรรยากาศของวันเทศกาลขึ้นมาบ้าง
อาหารเย็นของวันไหว้พระจันทร์นั้นกินที่เรือนว่านโซ่ว แม้ชายหญิงจะแยกที่นั่งกัน แต่ด้วยความที่เป็ญาติร่วมสายเืจึงไม่ได้ใช้ฉากกันลมกั้นเอาไว้
“นั่งกินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัวเช่นนี้ ช่างดีเสียจริง” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าวขึ้นยิ้มๆ “การสอบระดับมณฑลของฉือเกอเอ๋อร์และโจวเกอเอ๋อร์ครั้งนี้เป็เช่นใดบ้าง?”
“ท่านย่าโปรดวางใจ ไม่มีปัญหาแน่นอนขอรับ” หลี่ฉือพูดอย่างมั่นใจ ผลคะแนนการสอบระดับมณฑลจะประกาศในเดือนเก้า ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่มีผู้ใดทราบ แต่ท่าทางของหลี่ฉือกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง คาดว่าน่าจะผ่านไปได้แน่นอน
“โจวเกอเอ๋อร์เล่า?” หลี่เหล่าไท่ไท่ถาม
หลี่โจวส่ายหน้า “ข้าคิดว่าคงจะไม่ได้ขอรับ แต่ข้าอายุยังน้อย แค่ไปลองสอบดูสักครั้งเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ท่านย่าโปรดวางใจ ต่อไปข้าจะสอบตำแหน่งจ้วงหยวนกลับมาให้ท่านย่าให้ได้ขอรับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่โจว รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เหล่าไท่ไท่พลันเสมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานฉันนั้น “ไอโยว ช่างเป็หลานที่กตัญญูของข้ายิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นย่าจะรอเ้าสอบตำแหน่งจ้วงหยวนกลับมา เป็ท่านย่าจ้วงหยวน”
“ท่านย่าเพียงอดทนรอก็พอแล้วขอรับ”
ตลอดมื้ออาหารเย็นผ่านไปพร้อมกับการคุยโวของหลี่โจวและเสียงหัวเราะของหลี่เหล่าไท่ไท่
ในวันถัดมา หลี่หยางซื่อพาหลี่ลั่วและคนในเรือนสองที่เหลือไปเยือนจวนสกุลหยาง เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็วันที่ต้องกินข้าวร่วมกันทั้งครอบครัว เรือนที่สองครบกำหนดออกทุกข์ให้หลี่ซวี่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นหลี่หยางซื่อจึงพาพวกเขากลับไปเยี่ยมเยือน
หยางฮูหยินนำลูกชายและลูกสะใภ้มายืนรอต้อนรับที่หน้าประตู เมื่อเห็นพวกเขาลงจากรถม้าจึงเข้าไปต้อนรับเป็อย่างยินดี “ในที่สุดก็มาแล้ว เร็วเข้า ท่านแม่รอจนร้อนใจแล้ว” ด้านหนึ่งก็กุมมือของหลี่หยางซื่อ “่นี้สบายดีหรือไม่? อยู่ที่นั่นมีชีวิตยากลำบากหรือไม่?” ที่นั่นหมายถึงสำนักแม่ชี
“พี่สะใภ้โปรดวางใจ ทุกอย่างล้วนดียิ่ง” หลี่หยางซื่อกุมมือของนางไว้เช่นกัน “ทั้งครอบครัวเราต่างก็ได้พึ่งพาอาศัยลั่วเกอเอ๋อร์” หากไม่มีบุตรชายคนนี้ หลินเจี่ยเอ๋อร์ของนางก็คง...
“อย่าไปพูดถึง อย่าไปพูดถึง” หยางฮูหยินกล่าว “เื่ไม่ดีเหล่านี้พวกเราไม่คิดถึงมัน ให้มันผ่านไปเถิด”
“ลั่วเกอเอ๋อร์ ข้าเป็พี่ชายของเ้า” พี่ชายหยางเดินมาเบื้องหน้าหลี่ลั่ว “พวกเราพบหน้ากันเป็ครั้งแรก”
“พี่ชายสบายดีนะขอรับ” หลี่ลั่วกล่าวยิ้มๆ งานเลี้ยงในจวนโหวครั้งก่อนพี่หยางไม่ได้มา ด้วยเหตุที่ต้องเตรียมตัวเข้าสอบระดับมณฑลในครั้งนี้ “การสอบระดับมณฑลครั้งนี้ของพี่ชายเป็เช่นใดบ้างขอรับ”
“ยังไม่รู้เลย ได้แต่หวังว่าจะสอบได้” พี่หยางอายุยี่สิบปีแล้ว หากยังสอบระดับมณฑลไม่ได้ ต่อไปเส้นทางการสอบเคอจวี่นี้ก็ไม่ต้องสอบต่อแล้ว อายุขนาดนี้แล้ว หากยังสอบต่อไปอย่าได้พูดเลยว่าผ่านมาสิบหนาว นี่มันปาเข้าไปถึงยี่สิบหนาวก็มีแล้ว
หยางเหล่าฮูหยินเห็นทุกคนเดินเข้ามาพร้อมกัน ดวงตาคู่นั้นยิ้มจนตายิบหยี
“คารวะท่านยายขอรับ” หลี่หง หลี่หลิน และหลี่ลั่วก้าวเข้าไปคำนับ
[1] เหล่าเฟิงจวิน (老封君) คือ บรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้กับบิดามารดาผู้าุโของขุนนางที่มีความดีความชอบ
[2] วัยปักปิ่น (年已及笄) ในอดีต สตรีจีนเมื่อมีอายุครบ 15 ปีเต็มจะเริ่มรวบผมแล้วปักผมด้วยปิ่น และยังเป็เครื่องแสดงว่าถึงวัยที่เหมาะสมแก่การแต่งงานของสตรีจีนโบราณอีกด้วย
[3] ไท่จู่ฮ่องเต้ (太祖皇帝) คือฮ่องเต้ต้นราชวงศ์ ในที่นี้หมายถึงเทียด (พ่อของทวด) ของจ้าวหนิงฮ่องเต้และไท่จื่อเยี่ยน
[4] เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ เป็เทศกาลตามวัฒนธรรมจีนที่มีขึ้นในกลางฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว จะมีขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติ ชาวจีนจะเฉลิมฉลองด้วยการไหว้ดวงจันทร์ในเวลากลางคืน