เพราะเกมหมากล้อมใช้เวลานานพอสมควร ปู่หลานจึงเล่นกันอีกตาแล้วจึงเก็บกระดาน คราวนี้เป็คุณปู่เจิ้งที่ชนะ หมี่หลันหยางยังขาดประสบการณ์ เส้นทางหมากยังไม่หลากหลายนัก เกมแรกชนะเพราะความไม่คาดคิด แต่เกมที่สองนี้โชคไม่ดีเท่า
"หลันหยาง มาเรียนหมากล้อมกับปู่ไหม เธอมีพื้นฐานที่ดี เพียงแต่รู้จักเส้นทางหมากน้อยเกินไป ถ้ามีเวลาว่าง ปู่จะพาเธอไปดูคนอื่นเล่นหมาก ดูมากจะได้เข้าใจมาก การหมกตัวอยู่ในบ้านดูแต่ตำรา มันจำเจเกินไป เธออยากไปกับปู่ไหม?"
ข้อเสนอของคุณปู่เจิ้งทำให้หมี่หลันหยางดีใจจนแทบคลั่ง ตอนอยู่ที่ซวงเฉิง เขาไม่มีคู่ต่อสู้เลย มีเพียงน้องสาวที่เล่นด้วยกัน ดังนั้นเมื่อได้ยินคุณปู่เจิ้งบอกว่าจะพาเขาไปดูคนอื่นเล่นหมาก เขาดีใจแทบบ้า การลงสนามจริงคือโอกาสที่ดีที่สุดในการเพิ่มพูนความสามารถ
"อยากไปแน่นอนครับ คุณปู่เจิ้ง เมื่อไหร่คุณปู่ไปเล่นหมาก เรียกผมไปด้วยนะครับ ผมจะตั้งใจเรียนครับ"
มองดูชายหนุ่มที่ชอบหมากล้อมจริงๆ แต่สภาพแวดล้อมเดิมๆ ไม่เอื้ออำนวย ตอนนี้โชคชะตานำพาให้เขาได้สอนเด็กคนนี้
เฉียนหย่งจิ้นเดินตามหมี่หลันหยางไปที่ห้องพักแขก ในใจก็อิจฉาอย่างมาก
"รู้งี้ตอนนั้นฉันน่าจะฟังนาย เรียนหมากล้อมไปพร้อมกัน โอกาสดีๆ แบบนี้คงไม่พลาดไป น่าเสียดายจริงๆ ตอนนั้นฉันไปี้เีได้ยังไงกันนะ?"
เห็นเฉียนหย่งจิ้นทำท่าเสียใจอย่างมาก สองพี่น้องหมี่หลันเยว่ก็อดขำไม่ได้
"ตอนนั้นฉันก็เตือนนายแล้ว นายเองไม่ใช่เหรอที่ไม่ยอมเรียน แถมยังว่าพวกฉันสองพี่น้องไม่เอาไหนอะไรทำนองนั้น ทำไม ตอนนี้ถึงเพิ่งจะมาเสียใจล่ะ สายไปแล้วล่ะ"
การได้ไปกับคุณปู่เจิ้ง นั่นหมายถึงโอกาสที่จะได้รู้จักคนระดับสูงมากมาย ตัวเองกลับปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย จะไม่เสียใจได้ยังไง แม้แต่หลินเผิงเฟยและหนิวเถียจู้ที่เดินตามหลังมา ก็ยังเสียใจอย่างมากเช่นกัน
"พวกนายเนี่ย กินหนามรู้รสก็คราวนี้แหละ ต่อไปก็จำไว้ซะ ว่าความสามารถพิเศษทุกอย่างมีประโยชน์ แม้แต่กิจกรรมบันเทิงและการละเล่นต่างๆ ก็มีบทบาทสำคัญในการเข้าสังคม เพราะคนเราจะใกล้ชิดกันมากขึ้นเพราะความชอบที่เหมือนกัน"
"เราไม่ได้เจอแต่พวกหนอนหนังสือ ที่คุยกันแต่เื่ในตำรา ยิ่งพวกที่ทำธุรกิจยิ่งมีงานอดิเรกที่หลากหลาย พวกนายควรจะพัฒนาความสามารถของตัวเองให้แข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่ความรู้ แต่รวมถึงชีวิตนอกเวลางานที่พวกนายไม่ค่อยจะสนใจด้วย"
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน บทเรียนในวันนี้ลึกซึ้งมาก หมี่หลันหยางอาจใช้โอกาสในการเล่นหมากล้อม เดินตามรอยของคุณปู่เจิ้ง ก้าวเข้าสู่สังคมชั้นสูงได้ นี่เหมือนกับการได้ตั๋วเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดหรู แน่นอนว่าการแสดงออกของนายในงานเลี้ยงก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวนายเอง
"เอาล่ะ ทุกคนพักผ่อนกันแต่หัววัน พรุ่งนี้เราจะออกไปเดินเล่นในเมือง ใช้โอกาสนี้เดินให้ทั่วตรอกซอกซอยของปักกิ่ง ใครจะรู้ว่ามันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตก็ได้"
หมี่หลันเยว่เริ่มคิดว่า ต่อไปไม่ว่าเธอจะเจออะไร ไปที่ไหน เธอจะต้องจดจำมันให้ดี ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะกลายเป็โอกาสในการเปิดโลกใหม่
"รู้แล้ว หลันเยว่ วางใจเถอะ พวกเราจะเที่ยวปักกิ่งให้สนุกไปเลย"
พอได้ยินว่าจะได้ไปเที่ยวปักกิ่งในวันพรุ่งนี้ หนุ่มๆ ทั้งสี่ก็ตื่นเต้นเป็พิเศษ ที่นี่คือปักกิ่ง ต้องเที่ยวให้คุ้มค่าถึงจะสมกับที่ได้มาเยือนเมืองหลวง
"งั้นก็รีบกลับไปนอนซะ พักผ่อนให้เพียงพอ พรุ่งนี้เราจะตื่นเช้าๆ ไปเดินเล่นกันทั้งเช้า ตอนบ่ายค่อยกลับมาพักผ่อนและออกแบบ"
หมี่หลันเยว่ไม่อยากให้ทุกคนเหนื่อยเกินไป อากาศตอนบ่ายร้อนเกินไป อุณหภูมิจะสูงถึงสามสิบกว่าองศา ถ้าเกิดอะไรขึ้นเป็ลมแดดขึ้นมา จะยิ่งยุ่งยาก
หมี่หลันเยว่มองดูหนุ่มๆ ที่ตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งกลับห้องของตัวเอง เธอก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง แช่ตัวลงในน้ำอุ่น มันสบายจริงๆ เธอไม่เคยคิดเลยว่าใน่กลางยุค 80 เธอจะได้ัักับการดูแลแบบนี้
เธอต้องมีความสุขกับมันให้เต็มที่ พอเข้ามหาวิทยาลัยไป การดูแลแบบนี้ก็จะไม่มีอีกแล้ว หอพักที่อยู่กันหลายคน การอาบน้ำต้องไปอาบที่ห้องน้ำรวม จะไม่ได้ัักับการอยู่ห้องพักส่วนตัว และไม่ได้แช่น้ำอุ่นทุกวันแบบนี้อีกแล้ว
พอออกจากห้องน้ำ หมี่หลันเยว่เช็ดผมให้แห้ง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้เริ่มจดบันทึก เธอต้องจดเื่ราวในวันนี้ลงไป วิเคราะห์ทีละข้อๆ เช่น จะคัดเลือกพนักงานใหม่และแต่งตั้งพวกเขายังไง พี่ชายจะใช้โอกาสในอนาคตให้เป็ประโยชน์ได้ยังไง ติดต่อสื่อสารกับผู้คนในสังคมชั้นสูงให้มากขึ้น พรุ่งนี้จะไปหาซื้อบ้าน ควรจะหาซื้อขนาดไหนถึงจะเหมาะสม รวมถึงคนงาน เครื่องจักร และอื่นๆ
หมี่หลันเยว่จดทุกอย่างลงไป เธอพบว่าในหนึ่งวันมีเื่ราวมากมายที่รอให้เธอสรุปและวิเคราะห์ ดูเหมือนว่าในระยะสั้นนี้เธอจะยังไม่สามารถพักผ่อนได้ ต้องมีเื่วุ่นวายและเื่ที่ต้องเตรียมการอีกมากมาย ต้องจัดการให้เข้าที่เข้าทางเสียก่อน
ปลายเดือนกรกฎาคม อากาศใน่เช้าตรู่ตีสี่ตีห้ายังมีความเย็นสบายเล็กน้อย หมี่หลันเยว่ยังคงเจอพี่ชายที่หน้าประตูห้องเช่นเคย ทั้งสองคนเดินออกจากประตูบ้านด้วยกัน ไม่คิดว่านอกประตูบ้าน นอกจากเฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟย หนิวเถียจู้แล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง นั่นคือ เจิ้งซวี่เหยา
"อาจารย์เจิ้ง ทำไมอาจารย์ตื่นเช้าจังคะ?"
เมื่อเห็นเจิ้งซวี่เหยา หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย การออกกำลังกายตอนเช้าของเธอเป็สิ่งที่ขาดไม่ได้ แม้แต่ตอนที่อยู่บนรถไฟ เธอก็ยังวิ่งไปที่ส่วนเชื่อมต่อระหว่างตู้โดยสาร เพื่อทำการก้มตัวและเตะขาอย่างง่ายๆ
"ทำไม พวกเธอตื่นเช้าได้ ฉันจะตื่นเช้ากว่าไม่ได้เหรอ หรือในใจของเธอ ฉันเป็คนี้เี ชอบนอนตื่นสาย?"
เจิ้งซวี่เหยาบีบจมูกเล็กๆ ของหมี่หลันเยว่ ในใจก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง หนุ่มสาวนี่ดีจริงๆ
"ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย ดูเหมือนว่าในใจของอาจารย์ อาจารย์คิดกับตัวเองแบบนั้นมากกว่า ไม่งั้นจะคิดว่าคนอื่นจะคิดกับอาจารย์แบบนั้นได้ยังไงคะ?"
การตอบโต้ของหมี่หลันเยว่รวดเร็วและตรงไปตรงมา
"เฮ้ ยัยหนูคนนี้ ฟันทำด้วยทองแดงหรือไง พูดจาได้เฉียบขาดขนาดนี้"
เจิ้งซวี่เหยาอยากจะบีบจมูกของหมี่หลันเยว่อีกครั้ง คราวนี้ยัยหนูหลบได้เร็ว วิ่งออกไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เสียงหัวเราะที่สดใสเหมือนระฆังเงิน
มองดูมือของตัวเองที่คว้าพลาด เจิ้งซวี่เหยาใช้เวลานานกว่าจะดึงกลับมา แตะปลายนิ้ว ความรู้สึกว่างเปล่า ทำให้ในใจก็รู้สึกว่างเปล่าไปด้วย
"อาจารย์เจิ้ง ไปกันได้แล้วครับ"
ถูกหมี่หลันหยางะโเรียก เจิ้งซวี่เหยาก็รีบก้าวขาตามทุกคนไป ตามหลังหมี่หลันเยว่ไป เจิ้งซวี่เหยาอธิบายอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย
"ตอนที่ฉันอยูเมืองนอก ฉันก็ออกกำลังกายตอนเช้าทุกวัน แต่เพิ่งกลับบ้านมาไม่กี่วันนี้กำลังปรับตัวให้เข้ากับเวลา ทำให้โดนยัยหนูดูถูกซะได้"
หมี่หลันเยว่ก็หัวเราะคิกคัก
"อาจารย์เจิ้ง ฉันไม่ได้ดูถูกอาจารย์สักหน่อย ดูจากรูปร่างของอาจารย์ก็รู้ว่าอาจารย์เป็คนที่ออกกำลังกายเป็ประจำ เมื่อกี้แค่ล้อเล่นกับอาจารย์เท่านั้นเองค่ะ"
ถูกหมี่หลันเยว่ชมไปสองคำ แม้ว่าเธอจะกำลังอธิบายอย่างเห็นได้ชัด แต่เจิ้งซวี่เหยาก็มีความสุขมาก เดินตามเด็กๆ วิ่งวนรอบเรือนสี่ประสานของตัวเอง เพราะเพิ่งมาถึงใหม่ๆ หมี่หลันเยว่ไม่รู้ว่าที่ไหนออกกำลังกายดีที่สุด ดังนั้นใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ทุกคนจึงวิ่งออกกำลังกายวนรอบเรือนสี่ประสานของบ้านเจิ้ง
"พรุ่งนี้ฉันจะพาพวกเธอไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะแถวนั้นดีกว่า อย่างน้อยอากาศก็ดีกว่าที่นี่ แถมบรรยากาศในสวนสาธารณะก็เหมาะกับการวิ่งมากกว่าที่นี่"
เจิ้งซวี่เหยารู้สึกว่าการวิ่งวนรอบบ้านหลังเดียว วิ่งไปสักพักตัวเองคงจะเวียนหัว เลยรีบช่วยพวกเขาคิดหาที่ที่ดีกว่า
"ก็ดีสิครับ ตอนนี้พวกเราไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ยังไม่รู้ว่าที่ไหนเหมาะกับการวิ่ง ขอบคุณอาจารย์ที่พรุ่งนี้จะพาพวกเราไปที่สวนสาธารณะ ที่นั่นต้องเหมาะกว่าที่นี่แน่นอน ถ้ายังวิ่งวนรอบบ้านหลังนี้ไปอีกสองสามวัน ผมคงกลายเป็คนสายตาสั้นไปแล้ว เวียนหัวไปหมด"
ได้ยินเฉียนหย่งจิ้นโวยวาย เจิ้งซวี่เหยาก็หัวเราะ ที่แท้ก็ไม่ได้มีแค่เขาที่รู้สึกแบบนี้ ยังมีคนอื่นที่เป็เหมือนกันด้วย ความรู้สึกนี้ดี ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว แม้ว่าการได้อยู่กับเด็กๆ จะมีเพียงไม่กี่วัน แต่เจิ้งซวี่เหยารู้สึกว่าเด็กๆ เหล่านี้เข้ากับเขาได้ดีมาก
ออกกำลังกายตอนเช้าไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็กลับมาที่บ้าน หมี่หลันเยว่อาบน้ำอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบแผนที่ปักกิ่งที่เจิ้งซวี่เหยาเตรียมไว้ให้มาศึกษาเส้นทางอย่างละเอียด แต่การเตรียมการทั้งหมดของเธอก็เปล่าประโยชน์ เพราะเมื่อเธอกินอาหารเช้าเสร็จแล้วไปที่ห้องของพี่ชาย เธอก็เห็นเจิ้งซวี่เหยา
มีเจิ้งซวี่เหยานำทาง แน่นอนว่าหมี่หลันเยว่ก็ไม่จำเป็ต้องดูเส้นทางอีกต่อไป แม่เจิ้งกำชับพวกเขาว่าอย่ากลับเกินเที่ยง เพราะจากประสบการณ์เมื่อวานนี้ พอเลยเที่ยงไปแล้วมันร้อนเกินไป หมี่หลันเยว่รับคำอย่างว่าง่าย แม่เจิ้งเตรียมหมวกกันแดดไว้ให้หมี่หลันเยว่ แต่พอเห็นหมี่หลันเยว่พกร่มกันแดดมาด้วยก็เลยไม่ได้ว่าอะไร
ทุกคนมาเที่ยวเมืองปักกิ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้นั่งรถ แต่เดินเท้าไปตามถนนตรอกซอกซอย เจิ้งซวี่เหยาวันนี้จงใจพาพวกเขาไปเดินเล่นแถวเรือนสี่ประสานในเขตเมืองชั้นใน คอยแนะนำขนาดของเรือนสี่ประสานเหล่านี้ให้หมี่หลันเยว่ฟัง รวมถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในนั้นว่าเป็ผู้คนระดับไหน
เดินไปจนเกือบเที่ยง ใบหน้าเล็กๆ ของหมี่หลันเยว่ก็แดงปลั่ง เหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาจากหน้าผาก
"วันนี้เราก็เดินกันเกือบหมดแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะพาพวกเธอไปเดินเล่นที่ถนนการค้า ให้พวกเธอได้ัักับความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจของเมืองปักกิ่ง"
หมี่หลันเยว่พยักหน้า ดวงตายังคงมองไปรอบๆ มองเห็นคุณยายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่มุมกำแพงที่เป็ร่มเงา เธอจึงรีบเดินตรงเข้าไป ตลอดทางที่ผ่านมา เธอได้ข้อมูลจากปากของคุณยายคุณตาเหล่านี้มามากมาย
"คุณยายคะ หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ แถวนี้มีบ้านไหนที่เขาอยากจะขายบ้านบ้างไหมคะ?"
คุณยายดูอายุไม่น้อย หูก็ยังดี ได้ยินคำถามของหมี่หลันเยว่อย่างชัดเจน
"โอ้ อยากจะซื้อบ้านเหรอ ที่นี่แต่ละบ้านก็อยู่กันสามสี่หลังคาเรือน หรือไม่ก็เจ็ดแปดหลังคาเรือน ถึงอยากจะซื้อก็ได้แค่ซื้อห้องเดียวครึ่งห้อง ไม่มีทางที่บ้านทั้งหลังจะย้ายออกไปพร้อมกัน"
หมี่หลันเยว่รู้สึกท้อแท้ไปในทันที ใช่แล้ว เรือนสี่ประสานแบบนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับหมี่หลันเยว่ เธอต้องหาบ้านแบบบ้านสกุลเจิ้ง ที่อยู่เป็ครอบครัวเดียวถึงจะมีโอกาสซื้อบ้านทั้งหลังได้
"โอ้ ขอบคุณคุณยายมากค่ะ พวกหนูขอไปเดินเล่นต่อแล้วนะคะ"
ขอบคุณคุณยายเสร็จ หมี่หลันเยว่กำลังจะหันหลังเดินจากไป ก็ได้ยินคุณยายพึมพำออกมาคำหนึ่ง
"ทางตะวันออกมีบ้านหลังหนึ่งที่เขาอยากจะขาย แต่เสียดายที่มันใหญ่เกินไป จนถึงตอนนี้ก็ยังขายไม่ออก คนเช่าก็สับสนวุ่นวาย ถ้าหนูไม่กลัวบ้านใหญ่ หนูอาจจะลองไปดูก็ได้"
ประโยคสุดท้ายของคุณยาย ทำให้หมี่หลันเยว่ดีใจมาก รีบหันกลับมาทันที
"คุณยายคะ คุณยายพูดจริงเหรอคะ คุณยายช่วยบอกที่อยู่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ หนูจะไปดู"
บ้านใหญ่ ก็ต้องบ้านใหญ่นั่นแหละ บ้านใหญ่ถึงจะเป็เรือนสี่ประสานที่เธอ้า!
