ม่านรัตติกาลโรยตัวลงมา แสงโคมไฟนวลอ่อนสาดสะท้อนไปทั่วเมืองไป๋ตี้ เป็ดั่งภาพสาวงามที่โอบผีผาบดบังใบหน้าครึ่งซีก[1] เปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนและแฝงไว้ซึ่งการสืบทอดทางประวัติศาสตร์ไปพร้อมกัน
“ดึกมากแล้ว เ้ารีบพักผ่อนเถอะ ข้าจะออกไปนอนข้างนอก”
ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันแต่ไม่มีใครยอมคุยกับใคร เยี่ยเฉินเฟิงที่เห็นว่าท้องฟ้านอกหน้าต่างเป็สีดำสนิทแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป
“เฉินเฟิงเ้าอย่าเพิ่งไป ข้ามีเื่อยากให้เ้าช่วยอีกนิดหน่อย” จีชิงเสวี่ยเม้มริมฝีปากแน่น เอ่ยรั้งเขาเอาไว้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ช่วยอะไร?” เยี่ยเฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ข้า...ข้าอยากใช้หินบันทึกความทรงจำถ่ายภาพตอนที่พวกเรานอนร่วมเรียงเคียงหมอนกัน”
แม้จีชิงเสวี่ยจะไม่ชอบขี้หน้าเยี่ยเฉินเฟิงที่เป็คนเห็นแก่เงินสักเท่าไหร่นัก แต่พอพูดถึงเื่ร่วมเรียงเคียงหมอนขึ้นมา นางก็ยังแอบรู้สึกขัดเขินอยู่ดี
“ได้สิ!”
เยี่ยเฉินเฟิงรู้ว่าจีชิงเสวี่ยจะเอาภาพเ่าั้ไปทำอะไรจึงพยักหน้ารับ ตอบกลับด้วยความยินดี
“เยี่ยเฉินเฟิง เ้ารออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ข้าขอไปเปลี่ยนชุดก่อน” เพื่อให้ท่านปู่และเจียงซานสุ่ยล้มเลิกความคิดสักที จีชิงเสวี่ยนางยอมเทหมดหน้าตัก กล่าวพลางขบกัดริมฝีปากแดงสวยเบาๆ
กล่าวจบ จีชิงเสวี่ยก็หยิบย่ามสัมภาระของตนเองขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ นางเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดที่ห้องด้านใน
ผ่านไปสักพัก เสียงไพเราะเสนาะหูของจีชิงเสวี่ยก็ดังแว่วมาจากในห้อง “เยี่ยเฉินเฟิง เ้าเข้ามาสิ”
เมื่อเข้าไปในห้อง แสงสว่างจากโคมไฟช่วยให้เยี่ยเฉินเฟิงเห็นจีชิงเสวี่ยได้อย่างชัดเจน นางสวมชุดกระโปรงรัดรูปสีดำนั่งอยู่ข้างเตียง สายตาจ้องมองมาที่ตน
ชุดกระโปรงรัดรูปขับเน้นรูปร่างที่มีส่วนโค้งเว้าของนางให้งดงามสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแต่เดิมก็มากพอที่จะทำให้ชายหนุ่มทั้งหลายหลงใหลได้ปลื้มอยู่แล้ว ผิวเนื้อเนียนละเอียดและกระดูกไหปลาร้าทรงเสน่ห์ภายใต้แสงไฟนวลอ่อน เป็ภาพที่งดงามเย้ายวนใจเป็อย่างยิ่ง
แม้ว่าตอนนี้เยี่ยเฉินเฟิงจะตัดใจจากจีชิงเสวี่ยไปแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่ายามนี้นางงดงามจนทำให้คนแทบลืมหายใจ
"เยี่ยเฉินเฟิง รบกวนเ้าด้วยนะ"
เมื่อเห็นสายตาจ้องเขม็งของอีกฝ่าย จีชิงเสวี่ยก็รู้สึกขัดเขินทำตัวไม่ถูก ยังดีที่นางมั่นใจว่าตนเองสามารถจัดการอีกฝ่ายได้แน่นอน ไม่ต้องระแวงว่าอีกฝ่ายจะทำมิดีมิร้าย
"วางใจได้เลย ข้ารับเงินของเ้ามาแล้วย่อมต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่"
เยี่ยเฉินเฟิงเบนสายตาออกจากร่างกายอันเย้ายวนของจีชิงเสวี่ย เขาก้าวเดินไปที่เตียงอย่างไม่รีบร้อน ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เผยให้เห็นโครงสร้างชัดเจนของร่างเปลือยเปล่าท่อนบน เอนกายลงพิงหัวเตียงใกล้กับจีชิงเสวี่ยที่ตั้งท่าหวาดระแวง
"ฟู่!"
จีชิงเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับจิตใจที่กำลังว้าวุ่น หยิบหินบันทึกความทรงจำที่ตัวเองเตรียมเอาไว้วางลงตรงปลายเตียง เพื่อเก็บภาพที่ตนกับเยี่ยเฉินเฟิงร่วมเรียงเคียงหมอนกัน
เมื่อศิลาบันทึกเริ่มทำงาน ทั้งสองคนก็ทิ้งตัวลงอิงแอบกันบนเตียงที่ออกจะแข็งกระด้างไปสักนิด ดึงผ้านวมขึ้นปกคลุมร่างกายอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้ล่วงหน้า
เมื่อสองร่างอิงแอบแนบชิดกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างของจีชิงเสวี่ยก็ลอยมาแตะจมูกของเยี่ยเฉินเฟิง ทำให้เขารู้สึกดีอย่างประหลาด จึงเผลอสูดดมไปฟอดหนึ่ง ร่างกายแอบกระตุกเล็กน้อย
จีชิงเสวี่ยที่สังเกตเห็นการกระทำเล็กๆน้อยๆของเยี่ยเฉินเฟิง นางก็ขมวดคิ้วด้วยความโมโห แต่เพื่อ้าทำภารกิจในครั้งนี้ให้เสร็จสิ้น นางจำต้องยอมอดทนอดกลั้นต่อความรู้สึกต่อต้านในใจ เอนหัวพิงบ่าของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ปิดเปลือกตาลงข่มใจตัวเองให้ลืมว่าข้างกายมีใครอีกคน
ใน่เวลานั้นทั้งห้องได้เข้าสู่ห้วงของความเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของทั้งสองเท่านั้น
ใน่แรก จีชิงเสวี่ยที่กายแนบชิดกับยังไม่ค่อยคุ้นชิน แต่พอััได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวของเขา นางก็เหมือนกับได้ที่พึ่งพิงทางจิตใจ นางจึงค่อยๆ สงบลง
ั้แ่ถูกเจียงซานสุ่ยกดดันเื่การแต่งงาน จีชิงเสวี่ยก็ต้องแบกรับความกดดันอย่างใหญ่หลวงจนกระทบกับวิถีแห่งการฝึกฝนของนาง แต่พอได้นอนอยู่ใกล้ๆ กับเยี่ยเฉินเฟิงแรงกดดันและเื่ว้าวุ่นในใจก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ นางก็เริ่มลืมความกลุ้มใจ ลืมว่ามีคนอยู่ข้างกาย ลืมทุกสิ่งทุกอย่างและเข้าสู่ห้วงนิทราไปท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบทั้งที่ยังนอนซบไหล่ของเยี่ยเฉินเฟิงอยู่
ได้ยินจังหวะการหายใจของจีชิงเสวี่ย เยี่ยเฉินเฟิงถึงรู้ว่านางหลับไปแล้ว เขาค่อยๆ เบนศีรษะลงมองใบหน้างดงามล่มแคว้นของนางพลางส่ายหน้าเบาๆ คว้าเสื้อมาสวมใส่แล้วเดินออกไป
แสงตะวันอันนุ่มนวลยามเช้าตรู่สาดส่องเข้ามาผ่านทางช่องหน้าต่าง ขับไล่ความมืดมิดภายในห้องให้หายไป และปลุกจีชิงเสวี่ยให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล
"ข้า...ข้าเผลอหลับไปหรือนี่"
หลังจากค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา จีชิงเสวี่ยก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างฉับไว ใบหน้างดงามเผยความตื่นตระหนกและไม่อยากเชื่อ
นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนเองจะนอนซบไหล่ของผู้ชายที่น่ารังเกียจพรรค์นั้น แล้วเผลอหลับไปโดยไร้ซึ่งการป้องกันอย่างสิ้นเชิง ในใจเกิดกลัวขึ้นเล็กน้อย
"เขาคงไม่ได้แตะต้องข้าหรอกนะ"
พอคิดถึงตรงนี้ ใจของจีชิงเสวี่ยกระตุกวูบ นางรีบขยับไปเก็บศิลาบันทึกตรงปลายเตียงมาเปิดดูภาพที่ถ่ายเอาไว้ด้วยใจที่เป็กังวล
เมื่อเห็นว่าหลังจากตนพิงไหล่ของอีกฝ่ายแล้วหลับไป เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไรนาง เขาเพียงแค่สวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป จีชิงเสวี่ยจึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก พร้อมทั้งกล่าวพึมพำ "ถือว่าเ้าซื่อสัตย์ หากคิดจะทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายขึ้นมา ข้าไม่เอาเ้าไว้แน่"
ทว่าพอเห็นภาพของตัวเองนอนซบเยี่ยเฉินเฟิงแล้วหลับไป หนำซ้ำบนใบหน้ายังปรากฏรอยยิ้มสงบสุข จีชิงเสวี่ยพลันเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
นางไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมเยี่ยเฉินเฟิงถึงทำให้นางรู้สึกสบายใจยามอยู่ใกล้ได้
"เฮ้อ ในที่สุดระดับเขตแดนก็มั่งคง"
เยี่ยเฉินเฟิงที่บ่มเพาะพลังอยู่ห้องข้างๆ ในที่สุดพลังเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับสามของเขาก็มั่นคง พลังิญญาที่ไหลออกจากไข่โลหิตและพลังกายผสานรวมเป็หนึ่ง
เมื่อระดับพลังเสถียรดีแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงจึงรีบลุกออกจากเตียงั้แ่เช้า เขาเดินเท้าออกจากบ้านดินไปทางสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของเมือง เพื่อคืนเงินให้กับเยี่ยจื่อหลิง
“นั่นมันเยี่ยเฉินเฟิงนี่ ในที่สุดเ้าก็ยอมโผล่หัวออกมาสักทีนะ ปล่อยให้ข้าตามหาซะแทบแย่” เยี่ยเฉินเฟิงเพิ่งจะเดินเข้าไปในสำนักฝึกยุทธ์ ตี๋วั่นเสียนที่ผ่านมาจึงเห็นเข้าโดยบังเอิญ พอนึกถึงเื่ที่เยี่ยเฉินเฟิงใส่ร้ายจนตัวเองต้องรับเคราะห์กรรมแทนอีกฝ่าย ดวงตาของตี๋วั่นเสียนก็ฉายแววเกลียดชัง
“เยี่ยจื่อหลิง เ้าอยู่ข้างในหรือเปล่า?”
เยี่ยเฉินเฟิงที่เดินมาถึงบ้านหลังเล็กของเยี่ยจื่อหลิง ก็ยกมือเคาะประตูเบาๆ พลางเอ่ยเรียก
“เยี่ยเฉินเฟิง เ้ามาหาข้าทำไมอีก?”
ได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยเฉินเฟิงจากนอกประตู เยี่ยจื่อหลิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางลังเลอยู่สักพักแต่ก็เลือกที่จะจะสวมเสื้อคลุมทับแล้วเปิดประตูออกไป สายตาเ็าจ้องมองคนที่อยู่นอกบ้าน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ
“อย่าเข้าใจผิดสิ ข้าแค่เอาเงินมาคืนให้เ้า”
เยี่ยเฉินเฟิงเหลือบมองเยี่ยจื่อหลิงผู้มีเครื่องหน้างดงามหมดจด สวมชุดกระโปรงสั้นตัวบางเฉียบ เขาหยิบตั๋วเงินสามหมื่นตำลึงออกมาจากอกเสื้อแล้วยัดคืนใส่มือของอีกฝ่าย
“ข้าก็บอกไปแล้วไงว่าเงินพวกนี้เ้าไม่ต้องหามาคืนข้า” เยี่ยจื่อหลิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ก้มมองตั๋วเงินสามหมื่นตำลึงในมือพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ตอนนี้ข้าหาเงินได้แล้ว ข้าไม่อยากติดค้างเ้าและยิ่งไม่อยากติดค้างกับตระกูลเยี่ย”
จบประโยค เยี่ยเฉินเฟิงก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เยี่ยจื่อหลิงที่ยืนกำตั๋วเงินสามหมื่นตำลึงเอาไว้ในมือ สายตามองส่งแผ่นหลังของเยี่ยเฉินเฟิงที่ไกลออกไปและจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดของตัวเอง นางรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว
---------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] จากบทกวี ‘ลำนำผีผา’《琵琶行》แต่งโดยไป๋จวีอี้ นักประพันธ์ในยุคราชวงศ์ถัง
