แสงอรุณสาดส่องเหนือทิวเขาตกกระทบพื้นผิวหิมะอันขาวผ่อง เกิดเป็แสงระยิบระยับราวกับอัญมณีล้ำค่า ท่ามกลางสภาพอากาศอันเลวร้ายนี่ถือเป็ความงามที่ซ่อนเร้นอยู่ในดินแดนทางเหนือแห่งนี้
หิมะที่ตกติดต่อกันมายาวนานบัดนี้ได้หยุดลงแล้ว นับเป็สัญญาณมงคลของใครหลายคน ผู้คนที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเพราะมิอาจต้านทานสภาพอากาศที่จะแช่แข็งคนได้ก็เริ่มออกมาใช้ชีวิตหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ร้านรวงต่างๆ เริ่มเปิดรับลูกค้า ฤดูหนาวที่เหอเป่ยก็เป็เช่นนี้วนเวียนผ่านไปปีแล้วปีเล่า แม้นชีวิตจะทุกข์ยากแต่ก็ต้องกัดฟันก้าวเดินต่อไป
ที่จี้โจวแห่งนี้ก็เป็เช่นเดียวกัน ยามเช้าวันนี้ช่างสดใสกว่าทุกคราหรือว่าวันดีๆ กำลังจะมาถึง ทว่าชีวิตต้องตั้งอยู่บนความเป็จริง เมืองจี้โจวนี้หากมีคนแซ่เจียงผู้นั้นเป็ใหญ่อยู่วันคืนอันแสนสุขของชาวบ้านตาดำๆ เช่นพวกเขาคงไม่มีวันมาถึง
ตามท้องถนนเริ่มมีคนสัญจรไปมามากขึ้น คนส่วนมากต่างเป็ชนชั้นใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำ ยามเช้าเช่นนี้พวกผู้ดีมีสกุลต่างหมกตัวอยู่ในจวนอย่างมีความสุขบนกองเงินกองทอง หน้าศาลว่าการยามเช้าเช่นนี้ปกติจะเงียบเหงาราวกับสุสานร้างไฉนวันนี้กับต่างออกไป ตรงป้ายประกาศที่ตั้งอยู่ด้านหน้าต่างเนื่องแน่นไปด้วยผู้คน คนที่มาทีหลังต่างได้ยินเสียงถกเถียงกันอย่างดุเดือด
“หลานชายในประกาศเขียนสิ่งใดไว้งั้นรึ เหตุใดผู้คนจึงแตกตื่นกันเช่นนี้”ชายชราที่มีอาชีพรับซ่อมรองเท้าในตลาดเดินมาถามด้วยความแปลกใจ
“ท่านปู่ให้ข้าเล่าให้ฟังท่านคงไม่เชื่อเป็แน่ ให้หลานชายคนนี้อ่านเนื้อหาที่อยู่ในประกาศให้ท่านฟังเถิดขอรับ”เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหลานชายเสนอตัวอ่านข้อความให้ด้วยความตื่นเต้น ไม่ใช่แต่เด็กหนุ่มที่มีอาการเช่นนี้แทบทุกคนที่ได้รับรู้เนื้อหาในประกาศต่างมีสีหน้าปิติยินดีให้เห็น
‘ประกาศถึงราษฎรเมืองจี้โจว ตลอดทั่วทั้งมณฑลเหอเป่ย
ข้อหนึ่ง เ้าเมืองจี้โจว เจียงเกิง มีความผิดฐานฉ้อโกงเรียกเก็บภาษีเกินกว่าที่ราชสำนักกำหนดนำมาเป็ทรัพย์สินของตนเอง รัชศกเจินจงปีที่สิบยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ที่จะต้องนำมาช่วยเหลือราษฎรจากภัยหนาวเป็จำนวนเงินแปดล้านตำลึง ด้วยความผิดข้างต้นจึงขอปลดเ้าเมืองจี้โจวลงจากตำแหน่ง รอนำเื่ส่งไปยังศาลต้าหลี่ ให้ฝ่าาตัดสินความผิดต่อไป
ข้อสอง แม่ทัพประจำมณฑลเหอเป่ย เจียงเหิง มีความผิดฐานทรยศแผ่นดิน ละโมบในทรัพย์สินเงินทอง นำความลับทางการทหารของแคว้นเผยแพร่ต่อศัตรู ถือเป็ฏ ทำให้ตำแหน่งแม่ทัพอันทรงเกียรติต้องมัวหมอง ยึดตราบัญชาการกองทัพ ส่งตัวเข้าเมืองหลวงให้ฝ่าาตัดสินโทษ
นี่คือคำสั่งของท่านแม่ทัพใหญ่ซ่างกวนแห่งกองทัพิญญาพยัคฆ์ กำจัดขุนนางชั่วถือเป็โองการจาก์ ขอให้ประชาชนทุกคนอยู่ในความสงบเตรียมพร้อมรับศึกใหญ่กับแคว้นเหลียว สามหัวเมืองหลักของเหอเป่ยให้ปิดตายห้ามเข้าออก ห้ามติดต่อสื่อสารกับภายนอกไม่ว่ากรณีใดๆ ขอให้ทุกคนโปรดวางใจกองทัพิญญาพยัคฆ์มีกำลังพลมากกว่าห้าแสนนาย การศึกในครั้งนี้แคว้นซ่งต้องเป็ฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน’
สำหรับชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำหรือข้าราชการชั้นผู้น้อยต่างแสดงออกอย่างตื่นเต้นยินดีกับข่าวใหญ่ในเช้านี้ หลายปีที่ผ่านมาชนชั้นรากหญ้าต่างใช้ชีวิตกันอย่างทุกข์ระทม ไม่ว่าผู้มาใหม่จะดีหรือชั่วแต่การที่ทำให้เ้าขุนนางชั่วพวกนั้นลงจากตำแหน่งได้ภายในชั่วข้ามคืนจะต้องเป็ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถแน่นนอน
ส่วนเื่การรบพวกเขามิได้หวั่นใจแม้แต่น้อย เมื่อแม่ทัพแซ่เจียงถูกปลดชายแดนเหนือก็ไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะระส่ำระส่ายอีกต่อไป ดี ดี ดียิ่งนักว่าแล้วเชียวเช้านี้เปี่ยมไปด้วยลางมงคลทองฟ้าแจ่มใสกว่าที่เคย อากาศเหมือนจะอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แม่ทัพผู้มาใหม่ต้องเป็บุคคลที่เปี่ยมไปด้วยบุญบารมีเป็แน่แท้
ข่าวการมาถึงของกองทัพิญญาพยัคฆ์กระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว คนส่วนมากต่างยินดีอยู่ในใจลึกๆ แล้วพวกเขาเฝ้ารอวันเวลาเช่นนี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน ทว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ตระหนกกับเหตุการณ์ที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเช่นนี้ สายสืบของแต่ละขุมอำนาจต่างๆ ภายในเมืองต่างวิ่งวุ่นหาข่าวกันให้ทั่ว
อะไรนะ?
จวนเ้าเมืองถูกปิดล้อมด้วยกองทหารหลายร้อยไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่จวนแม่ทัพประจำมณฑลก็เป็เช่นเดียวกัน หนำซ้ำประตูเมืองทั้งสี่แห่งต่างปิดตายห้ามเข้าออก หลายคนที่มีชนักติดหลังต่างปิดประตูจวนไม่รับแขก ทั้งข่าวล่าสุดที่พอจะหาได้ขุนนางและผู้มีอิทธิพลของจี้โจวกว่าครึ่งที่ไปร่วมงานสังสรรค์เมื่อคืนต่างก็ไม่มีผู้ใดได้กลับจวน!
อีกฟากหนึ่งของเมือง
ภายในกระโจมใหญ่ที่เป็ศูนย์บัญชาการรบ เหล่าแม่ทัพนายกองของทั้งสองกองทัพต่างเผชิญหน้ากันอยู่ ด้านในกระโจมเบื้องหน้าของพวกเขาเป็โต๊ะกระบะทรายขนาดใหญ่จำลองแผนภูมิสนามรบและภูมิประเทศโดยรอบทั้งฝั่งแคว้นซ่งและแคว้นเหลียว เป็แผนภูมิจำลองที่สมบูรณ์แบบเท่าที่เคยเห็น แม้เสียงฝึกซ้อมรบด้านนอกจะดังกึกก้องก็มิอาจทำลายความสงบเงียบในกระโจมแห่งนี้ได้ แม่ทัพนายกองจากกองทัพรักษาชายแดนหลายคนต่างแสดงสีหน้าไม่พอใจ
มิใช่ว่าพวกเขาไม่ยินดีกับการมีกำลังเสริม แต่เ้าพวกนี้มันกระทำการอุกอาจจนเกินไปแม้กระทั่งประตูเมืองที่เปิดไปหาแคว้นเหลียวพวกมันยังยึดไว้ไล่คนของพวกเขาออกไปจนหมด ไอ้แม่ทัพหน้าละอ่อนนี่ขนมันขึ้นครบหรือยัง ตอนที่เหล่าบิดาจับดาบเข้าสนามรบเกรงว่าเ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ
ข้ากวาดสายตามองเหล่าแม่ทัพนายกองที่ตีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับจะสังหารคนได้ทุกเมื่อ ข้าไม่ได้สะดุ้งะเืต่อไอสังหารที่แผ่ออกมาคับกระโจมแม้แต่น้อย ต่างก็เป็วีรบุรุษที่สู้จนตัวตายในชาติที่แล้ว แต่ข้าจะไม่เสียเวลาอธิบายเพื่อให้ได้รับการยอมรับใดๆ
“ข้าเข้าใจถึงความคิดของพวกท่านทั้งหลายเป็อย่างดี แต่ข้าแม่ทัพไม่อยากเสียเวลาอธิบายให้คนที่คิดต่างเข้าใจ คิดซะว่าทำตามกฎของสรรพสิ่งคนหมู่มากย่อมมีสิทธิ์ออกคำสั่ง เป็ไปตามหลักแข็งแกร่งอ่อนด้อย หากข้าแม่ทัพต้องอธิบายสิ่งใดก็จะพูดต่อหน้าท่านแม่ทัพเฉินปินผู้เดียวเท่านั้น หากผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพผู้เฒ่าปัญญาด้อยเกินกว่าจะเปิดใจรับรู้สิ่งใด ข้าก็ไม่มีคำพูดใดจะกล่าวอีก
ข้ามิได้จะมาตั้งรกรากอยู่ที่ชายแดนเหนือ...วางใจได้ เมื่อาจบลงกองทัพของข้าจะจากไปทันที แผนการรบที่พวกท่านจำเป็ต้องรู้ก็ได้แจกแจงไปแล้วหากมีข้อสงสัยโปรดถามมาได้”
“…”ทั้งกระโจมต่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อท่านแม่ทัพที่นั่งอยู่หัวโต๊ะหยุดพูด หลายคนที่ได้ฟังวาจาเด็ดขาดนี้ต่างก้มหน้าหลุบสายตา แม้แต่สายตาอันแข็งกร้าวก็ไม่กล้าเผยออกมาให้เห็น
เฉินชีที่นั่งอยู่ฝั่งขวาของท่านแม่ทัพซ่างกวนมิได้ส่งเสียงคัดค้านคำพูดของอีกฝ่ายเลยั้แ่ต้นจนจบ แม้คนเบื้องหน้าจะยังเยาว์วัย แต่ฝีมือก็มิได้ด้อยไปกว่าฝีปากคมๆ แม้แต่น้อย เขาที่ได้พิสูจน์กับตัวเองก็ต้องยอมรับในความสามรถของอีกฝ่ายจากใจ ความสามรถทางด้านร่างกาย วิสัยทัศน์อันกว้างไกล และสุดท้ายความรู้ด้านพิชัยาอันพิศดาลของอีกฝ่ายทำให้แม่ทัพหนุ่มได้เปิดโลกใหม่อย่างแท้จริง หากได้เรียนรู้จากอีกฝ่ายคงจะเป็ประโยชน์ไม่น้อย
“ท่าน...ท่านจะโอหังเกินไปแล้ว ถือดีเช่นไรถึงได้เปรียบตนเองกับท่านแม่ทัพใหญ่ของพวกเรา พวกท่านอยากทำสิ่งใดก็ทำไปข้าไม่ขอยุ่งด้วย ขอลา”
“รองแม่ทัพจ้าว...นั่ง ลง อย่าให้คนเขาดูถูกได้ว่าไร้ระเบียบวินัย”เฉินชีออกคำสั่งห้ามรองแม่ทัพของตนที่ลุกขึ้นจะเดินออกไป
“ท่านแม่ทัพ...ฮึย!”รองแม่ทัพจ้าวได้แต่ทำท่าทางฮึดฮัดอย่างขัดใจ แต่ด้วยต้องรักษาระเบียบวินัยจึงจำใจเดินกลับมานั่งลงที่เดิม
“ข้าถือดีเช่นไร...ข้าอาศัยสิ่งใด? นี่ยังต้องให้ข้าบอกพวกเ้าอีกงั้นรึ เป็ทหารใช่ว่าจะมีแต่ถือดาบฆ่าฟันคนไปวันๆ ว่างๆ ก็หัดหาความรู้ใส่สมองบ้าง ประวัติศาสตร์บ้านเมืองรู้ไว้ประดับบารมีคนเขาจะได้ไม่หาว่าทหารนั้นไร้สมองดีแต่ใช้กำลัง ...ไป กลับไปทบทวนประวัติศาสตร์ให้ดีจะได้รู้ว่าตระกูลซ่างกวนของข้าอาศัยสิ่งใดมาเปรียบเทียบกับตระกูลเฉิน”
หลายคนที่ได้ฟังวาจาแดกดันต่างก็หน้าม้านไปตามๆ กัน เหล่าแม่ทัพนายกองของกองทัพรักษาชายแดนเดินคอตกเรียงแถวกันกลับค่ายทหารของตนเอง คิดทบทวนดีๆ แล้วพวกเขาก็ความรู้น้อยจริงๆ นั่นแหละ เพ้ย! ชายชาตินักรบเช่นบิดาที่ถนัดที่สุดคือถือหอกดาบฟุ้งเข้าสนานรบ จะให้มานั่งท่องตำราดังเช่นพวกบัณฑิตอ่อนแอพวกนั้นได้เช่นไร
ข้ามิได้สนใจว่าจะถูกมองว่าเป็คนเช่นไร มาครานี้ไม่ได้มาให้ใครยอมรับยกย่องเป้าหมายหนึ่งเดียวของข้าชัดเจน คือทำศึกหากผลงานเป็ที่ประจักษ์ ที่ไม่ขาดเลยก็คือคำสรรเสริญ และพวกสอพลอเลียแข้งขาราวกับสุนัขเ่าั้
“นายกองจางมีข่าวจากรองแม่ทัพทั้งสองส่งมาบ้างหรือไม่”
“เรียนท่านแม่ทัพ สารจากท่านรองแม่ทัพทั้งสองส่งมาถึงไม่นาน นี่ขอรับ”นายกองจางล้วงเอาจดหมายปิดผนึกออกมาจากถุงข้างเอวส่งให้ท่านแม่ทัพอย่างนอบน้อม
ข้าเปิดอ่านจดหมายทั้งสองฉบับเนื้อหาในนั้นเขียนมาสั้นๆ กระชับใจความ ที่เมืองฉือเหมินไม่มีสิ่งใดให้กังวลเพียงแต่อิงปู้คงจะไม่สามารถมาสมทบที่กองทัพหลักได้เนื่องด้วยเ้าเมืองฉีเหมินเมื่อทราบสถานการณ์จึงขอให้รองแม่ทัพอยู่ป้องกันเมืองอีกแรง นี่ไม่ได้ผิดไปจากการคาดเดาสักเท่าไร
แต่ทางเมืองถังชานนี่สิรองแม่ทัพอิงเหอของข้าไปทำอีท่าไหนถึงได้ส่งเ้าเมืองมาแทนตนเอง ข้าขบคิดอย่างนึกสนุกต้องเป็บุคคลเช่นไรกันองครักษ์ลับของข้าถึงเอาชนะไม่ได้ แถมเนื้อหาในจดหมายก็ไม่ได้บอกให้ชัดเจนกล่าวเพียงว่าท่านแม่ทัพได้ััก็จะรู้เอง
มีการทิ้งปริศนา ยึกยักราวกับสตรีข้าขนาดมารดายังไม่ลีลาเท่านี้เลย
“คนมาถึงหรือยัง”
“เรียนท่านแม่ทัพ คนที่ท่านรองแม่ทัพอิงเหอส่งมารออยู่ที่ศาลาว่าการเมืองจะให้ไปเชิญมาเลยหรือไม่ขอรับ”
“ไปเชิญมา ปฏิบัติกับแขกดีๆ ด้วยล่ะ”
นายกองจางมองหน้าท่านแม่ทัพบ้านตนอย่างหวาดๆ เทพองค์นั้นที่ประทับอยู่ศาลาว่าการเมืองยามนี้จะมีผู้ใดกล้าไม่ปฏิบัติตัวอย่างนอบน้อม แม้พวกเขาจะคิดเป็อื่นยังไม่กล้า
ข้ามองหน้าตื่นๆ ของลูกน้องก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนใจ ผ่านไปอีกครู่หนึ่งนายกองหัวหน้าหน่วยลอบสังหารก็เดินเข้ามารายงานผลตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย
ทัพใหญ่ของเย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋เคลื่อนพลมาถึงหนึ่งร้อยลี้ห่างจากชายแดนระหว่างแคว้นแล้ว ถือเป็จุดสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งไม่เกินสองวันกองทัพคงพร้อมเข้าโจมตีเมืองแบบสายฟ้าฟาด คืนนี้เป็ฤกษ์ดีที่จะจัดตั้งค่ายกลเก้าสังหาร ทหารที่จะติดตามไปในครั้งนี้ได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วรอเพียงเวลาเท่านั้น
นิ้วเรียวเล็กเคาะโต๊ะเป็จังหวะ
หมากกระดานนี้ั้แ่เริ่มต้นจนมาถึงบัดนี้ ช่างสมบูรณ์แบบ
คนที่ต้องกำจัด
คนที่ต้องตาย
คนที่กำลังจะตาย...ต่างก็เป็ไปตามตัวหมากที่วางไว้
ไม่รู้ว่าหญิงสาวนั่งอยู่ในภวังค์นานเท่าไหร่ กระทั่งเสียงทหารที่ฝึกซ้อมรบเงียบลงก็ยังไม่รู้สึกตัว จนเสียงที่ดังอยู่หน้ากระโจมทำให้ร่างเล็กที่นั่งนิ่งกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ข้าส่งเสียงเป็เชิงอนุญาตให้คนเข้ามา ร่างสองร่าง หนึ่งใหญ่ หนึ่งเล็กปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ั์ตาสีหมึกวาววับอย่างชอบใจเมื่อมองผู้ที่มาเป็แขกชัดๆ ร่างเล็กผุดลุกขึ้นในทันใด
“ผู้เยาว์ซ่างกวนจือหลิน แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพิญญาพยัคฆ์ เป็เกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านเ้าเมืองกวน”ข้าเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าชายร่างั์ในชุดขุนนางแล้วประสานมือโค้งคำนับอย่างจริงใจ
การกระทำของผู้เป็แม่ทัพสร้างความสงสัยให้กับใครหลายคน แต่มีเพียงตัวข้า ซ่างกวนจือหลิน เท่านั้นที่รู้ ชาติที่แล้วนอกจากกองกำลังรักษาชายแดนของสกุลเฉินที่ต่อสู้รบจนวาระสุดท้าย ก็ยังมีท่านเ้าเมืองผู้นี้ที่ร่วมการต่อสู้จนตัวตาย แม้สิ้นลมหายใจด้วยห่าธนูแต่สองมือยังกำดาบไม่ยอมปล่อย เป็การพลีชีพอันสูงสุดที่ขุนนางคนหนึ่งจะทำเพื่อบ้านเมือง กับแม่ทัพเฉินชีข้ายังไม่ให้ความนับถือเท่ากับใต้เท้ากวนอูท่านนี้
ทำในสิ่งที่จิตวิณญาณในกายร่ำร้อง นั่นคือจับดาบเข่นฆ่าศัตรู แม้สนามรบแห่งแรกและเป็แห่งสุดท้ายในชาติก่อนจะเป็การเสียสละที่พ่ายแพ้ยับเยิน แต่ภาพที่ข้าได้ประจักษ์คือสายตาอันภาคภูมิ ไร้ซึ่งความเสียใจ ยามที่เห็นข้าได้แต่เฝ้าถามตนเองว่าหากเป็ตัวข้าที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้นเล่า...จะนึกเสียใจในภายหลังหรือไม่
สู้ในศึกที่ไม่เห็นหนทางชนะ
สู้เพื่อรอความหวังอันริบรี่
ข้าจะทำเช่นนั้น...ได้หรือไม่นะ
“ท่านแม่ทัพมากมารยาทเกินไปแล้วขอรับ ขุนนางขั้นห้าเช่นข้าจะรับการคำนับจากท่านแม่ทัพใหญ่ได้เช่นไร เกรงใจแล้ว เกรงใจแล้ว”ใต้เท้ากวนได้แต่คำนับตอบแม่ทัพตัวจิ๋วเบื้องหน้าอย่างนอบน้อม ก่อนออกจากจวนฮูหยินกำชับไว้ต้องทำตัวให้เป็มิตรเข้าไว้ เหล่าอูได้แต่คร่ำครวญ หน้าตาดิบเถื่อนเช่นเขาจะผูกมิตรอย่างไรให้คนเขาเอ็นดู
“ใต้เท้ากวนเชิญนั่ง เหล่าจางไปชงชามา”ข้าไม่ได้สนใจสีหน้ากระอักกระอ่วนของชายร่างั์เบื้องหน้าแต่กำลังคิดหาวิธีว่าจะพูดเช่นไรให้คนตรงหน้ามาติดตามตนในฐานะรองแม่ทัพได้ สำหรับตำแหน่งของอิงปู้และอิงเหอนั้นเป็ตำแหน่งชั่วคราว เมื่อาจบลงทั้งสองก็จะกลับไปเป็องครักษ์ติดตามนางเช่นเดิม
เหตุนี้ข้าถึง้ารองแม่ทัพคนใหม่ที่จะติดตามเข้าเมืองหลวง การตั้งค่ายทหารที่นั่นจำเป็ตั้งมีคนเช่นใต้เท้ากวนผู้นี้อยู่ประจำการณ์จึงจะแสดงให้เห็นความน่าเกรงขามของกองทัพได้
ทั้งสองนั่งลงได้ไม่นานชาร้อนสองถ้วยก็ถูกยกมา ข้ามองนายกองจางที่ถอยออกไปยืนเฝ้าหน้ากระโจมอย่างรู้หน้าที่ มือขาวผ่องที่ไม่ได้ถูกชุดเกราะปิดบังยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าเพื่อคลายความร้อน ั์ตากลมโตหลุบต่ำมองใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วยอย่างครุ่นคิด
“ใต้เท้ากวนที่ท่านพูดกับรองแม่ทัพของข้า การจะเข้าร่วมกองทัพท่านคิดว่ามันจะง่ายดังใจนึกเช่นนั้นหรือ”
“ผู้น้อยมิได้เห็นเื่ความปลอดภัยของประชาชนเป็เื่ล้อเล่นแม้แต่น้อย ท่านแม่ทัพหากอยากกล่าวสิ่งใดเชิญว่ามาได้ตามตรง ข้ากวนอูสิ่งใดล้วนจริงใจเปิดเผย!”ใต้เท้ากวนกล่าวออกมาอย่างนักแน่นเสียงดังจนทหารที่เดินลาดตระเวนผ่านมาคิดว่าเสากระโจมจะกระเทือนหรือไม่
“ดี เปิดเผยจริงใจเช่นนี้ข้าชอบ ได้ข่าวมาว่าใต้เท้ากวนวิชาทวนเป็เลิศเช่นนั้นเรามาประลองกันสักครั้งเป็ไร”
“ข่าวลือย่อมเกินจริงไปบ้าง วันนี้ข้าต้องให้ท่านแม่ทัพชี้แนะแล้ว”
“ทหาร พาใต้เท้ากวนไปเปลี่ยนชุดเกราะและให้ไปเลือกทวนที่คลังอาวุธส่วนตัวของข้า ใต้เท้าเจอกันที่สนามประลอง”
“ท่านแม่ทัพวางใจในเมื่อเป็การประลองโปรดอย่าได้ยั้งมือเพราะเห็นว่าข้าเป็ขุนนางบุ๋นเล่า”ใต้เท้ากวนลุกขึ้นประสานมือแล้วเดินตามนายทหารออกไป
เมื่อได้ฟังคำพูดของคนที่เรียกตนเองว่าขุนนางบุ๋น ข้าก็ได้แต่ยิ้มแหยอย่างช่วยไม่ได้ ข้าแม่ทัพยามยืนข้างท่านราวกับคนแคระกับูเาไท่ซ่าน เดินตามท้องถนนเคยมีคนบอกท่านหรือไม่ว่าท่านเป็ูเาเคลื่อนที่ ใครให้ความคิดผิดๆ แก่ท่านอย่างการไปสอบเค่อจวี่ เอาเถิดนักรบที่มีคุณภาพต้องเป็เช่นนี้ มีมัดกล้าม มีมันสมอง
แสงแดดยามเที่ยงวันในดินแดนเหนือช่างอบอุ่นราวกับอ้อมกอดของมารดา เหล่าทหารที่ชื่นชอบความครื้นเครงต่างมานั่งรอชมการประลองอยู่รอบลานฝึกซ้อม แม้เป็การประลองที่ไม่จริงจังแต่ทหารที่มาต่างให้ความสำคัญกับมวยคู่นี้ไม่น้อย ฝั่งหนึ่งคือศักดิศรีของขุนนางฝ่ายบู้ อีกฝั่งคือผู้แบกศักดิศรีของขุนนางฝ่ายบุ๋นเอาไว้ การประลองครั้งนี้จะเป็การจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างแท้จริง
ที่ผ่านมามีแต่สอบเค่อจวี่ไม่ผ่านแล้วไปเป็ทหาร ไม่เคยมีกรณีที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่ๆ จะเปลี่ยนสายมาทำงานด้านกองทัพเลย มองดูก็รู้ว่าท่านแม่ทัพของพวกเขาอยากดึงคนมาเป็พรรคพวก หากไม่ได้อยู่ในความสนใจของท่านทายาทของพวกเขาแล้วอย่าได้หวังจะมาประลองยุทธ์เช่นนี้เลย
หนึ่งร่างใหญ่เล็กยืนประจันหน้ากันอยู่กลางลานที่เหล่าทหารนั่งล้อมกันเป็วงกลม คนตัวใหญ่ถือทวนไว้ด้วยมือซ้ายส่วนคนตัวเล็กถือง้าวจันทร์เสี้ยวด้วยมือขวา บรรยากาศที่ทั้งสองแผ่ออกมาแผงไปด้วยความจริงจังจนดุดัน ผู้ชนะคือคนที่จะยื่นข้อเสนอที่เป็ต่อได้
เป๊ง!
เสียงฆ้องดังเป็สัญญาณเริ่มการประลอง ซ่างกวนจือหลินที่ยืนยืดตัวตรงมือขวาจับง้าวจันทร์เสี้ยวที่ปักอยู่บนพื้นมือซ้ายกำเป็กำปั้นขัดไว้ด้านหลัง เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณคนทั้งสองต่างเคลื่อนไหวแทบจะพร้อมกัน แต่ฝ่ายท่านแม่ทัพรวดเร็วกว่าเล็กน้อย ด้วยร่างกายที่เพรียวบางการเคลื่อนไหวจึงลื่นไหล
ข้าใช้ส้นเท้าขวาเตะไปที่ด้ามง้าวจันทร์เสี้ยวอย่างแรงการเคลื่อนไหวออกกระบวนท่าล้วนแฝงไปด้วยกำลังภายในอันแข็งแกร่ง
ง้าวและทวนอาวุธทั้งสองชนิดต่างก็มีจุดอ่อนจุดแข็งเท่าๆ กัน กระบวนท่าที่ทั้งสองแสดงออกมารับการโจมตีของอีกฝ่ายล้วนดุดันเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ยก จับ วาด แทง งัด ฝ่ายคนร่างใหญ่ได้เปรียบด้านการป้องกันและตั้งรับส่วนด้านคนตัวเล็กรุกเร้าเร่งจบการต่อสู้โดยเร็ว เนื่องด้วยรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเป็อย่างดี หากสู้ยืดเยื้อเกรงว่ากำลังจะหมดก่อนเป็แน่
จังหวะนี้แหละ! ในตอนที่ใต้เท้ากวนแทงทวนสวนกลับมา ข้าก็ได้เตรียมรอจังหวะนี้อยู่แล้วั์ตาสีหมึกในยามปกติดำมืดไร้แววในพริบตา พร้อมกับภาพทุกอย่างช้าลงกว่าเดิมสิบเท่า ข้าเอนตัวหลบปลายอันแหลมคมของทวนให้พุ่งมาไปด้านข้าง ร่างกายทุกส่วนยืดหยุ่นดุจมัจฉาวารีที่เคลื่อนไหวไปมา ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ชักอาวุธกลับไป ข้าก็เบี่ยงตัวออกมาด้านข้างกระโดนหมุนตัวในอากาศ สองมือกระชับง้าวเอาไว้แน่นฟันลงไปที่ด้ามทวนของอีกฝ่ายอย่างแรง!
ดี!
เสียงร้องอย่างยินดีของเหล่าทหารดังกึกก้องไปทั่วค่าย ทั้งสองฝ่ายกลับมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมแล้วค้อมศีรษะคำนับซึ่งกันละกันอย่างเคารพ ในขณะที่ศีรษะลดต่ำลงั์ตาที่ดำมืดราวกับหุบเหวไร้ก้นก็เปลี่ยนกลับมาเป็ดวงตาสีหมึกดำขลับประกายหวานซึ้งเช่นเดิม
“ท่านแม่ทัพผู้น้อยพ่ายแพ้อย่างสมเกียรติยิ่งนักนับถือ นับถือ”ใต้เท้ากวนยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ สมกับที่เป็ตระกูลแม่ทัพเคล็ดวิชาร้ายกาจยากที่จะเอาชนะ
“เป็ใต้เท้าที่ออมมือมากกว่าเ้าค่ะ จือหลินนับถือยิ่งนัก วิชาทวนของท่านยังพัฒนาได้อีกมาก”
“ทะ ท่าน ท่าน”แม่ทัพน้อยตรงหน้าเขาเป็เด็กหญิงตัวน้อยหรือนี่
“ทำใต้เท้าใแล้ว ชีวิตในค่ายทหารโหดร้ายยิ่งนักเด็กสาวเช่นข้าไปที่ใดคนเขาก็มองว่าเป็ชาย”เด็กสาวถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย จริงๆ แล้วออกจะขำขันด้วยซ้ำ
“ใอันใด ภรรยาของผู้น้อยก็ถือดาบควงกระบองอยู่ทุกวัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”ฮูหยินต้องชอบใจเป็แน่หากได้มาพบคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อเช่นนี้
“ในเมื่อใต้เท้าไม่ติดใจอันใด ข้าขอถาม ท่านยินดีมาเป็รองแม่ทัพของข้าหรือไม่ ยินดีเข้าร่วมกองทัพิญญาพยัคฆ์หรือไม่”
“ท่าน...มิใช่ว่าท่านมีรองแม่ทัพถึงสองคนแล้วหรือ”ใต้เท้ากวนถามอย่างสงสัย แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่งราวกับไม่ใส่ใจ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าหัวใจของเขาเต้นรัวเป็กองศึกราวกับจะหลุดออกมาจากอก
“รองแม่ทัพทั้งสองนั้นเป็ตำแหน่งชั่วคราว ที่ข้าเสนอให้ท่านคือตำแหน่งรองแม่ทัพที่จะร่วมรบในครั้งนี้ และติดตามข้าเข้าเมืองหลวง ประจำค่ายทหารของแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน! ”
เฮ!
สิ้นเสียงของท่านแม่ทัพเหล่าทหารต่างส่งเสียงเฮออกมาโดยพร้อมเพรียง ขับให้บรรยากาศมีมนต์ขลังมากยิ่งขึ้น
“ในเมื่อท่านแม่ทัพเล็งเห็นความสามารถ ข้าน้อยก็ตกลง”
“ดี! ถ่ายทอดคำสั่งแต่งตั้ง กวนอู เป็รองแม่ทัพแห่งค่ายิญญาพยัคฆ์มีผลนับแต่นี้เป็ต้นไป”
ขอรับ!
ทุกคนต่างขานรับอย่างพร้อมเพรียง