ตอนที่เวินซีและจ้าวต้านกลับมาที่ร้านพร้อมกับอาหารมากมาย จ่างกุ้ยก็ใไม่น้อย
เขาหยิกแขนตนเองด้วยความไม่อยากเชื่อ เมื่อรู้สึกเจ็บจึงเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
“คุณหนูเวินซี อาหาร...พวกนี้มาจากที่ใดขอรับ?” เขาพูดเสียงสั่นเครือและมองมันด้วยความดีใจ
“เอามาจากร้านหม้อไฟน่ะ วางใจเถิด ข้ากับจ้าวต้านยังมีเื่ที่ต้องทำอีก คืนนี้รบกวนจ่างกุ้ยทำอาหารหน่อยนะ” เวินซีนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอ่ยเบาๆ
“ได้ขอรับ ข้าจะทำขอรับ! ข้าจะไปทำอาหารเดี๋ยวนี้เลยขอรับ มอบหมายให้ข้าได้เลย”
เมื่อมีอาหารพวกนี้ จ่างกุ้ยก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะทาน เขาถือถุงเนื้อวัวเข้าไปในห้องครัว
อาหารอย่างอื่นยังไม่ต้องใช้ เวินซีจึงให้สืออีนำออกไปวางไว้ที่สวนหลัง
ค่ำคืนนี้อากาศหนาวเหน็บ ที่สวนหลังจึงเป็ตู้เย็นธรรมชาติชั้นดี
ไม่นานนักกลิ่นหอมก็โชยออกมาจากห้องครัว ดึงดูดความใจของเด็กๆ ทุกคนให้เดินเข้าไป เมื่อเห็นเช่นนั้นเวินซีก็พาจ้าวต้านกลับห้อง
ทันทีที่จุดตะเกียง ความมืดมิดภายในห้องก็หายไป
เวินซีเดินไปที่โต๊ะ หยิบป้ายโองการที่เขาเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ออกมาวางลงบนนั้น
“เ้าหมายความเช่นไร?” จ้าวต้านมองป้ายโองการด้วยสีหน้างุนงง
“ทหารลับสามารถเข้าเมืองมาได้หรือไม่?” เวินซีนั่งลงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“เข้าได้” จ้าวต้านนั่งตรงข้ามกับนาง แสงเทียนส่องที่ใบหน้าของเขา
“เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเข้ามาเถิด ข้า้าให้พวกเขาช่วยหาสาเหตุของโรคระบาด”
แม้ว่าเ้าหน้าที่และหมอต่างก็ตรวจสอบกันอยู่ แต่เวินซีคิดว่าทหารลับของจ้าวต้านพึ่งพาได้มากกว่า
“ได้สิ” จ้าวต้านเก็บป้ายโองการกลับไป
“คืนนี้ท่านมีเวลาว่างหรือไม่?” เวินซีเดินเข้าไปใกล้แล้วเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย
“มีสิ” จ้าวต้านตอบโดยไม่ต้องคิด “มีอันใดหรือ?”
“ไปบ้านขุนนางชันสูตรศพกับข้า ข้าอยากจะไปดูศพเด็กคนนั้นให้เห็นกับตา”
“ยามใด?”
“ยามจื่อ [1]”
“ได้”
เมื่อเขาตอบตกลง เวินซีก็ลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เพื่อหยิบชุดดำสองชุดออกมาวางบนโต๊ะ กับหรดาลแดงสำหรับฆ่าเชื้อชุดดำ
จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่โถงหน้า
บนโต๊ะมีอาหารหลากหลายอย่างจัดเตรียมไว้ โดยที่เอ้อเอ้อร์ ซันซาน และถันถั่นนั่งเรียงกันที่โต๊ะอย่างน่าเอ็นดู
เพราะว่ายังไม่เริ่มทาน เด็กทั้งสามจึงทำได้เพียงนั่งน้ำลายสอมองอาหารที่โต๊ะ
เวินซีและจ้าวต้านนั่งลง สืออีก็ถูกเรียกมาให้ร่วมโต๊ะด้วย เขานั่งลงข้างถันถั่นอย่างอึดอัดใจ แม้แต่ท่าทีที่หยิบตะเกียบนั้นก็ราวกับทำอะไรไม่ถูก
ทันทีที่ทุกคนเริ่มทาน เขาก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับถ้วยข้าว ทานข้าวอย่างมูมมามเพื่อปิดบังความรู้สึกในใจไว้
“เหตุใดถึงไม่ทานอาหารบ้างล่ะ?” ถันถั่นมองไปด้านข้าง เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอันใดก็คีบเนื้อไปวางไว้ให้ “ลองทานดูหน่อยสิ?”
“ได้” สืออีพยักหน้า ตักเนื้อเข้าปากแล้วกลืนลงไปโดยแทบไม่ได้เคี้ยว
“สืออี” เวินซีเงยหน้าขึ้นมองเขาและเอ่ยอย่างใจเย็น
สืออีชะงัก เขาเงยหน้ามองเวินซีแวบหนึ่งแล้วรีบเบือนหน้าหนี “มีอันใดหรือขอรับคุณหนูเวินซี?”
“หลานเยว่เฉิงเป็เช่นไรบ้าง?”
“ไม่มีอันใดผิดปกติขอรับ” สืออีพูด ดวงตามืดลง มือที่จับตะเกียบอยู่ก็กำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เช่นนั้นก็ดี” เวินซีก้มหน้าลงทานอาหารต่อ
ขณะที่สืออีกำลังทานข้าวอยู่นั้นก็แอบมองเวินซีอยู่บ่อยครั้ง เขารู้สึกว่านางจงใจเอ่ยถามขึ้นมา
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป
ถันถั่นออกไปและกลับเข้ามา นางนั่งปักผ้าอยู่ที่หน้าตะเกียงในห้องโถง เมื่อเห็นเวินซีเข้ามาก็รีบซ่อนผ้าที่ปักไว้
“ทำอันใดอยู่หรือ?” เวินซีเพียงเข้ามาหยิบยาที่ตู้ แต่เมื่อเห็นนางใเช่นนั้นจึงนึกสนุก พลางเดินเข้าไปถาม
“ไม่...ไม่ได้ทำอันใดเ้าค่ะ” ถันถั่นโกหกไม่เก่ง แค่เอ่ยออกมาก็มีเหงื่อออกเต็มหน้าผาก
เวินซีสังเกตนาง สุดท้ายก็จ้องมองไปที่ของสีฟ้าที่โผล่ออกมา “กำลังปักสิ่งใดหรือ?”
เมื่อถูกเห็นเข้าแล้ว ถันถั่นก็มุ่ยปากแล้วนำผ้าผืนนั้นส่งไปให้เวินซี
บนผืนผ้ามียวนยาง [2] สองตัวกำลังเล่นอยู่ในน้ำ พวกมันดูสง่างาม มีขนเป็แพชัดเจนราวกับมีชีวิตจริงๆ
“คุณหนูเวินซีซื้อของขวัญให้ข้าแล้ว ข้าก็อยากให้ของขวัญท่านบ้าง ข้าปักใกล้เสร็จแล้วเ้าค่ะ ไม่คิดเลยว่าจะถูกคุณหนูเห็นเข้าวันนี้” ถันถั่นทำให้เวินซีประหลาดใจไม่ได้ จึงมีสีหน้าผิดหวัง
“งามมาก ข้าชอบมาก” เวินซีเอื้อมมือไปลูบศีรษะนางพลันเอ่ยชมอย่างอ่อนโยน
“จริงหรือเ้าคะ?”
“จริงสิ”
“หากข้าทำเสร็จแล้ว คุณหนูจะใช้ทุกวันเลยได้หรือไม่เ้าคะ?”
“ได้สิ ข้าจะใช้ทุกวันเลย”
ถันถั่นอารมณ์ดีขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะคำปลอบโยนของเวินซี จึงกลับไปนั่งลงและปักผ้าต่อ
เวินซีมิได้รบกวนนาง เมื่อหยิบยาเสร็จก็กลับเข้าไปในห้อง
เมื่อเห็นจ้าวซานอยู่ในห้อง นางก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “กลับมาได้เร็วเช่นนี้เลยหรือ?”
“คุณหนูเวินซี ข้าอยู่ในเมืองตลอดมิได้ออกไปขอรับ” จ้าวซานอธิบายเมื่อเข้าใจความหมายของนาง
เวินซีพยักหน้า นั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับเครื่องบดยา ก่อนจะเริ่มบดยา
“ว่ามาสิ มาหาข้ามีเื่อันใด?” จ้าวต้านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็า ขณะนั้นเขายืนอยู่ที่หน้าต่าง
จ้าวซานคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ประสานมือแล้วพูดว่า “นายท่านขอรับ ทหารลับของหลานเยว่เฉิงได้เข้ามาในเมืองแล้วขอรับ พวกเขาแบ่งออกเป็กลุ่มละห้าคน กระจายกันอยู่รอบร้านเครื่องหอม ดูเหมือนว่าจะมีการเคลื่อนไหวขอรับ”
“อยู่รอบร้านเครื่องหอมหรือ?” จ้าวต้านขมวดคิ้ว
“ใช่ขอรับ”
“คืนนี้ข้ามีเื่ต้องทำ พวกเ้าคิดวิธีหลอกล่อให้พวกเขาเข้ามา อย่าให้พวกเขารู้ล่ะ”
“ขอรับ”
“เมื่อทหารลับเข้ามาหมดแล้ว ก็นำคนของเราไปแทนที่ คนอื่นๆ ก็คอยเฝ้าดูด้านหลังของพวกเขาไว้”
“ขอรับ ข้าจะไปจัดการทันทีขอรับ” จ้าวซานลุกขึ้นยืนและกำลังจะออกไป
“เดี๋ยวก่อน” เวินซีเรียกเขาไว้
“มีอันใดขอรับคุณหนูเวินซี?” จ้าวซานหันกลับมามองนางด้วยความสงสัย เช่นเดียวกับจ้าวต้าน
“ทหารลับที่มีกลิ่นหอมแปลกๆ น่ะไม่ต้องฆ่าพวกเขา เดี๋ยวจะมีเื่สนุกอีก”
“ขอรับ” จ้าวซานรับคำสั่งและออกไป
หลังจากที่เขาจากไป เสียงฝีเท้าแ่เบาก็ดังขึ้นรอบๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เงียบลง ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ
“ไปพักผ่อนเถิด ถึงยามจื่อแล้วข้าจะปลุกเ้าเอง ของพวกนี้วางไว้ตรงนี้เถิด ข้าจะช่วยเอง” ทั้งห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน จ้าวต้านจึงเดินไปหานางและนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
“เราผลัดกันเฝ้าระวังเถิด” เวินซีเอ่ยเบาๆ
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อใดคนของหลานเยว่เฉิงจะลงมือ พวกเขาทั้งสองจึงนอนไม่หลับ
“จะทำเช่นไรกับสืออี?” จ้าวต้านมองเวินซี
“หากต่อสู้ขึ้นมาแล้วเขายังรอดก็ปล่อยเขาไปตามทางเถิด ข้าจุดธูปอีกชนิดหนึ่งไว้ในห้องเก็บฟืน ผู้ที่โดนพิษจะเคลื่อนไหวมิได้ หากดึงดันขยับตัว เส้นลมปราณจะขาดสิ้น ถึงจะต่อสู้กัน หลานเยว่เฉิงก็มิได้เป็ปัญหาของเราหรอก”
“ยามนี้ตัวตนของท่านก็ปิดบังต่อไปมิได้แล้ว เมื่อโรคระบาดจบลง ข้าจะส่งเอ้อเอ้อร์และซันซานไปให้ฮูหยินซ่งช่วยดูแล ส่วนพวกเราหนีออกไปด้วยกัน”
“พวกเรา...หนีไปหรือ?”
หนีออกไปด้วยกันหรือ?
จ้าวต้านมองเวินซีด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
ใช่ว่าเขาไม่คิดจะจากไป แต่เขาเกรงว่าเวินซีจะไม่ยอมไปด้วย แต่ตอนนี้นางกลับเป็คนบอกเองว่าให้หนีไปด้วยกัน...
นางยอมรับเขาแล้วหรือ?
“หนีออกไปด้วยกัน” เวินซีพยักหน้าแล้วพูดซ้ำอีกครั้ง
อยู่ในเมืองนี้ก็มีแต่การฆ่าแกงกันไม่สิ้นสุด สู้ให้นางออกไปเปิดร้านค้าที่อื่นดีกว่า เช่นนั้นนางจะสามารถตามหามารดาผู้ให้กำเนิดได้อีกด้วย
“ตกลง ให้ข้าจัดการเถิด เ้าไปพักผ่อนเถิด ถึงยามจื่อแล้วข้าจะปลุกเ้า”
“เ้าค่ะ”
เวินซีรู้สึกง่วงขึ้นมา นางนำที่บดยาให้จ้าวต้านแล้วไปนอนพักที่โต๊ะ
เพราะเกรงว่านางจะหนาวจนเป็หวัด จ้าวต้านจึงเอาเสื้อคลุมมาคลุมร่างให้
เชิงอรรถ
[1] ยามจื่อ 子时 หมายถึง เ่เวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง
[2] ยวนยาง 鸳鸯 คือ นกเป็ดน้ำแมนดาริน