หวังซื่อได้ไข่มาย่อมรู้สึกลำพองใจเป็อย่างยิ่ง ทว่าที่หลิงมู่เอ๋อร์อกตัญญูต่อนาง ทั้งเป็ต้นเหตุของอาการาเ็ที่จมูก บัญชีแค้นนี้ยากปล่อยผ่านไปได้ นางกวาดสายตาไปรอบบริเวณ ครอบครัวยากจนไม่มีผักแม้แต่ใบเดียว ในใจพลันรู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาทันใด นางกล่าวด้วยเสียงฮึดฮัด "พวกไร้ประโยชน์ แม้แต่ไข่สักใบยังไม่มีปัญญาจะกิน พวกเ้าสมควรอดตาย"
หวังซื่อหยิบไข่และสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปทางประตู นางเดินไปพลางก่นด่าไปพลาง "สตรีหน้าเหม็นผู้นั้นสมควรฆ่าให้ตายด้วยดาบพันเล่ม กล้าที่จะขโมยไข่ของข้ามาเป็ของตนเอง กลับไปจะต้องจัดการนาง"
หลิงมู่เอ๋อร์ทอดมองแผ่นหลังของหวังซื่อที่เดินจากไป นางล้วนไม่พึงใจต่อผลลัพธ์ในครั้งนี้ ตัดสินใจสะกดรอยตามอยู่ด้านหลังด้วยความระมัดระวังสูงสุด สังเกตหยางซื่อจนนางเดินออกจากลานบ้าน หลิงมู่เอ๋อร์หยิบก้อนหินก้อนหนึ่งบนพื้นขึ้นมา เล็งไปที่ขาของหวังซื่อพลันซัดออกไปแม้จะมีเรี่ยวแรงเหลือน้อยนิด
โครม! หวังซื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นขา ร่างทั้งร่างทรุดลงกับพื้น
สิ่งของที่ในมือลื่นไถล เสียงดังโป๊ะหนึ่งเสียง ไข่ไก่ใบนั้นแตกละเอียดเละ หวังซื่อเงยศีรษะขึ้นอย่างช้าๆ ยามเห็นไข่ใบนั้นแตกไปกลางทางเช่นนี้ จึงะโอย่างโกรธเคืองทันที “อา! สมควรตายนัก ข้าเดินฝ่าหิมะที่ตกหนักมานานถึงขนาดนั้น ก็เพื่อไข่ใบนี้ กล้าทำของของข้าแตกหรือ”
นางหยัดกายขึ้น หันขวับไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเดือดดาล ชำเลืองตามองนาง ตั้งท่าจะโวยวายอีกครั้ง หลิงมู่เอ๋อร์จ้องนางกลับด้วยสายตาเย็นเยียบ หวังซื่อเกิดความรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาในใจสงบปากลงในฉับพลัน
“ท่านย่า ข้าเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ เดินทางจะต้องระวังเป็อย่างมาก ข้างนอกตอนนี้ลื่นนัก! ท่านไม่ทันระวัง หกล้มบนพื้นย่อมเป็เื่เล็ก แต่ไข่ที่ท่านมาเพื่อทวงกลับไปอย่างยากลำบากแตกแล้วนี่สิเป็เื่ใหญ่ ดูเอาเถิด! ข้ากล่าวถูกใช่หรือไม่? ดังนั้น คนเราทำสิ่งใด ฟ้าดินรู้เห็น ์มีตา ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะลงโทษพวกคนชั่วเ่าั้” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเหยียดอย่างดูแคลน
“นังเด็กสารเลว อย่าได้ใจให้มากนัก ไข่ตกแล้วก็ตกไป ต่อให้ตกแตกก็ไม่ให้คนชั้นต่ำเช่นเ้ากิน” หวังซื่อพูดไปพลาง หมอบลงกับพื้นไปพลาง กอบเอาไข่พร้อมทั้งหิมะกินมันลงไป
หลิงมู่เอ๋อร์มองหวังซื่ออย่างเย็นเยียบ เห็นนางกินไข่จนหมดด้วยความลำพองใจแล้วเดินจากไปอย่างวางก้าม
หลิงจื่อเซวียนตบที่ไหล่ของนาง กล่าวอย่างสำนึกผิด “พี่ชายไร้ประโยชน์ หากไม่ใช่เพราะพี่ชายคอยเป็ภาระพวกเ้า ก็คงจะไม่ถึงขนาดไม่มีอันจะกินเช่นนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าเขากลับมามือเปล่า ย่อมรู้ผลแล้ว ไม่ว่าจะสภาพสังคมใดต่างก็เป็เช่นนี้ เพิ่มลวดลายบนผ้าไหม [1] เป็เื่ง่าย ส่งถ่านให้กลางหิมะ [2] เป็เื่ยาก
“ไม่ใช่ความผิดท่านเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา “ตัวของท่านเปียกไปทั้งตัว รีบทำให้เสื้อผ้าแห้งโดยเร็วเข้าเถิด ข้าจะดูแลท่านแม่และน้องชาย น้องชายยังเป็ไข้อยู่ ท่านแม่ก็เหนื่อยล้าจนล้มไป"
หยางซื่อล้มไปครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นได้อีกหรือไม่ นางล้มลงไป เหนื่อยล้าเป็เื่หนึ่ง สำคัญที่สุดคือทั้งหิวและทั้งหนาว นางต้องรีบไปหาอาหารให้พวกเขากินเพื่อประทังชีวิต
หลิงจื่อเซวียนตระหนักว่าเขาไม่สามารถป่วยได้อีก แม้ว่าเขาจะพิการ แต่เขาคือบุรุษที่คอยเลี้ยงดูครอบครัวนี้ เขาลูบผมของหลิงมู่เอ๋อร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ตกลง"
หลิงมู่เอ๋อร์ไปสังเกตอาการของหลิงจื่ออวี้ ไข้ของหลิงจื่ออวี้ไม่ลดลง ยังนับว่าโชคดีที่เป็ไข้ต่ำๆ ครอบครัวนี้ไม่มีเงินสักอีแปะเดียวที่จะเชิญหมอให้เขา นางซึ่งเป็แพทย์ถึงต้องหาทางช่วยเหลือเขาด้วยตนเอง
หลิงจื่อเซวียนกลับมาแล้ว ในบ้านมีคนคอยดูแล นางเกิดความคิดที่จะออกไปข้างนอกหาดูว่ามีอะไรที่สามารถกินได้บ้าง ด้านข้างคือูเาใหญ่หนึ่งลูก ในวันที่หิมะตกหนัก สัตว์เ่าั้ก็จำศีลเช่นกัน ถ้าหากว่านางโชคดี บังเอิญพบสัตว์ตัวน้อยที่หิวโหย ไม่แน่อาจจะช่วยให้ครอบครัวนี้ผ่าน่เวลาที่ยากลำบากไปได้ ขณะเดียวกันก็มองหาสมุนไพรที่สามารถรักษาหลิงจื่ออวี้ได้ด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์มองลึกเข้าไปในกระท่อมหลังเล็กที่สภาพใกล้พังเต็มที ความทรงจำแล่นผ่านทับซ้อนกับทัศนียภาพเบื้องหน้า ในหัวของนางปรากฏภาพที่หยางซื่อพูดก่อนจะหมดสติ
ไม่เคยมีใครดีกับนางเช่นนี้มาก่อน ั้แ่เด็กจนโต ผู้าุโต่างเข้มงวด เพียงเพื่อฝึกฝนนางให้เป็ผู้สืบทอด ในสายตาของท่านพ่อท่านแม่ ั้แ่นางอายุได้ห้าปีนั้นก็ได้ "ตาย" ไปแล้ว สิ่งที่หยางซื่อรักใคร่ที่สุดคือลูกของตนเอง คือหลิงมู่เอ๋อร์ที่โง่เขลาผู้นั้น หากหญิงสาวรับรู้ถึงความรักที่มารดามีต่อลูกของนาง เพื่อสิ่งนี้ นางจะต้องทำให้หยางซื่อตื่นขึ้นมาให้จงได้
เมื่อหลิงจื่อเซวียนออกมาจากการตากผ้า ในบ้านก็ไม่เห็นเงาของร่างหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว ในใจเกิดเป็ความกังวล กล่าวกับตนเอง “เ้าเด็กคนนี้ไปไหนเสียแล้ว หรือว่าจะไปหาซิ่วเอ๋อร์แล้ว?”
ประตูถูกหวังซื่อทุบเสียหาย ลมหนาวพัดเข้ามา บ้านที่ชำรุดทรุดโทรมยิ่งไม่สามารถบังลมหิมะได้ หลิงจื่อเซวียนห่อตัวด้วยเสื้อผ้าชิ้นบาง ยกประตูขึ้น คิดหาวิธีซ่อมมันให้เรียบร้อย
ในเวลานี้ หลิงมู่เอ๋อร์ปีนขึ้นูเาท่ามกลางลมหิมะ นางหิวมาหลายวันแล้ว ร่างกายทั้งอ่อนแอลงอีก ทั้งลมและหิมะที่กำลังตกล้วนเป็อุปสรรคใหญ่ นางเดินไม่กี่ก้าวฝีเท้าจำต้องหยุดชะงักงันลง ท่ามกลางลมหนาว เรือนกายของนางพลันสั่นสะท้าน
สีเงินส่องประกายเข้าสู่ดวงตา เหมันตฤดู เช่นนี้ คิดอยากหาของกินก็ยากเย็นแสนเข็ญ นางต้องขุดหิมะเ่าั้ออกถึงจะมองเห็นสีเขียวเพียงเล็กน้อย
เมื่อก่อนทางตระกูลให้นางใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญชนอยู่ในูเาเป็เวลาครึ่งปี นางล่วงรู้ทุกอย่างที่อยู่บนูเา เพียงแต่ฤดูกาลนั้นเป็่คิมหันต์หาได้ใช่ฤดูเหมันต์ไม่ เหมันตฤดูนี้ ผนวกกับการแต่งกายยามนี้ มันเป็เื่ยากสำหรับนางจริงๆ
“นี่เป็กับดักของผู้ใด?” หลิงมู่เอ๋อร์เจอกับดักหนึ่งหลุม และกับดักหลุมนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ขอเพียงแค่มีสัตว์อยู่ก็จะตกลงไปในนั้นอย่างแน่นอน
นางหันมองไปรอบๆ พินิจดูทุกสิ่งอย่างละเอียดที่อาจเกี่ยวข้องกับผู้คน นางไม่พบร่องรอยใดๆ กล่าวได้ว่า กับดักหลุมนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในวันนี้ เช่นนั้น ยังมีผู้ใดที่ต้องออกหาอาหารบนเขาเช่นนางอีก?
หลิงมู่เอ๋อร์เดินมาไกลลิบ ระหว่างเดินทางนางก็พบกับดักอยู่หลายหลุม มีคนชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ ดักซุ่มอยู่ในที่ที่สัตว์ชอบออกมาเป็ประจำ แต่ก็ไม่ใช่ว่านางจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา แม้ว่าูเาจะเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน มองไม่เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านล่าง แต่จากประสบการณ์ของนางเอง นางพบเห็ดป่าไม่น้อย ทั้งยังพบสมุนไพรที่จะใช้รักษาหลิงจื่ออวี้ด้วย
ตอนออกมานางไม่ได้ถือสิ่งใดติดตัวมาด้วย ตอนนี้มีเพียงเถาวัลย์หนึ่งเส้นที่หาได้จากแถวนี้ นางนำของทุกอย่างที่นางหามาได้อย่างยากลำบากมัดรวมกัน แล้วจึงถือมันกลับบ้าน เดินได้ไม่กี่ก้าว ถึงเห็นกระต่ายหนึ่งตัวะโผ่านมาทางนี้หัวใจที่ประดุจถูกแช่แข็งจนเย็นะเืจากความหนาวพลันเต้นไม่เป็ระส่ำขึ้นมา สับเท้ารีบตามกระต่ายตัวนั้นไปในทันที เมื่อกระต่ายเห็นนาง มันวิ่งหนีไปอย่างใกลัว หลิงมู่เอ๋อร์หมดเรี่ยวแรงไปนานแล้ว ไม่รู้เพราะว่าตื่นเต้นเกินไปที่ได้เจอกระต่ายหรือไม่ นางจึงสามารถรีดเค้นเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายที่มีไล่ตามกระต่ายต่อไปโดยไม่หยุดพัก นางครุ่นคิดอย่างมีความหวัง ขอเพียงแค่จับมันได้ ชีวิตของคนในครอบครัวก็จะรอด ถ้าหากไม่มีอาหารกินอีก คนในครอบครัวมีแต่ต้องอดตายอยู่ที่บ้าน
นางกระโจนออกไปเข้าโผกอดกระต่ายไว้แแ่ ในเวลานี้ หิมะใต้ร่างของหญิงสาวถล่มลงไปเบื้องล่าง ร่างของนางตกลงไปพร้อมกับกระต่ายในอ้อมแขนของนาง โครม! หลิงมู่เอ๋อร์หล่นไปในกับดักหลุมหนึ่ง
ในหลุมกับดักมีท่อนไม้ไผ่แหลมอยู่บางส่วน แขนของนางเสียดสีกับท่อนไม้ไผ่จนถลอกเป็แผล โชคดีตอนที่นางตกลงไปเมื่อสักครู่ นางถีบไปที่กำแพงหลุมหนึ่งทีด้วยความตื่นตระหนก ทำให้ตนเองตกลงไปที่มุมของหลุมกับดัก ตรงมุมมีท่อนไม้ไผ่อยู่เพียงเล็กน้อย บริเวณตรงกลางมีท่อนไม้ไผ่อยู่มากสุด ถ้าหากนางตกลงไปตรงกลางโดยตรง เกรงว่าหากไม่ตายก็คงจะโดนเสียบจนกลายเป็ตะแกรงก็มิปาน
กระต่ายหลุดจากมือของนาง นางรีบคว้าหูมันไว้ไม่ยอมปล่อย กระต่ายตัวนี้ผอมมาก เกรงว่าจะหิวมานานแล้ว ทว่านี่เป็อาหารของครอบครัวพวกเขา จะไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด
นางแหงนศีรษะขึ้นมองไป้า กับดักสูงเป็อย่างมาก คนที่ทำกับดักก็คงจะมีรูปร่างที่สูงเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นเขาจะปีนขึ้นไปได้อย่างไร? ทว่าร่างกายนี้เตี้ยนัก ความสูงเพียงแค่หนึ่งร้อยหกสิบหมี่เท่านั้น
ปีนขึ้นไปไม่ได้
ลมหิมะไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถ้าหากนางติดอยู่ที่นี่เป็เวลานาน เป็เวลาสองชั่วยามยังออกไปไม่ได้ก็คงจบสิ้นแล้ว หนาวเหน็บ หิวโหย ทั้งยังจมกองหิมะอีก หรือว่าการทะลุมิติจะจบลงแล้ว?
ฟุบ! ฟุบ! มีคนเดินมาทางนี้
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียง จึงะโเสียงดัง “มีผู้ใดอยู่หรือไม่?”
เสียงฝีเท้าหยุดลง แล้วเร่งจังหวะขึ้น
มีใบหน้าหนึ่งยื่นเข้ามา พินิจมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ในหลุม ดวงตาที่เ็าคู่หนึ่งฉายแววประหลาดใจอยู่ชั่วขณะ
หลิงมู่เอ๋อร์ประสานสายตาเข้ากับบุรุษผมเผ้ารุงรังผู้หนึ่ง บุรุษผู้นั้นมีลักษณะใบหน้าประดุจคนที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ั์ตาดูเ็าและดุร้าย เขาเม้มริมฝีปากแน่น ขมวดคิ้วมองนาง
ในสายตาของบุรุษผู้นั้นที่อยู่ตรงข้าม นั่นก็คือซั่งกวนเซ่าเฉิน สตรีตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับกระต่ายตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง
ร่างกายที่ผอมบางนั้นสวมเสื้อผ้าเนื้อเบา ฤดูกาลที่เหน็บหนาว ถ้าหากไม่ถูกบีบบังคับจนไร้หนทาง เกรงว่าคงไม่กล้าที่จะออกจากบ้านไปทั้งอย่างนี้ นางกอดกระต่ายตัวน้อยหดตัวอยู่ในมุมแล้วตัวสั่นไม่หยุด ริมฝีปากมีสีเขียว บนใบหน้าอันเหลืองซีดฉายแววไม่ยอมอ่อนข้อและดื้อรั้นไว้
“นี่คือกับดักหลุมที่ท่านขุดใช่หรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางมองบุรุษผู้ไม่ยอมพูดผู้นั้น “ท่านดึงข้าขึ้นไปได้หรือไม่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินได้สติคืนกลับมา เขายื่นฝ่ามือใหญ่ดำกร้านไปทางหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์จับมือของเขา ััได้ว่าเขาใช้กำลังดึงนางขึ้นไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง กระต่ายในอ้อมแขนของนางดิ้น และหลุดจากมือของนาง นางตื่นตระหนก มองไปที่กระต่ายตัวนั้น
ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นว่านาง้าลงไปจับกระต่าย จึงกล่าวกับนาง “เ้าขึ้นมาก่อน ข้าจะจับมันให้”
หลิงมู่เอ๋อร์เชื่อฟังเขา ปีนขึ้นมาแต่โดยดี ทันทีที่นางถึงพื้น เอ่ยกับบุรุษผู้นั้นว่า "ขอบคุณเ้าค่ะ"
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองไปที่เสื้อผ้าบางเบาของนาง แล้วขมวดคิ้วขึ้นมา ฝ่ามือของนางที่โผล่ออกมาด้านนอกนั้นเย็นะเืจนน่าใ เป็เช่นนี้ต่อไปไม่ช้าก็เร็วสตรีผู้นี้อาจจะตายได้
เขาลงไปที่ก้นพื้นกับดักอย่างคล่องแคล่ว คว้ากระต่ายแล้วพลิกตัวกลับขึ้นมา
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นการเคลื่อนไหวของเขาอย่างชัดเจน ในใจเกิดความประหลาดใจอย่างเงียบๆ นางอดไม่ได้ที่จะสงสัย หรือว่าคนในสมัยโบราณล้วนแต่เป็ยอดวรยุทธ์กัน? ดูจากลักษณะของเขาแล้ว เหมือนเขาเชี่ยวชาญวิธีการต่อสู้
เสื้อผ้าป่านเนื้อหยาบของชายผู้นั้นก็บางมากเช่นกัน แต่เมื่อสักครู่ตอนที่สองมือของทั้งสองคนประสานกัน ฝ่ามือของเขาอบอุ่นอย่างมาก ในขณะนั้น นางยังอาวรณ์ในความอบอุ่นนั้น แท้ที่จริงแล้วนางเพียงหนาวเกินไป
หลิงมู่เอ๋อร์เป่าปาก ถูมือเดินไปมาอยู่ที่เดิม
ซั่งกวนเซ่าเฉินคว้าหูของกระต่าย นำกระต่ายยื่นให้กับสตรีที่ดูอ้างว้างยิ่งกว่าใบไม้ที่ร่วงหล่นในสายลมผู้นั้น สตรีผู้นี้ผมเผ้าสยายดูไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง รองเท้าฟางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็พังอย่างถึงที่สุด ตอนนี้กำลังยืนเท้าเปล่าท่ามกลางหิมะ
“กับดักเป็ข้าที่วาง ขออภัยที่ทำให้เ้าตกลงไปาเ็” ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดจบ คว้าไก่ป่าหนึ่งตัวจากพื้นข้างๆขึ้นมา มอบให้นางแล้วกล่าว “นี่เป็คำขอโทษ”
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาด้วยความแปลกใจ ไม่ได้รับของของเขาอยู่ครู่ใหญ่ๆ
ซั่งกวนเซ่าเฉินจับแขนของนางไว้ บังคับยัดไก่ป่าให้นาง กล่าวว่า "ลงูเาไปเสียเถิด ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่สตรีควรมา"
สิ้นคำกล่าวของซั่งกวนเซ่าเฉิน เขาก็แบกกระต่ายป่าที่เหลืออีกสองตัวและไก่ป่าอีกสามตัวเดินจากไปจากที่นั่น
หลิงมู่เอ๋อร์เดิมทีมีความรู้สึกพอใจต่อบุรุษผู้นี้ กับดักของเขาทำได้ดี ถึงแม้ว่ามันจะทำให้นางตกลงไป แต่นางก็ไม่ใช่คนพาลไม่ยอมฟังเหตุผล ไม่หาเื่เขาเพียงเพราะเื่เช่นนี้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาปรากฏตัว นางคงตายไปแล้ว ทว่าประโยคสุดท้ายที่เขาพูดทำให้ความรู้สึกดีๆ ในใจนางพลันอันตรธานหายไป หญิงสาวเอ่ยอย่างขุ่นเคือง "เ้ากล้าดีอย่างไรมาดูถูกสตรี รอให้ข้าฟื้นฟูกำลัง ใช้ร่างนี้ฝึกฝนร่างกายอย่างดี จะทำให้เ้าได้รู้ถึงความเก่งกาจ"
ฟู่! หนาวมาก
ในมือซ้ายของหลิงมู่เอ๋อร์มีกระต่ายป่าหนึ่งตัว มือขวามีไก่ป่าหนึ่งตัว นำผักป่าเ่าั้พันที่รอบเอวแล้วลงูเาไป
ครั้นนางกลับมาถึงบ้านร่างกายยังสั่นระริกๆ ทันใดนั้น เสียงคร่ำครวญระทมจิตดังขึ้นข้างในจากระยะไกลๆ นางเร่งฝีเท้าด้วยความตื่นตระหนก
ปัง! หลิงมู่เอ๋อร์ผลักประตูออก พุ่งเข้าไปในบ้าน นำสิ่งของในมือวางลงในตะกร้าในห้องครัวแล้วปิดมัน จากนั้นจึงวิ่งเข้าไปในห้องอันเป็ที่มาของเสียงร่ำไห้แสนเ็ปรวดร้าว นั่นคือห้องของหลิงจื่อเซวียนและหลิงจื่ออวี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เพิ่มลวดลายบนผ้าไหม หมายถึง การเพิ่ม เสริมในสิ่งเดิมที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น
[2] ส่งถ่านให้กลางหิมะ หมายถึง ช่วยเหลือกันในยามยากลำบาก