ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทีละน้อย พระจันทร์ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ภายในหอสัตว์อสูร ณ เวลานี้สว่างจ้าไปด้วยแสงไฟ ผู้ปกครองและลูกหลานของตระกูลที่มาเข้าร่วมพิธีปลุกพลังทางสายเืต่างถูกเคลื่อนย้ายออกไปหมดสิ้น เหลือเพียงเหล่าผู้าุโและเย่ชิงหานที่อุ้มลูกสัตว์อสูรอยู่
“เฮ้อ...คือสุนัขจมูกราชสีห์ไม่ผิดแน่!”
“เป็สุนัขจมูกราชสีห์แน่นอน ์ช่างไม่เมตตาตระกูลเย่เสียเลย”
ผู้าุโหลายท่านสับเปลี่ยนกันตรวจสอบลูกสัตว์อสูร สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่า เย่ชิงหานเรียกออกมานั้นคือสุนัขจมูกราชสีห์อย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากที่ได้ข้อสรุปเหล่าผู้าุโทั้งหลายล้วนหน้าม่อยคอตก มีทั้งผิดหวัง มีทั้งเอือมระอา รวมไปถึงเกลียดชังที่แสดงออกมาทางสายตา
ในตอนนี้ใบหน้าของผู้าุโเทียนชิงได้กลับคืนมาสงบเยือกเย็นดังเดิม สายตามองไปยังสัตว์อสูรตัวน้อยที่อยู่ในอกของเย่ชิงหานอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า “เด็กน้อยไม่ต้องตื่นใไป เ้าลองเล่ามาให้ละเอียดถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เ้าทำการปลุกพลังทางสายเื รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็เล่ามาให้หมดอย่าได้ตกหล่น!”
เย่ชิงหานยืนอยู่ด้วยอาการสงบนิ่ง ดวงตาราบเรียบนิ่งลึก นับั้แ่เขาออกมาจากแท่นบวงสรวงก็ลอบสังเกตสีหน้าอากัปกิริยาของทุกคนอยู่ตลอด เขามองเห็นสีหน้าที่เสียใจและเสียดายที่ปรากฏบนใบหน้าของผู้าุโหลายท่าน รวมไปถึงมองเห็นสีหน้าที่ผิดหวังและถอดทอนใจของผู้าุโรองหัวหน้าฝ่ายหอประจัญบานท่านลุงสามเย่เชียง และยิ่งไปกว่านั้นมองเห็นถึงสีหน้าที่ผ่อนคลายและเย้ยหยันของท่านลุงใหญ่เย่เจี้ยนและผู้าุโรองหัวหน้าฝ่ายหอผู้คุมกฎเย่หรง ที่ปรากฏออกมาให้เห็นหลังจากที่ทำการตรวจสอบสัตว์อสูรของเขาเสร็จ
ใน่เวลาอันแสนสั้นแค่ชั่วพริบตาเดียวนั้น เย่ชิงหานคล้ายกับว่าได้ประจักษ์ถึงสภาพความเป็จริงของโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนร้อยแปดนี้ เมื่อได้ยินคำของผู้าุโเทียนชิงเขานิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้น “ได้ขอรับ ท่านผู้าุโ!”
ได้ยินดังนั้นทุกคนจึงละสายตาจากสัตว์อสูรตัวน้อยแล้วพากันนั่งลงเพื่อรอฟังสิ่งที่เย่ชิงหานกำลังจะเล่า อย่างน้อยเ้าเด็กคนนี้ตอนที่ปลุกพลังทางสายเืก็มีวงแหวนแสงเก้าสีปรากฏขึ้น ทุกคนจึงอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
“ข้าน้อยเข้าไปในแท่นบวงสรวง จากนั้นไม่รู้ทำไมถึงปรากฏหมอกควันสีขาวออกมา หมอกควันสีขาวเหล่านี้ไม่เหมือนกันหมอกควันที่อยู่ภายนอก แปลกมหัศจรรย์เป็อย่างมากให้ความรู้สึกราวกับฝนราวกับลม หมอกควันสีขาวเ่าั้เริ่มมุดเข้ามาภายในร่างกายของข้า...” เย่ชิงหานอารมณ์ค่อนข้างดี สีหน้าดูราบเรียบนิ่งลึก คล้ายกับว่ากำลังดื่มด่ำอยู่กับความรู้สึกพิเศษพิสดารที่เล่าออกมาเมื่อสักครู่
“ฮึ! จะเล่าทำไมเื่ไร้สาระพวกนี้ รีบเล่าสั้นๆ กะทัดรัดให้ตรงประเด็น! ขยะก็คือขยะ แค่เล่าเื่แค่นี้ยังทำไม่ได้...” ก็ถูกที่เย่ชิงหานอารมณ์ค่อนข้างดี แต่ผู้าุโบางคนกลับไมสบอารมณ์ขึ้นมา พวกเขาต่างเป็ผู้มีตำแหน่งระดับสูงไม่มีเวลามานั่งฟังเื่ไร้สาระ ผู้าุโท่านหนึ่งซึ่งมีรอยแผลเป็บนใบหน้ากระแทกเสียงเ็าออกมาด้วยความไม่พอใจ คนผู้นี้ก็คือผู้าุโรองหัวหน้าฝ่ายหอผู้คุมกฎเย่หรง
“อ๋อ...สั้นๆ กะทัดรัดใช่ไหม” เย่ชิงหานยิ้มซื่อๆ ที่มุมปากแล้วพูดขึ้นว่า “แสงสีขาววาบผ่าน ข้าน้อยมองเห็นหุบเขาแห่งหนึ่ง ภายในมีลูกสัตว์เล็กๆ มากมาย จากนั้นโคจรเคล็ดวิชาเรียกสัตว์อสูร เมื่อเรียกสำเร็จแสงก็วาบผ่านอีกครั้ง ก็แค่นี้แหละ”
ทุกคนที่ได้ฟังต่างขมวดคิ้วแน่นใช้ความคิดพิจารณาสิ่งที่เย่ชิงหานเล่ามาทุกตัวอักษร โดยหวังว่าจะค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างอยู่ในคำพูดเ่าั้ แต่ตอนนี้เย่ชิงหานกลับหยุดปากไม่พูดต่อแล้ว
“หลังจากนั้นเล่า?” เย่หรงถามขึ้นอย่างรีบร้อน
“หลังจากนั้น? ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว? อ๋อ...หลังจากนั้นข้าก็เรียกเ้าสัตว์อสูรตัวเล็กนี่ออกมาอย่างไรเล่า” เย่ชิงหานทำสีหน้างุนงงมองไปยังเย่หรง คล้ายกับว่าคำถามของเย่หรงปัญญาอ่อนเอามากๆ เสียอย่างนั้น
“ไม่มีแล้ว?”
“ไม่มีต่อจากนั้น!”
“เหลวไหล จบแค่นี้รึ?” เย่หรงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ รอยแผลเป็บนใบหน้ากระตุกสั่นขึ้น
“ก็จบแค่นี้! ก็ท่านพูดเองว่าให้สั้นๆ กะทัดรัดได้ใจความ! การเรียกสัตว์อสูรมันซับซ้อนมากมายหรือเปล่าเล่า?” เย่ชิงหานทำหน้าตาอย่างคนไร้ความผิด แสดงสีหน้าแปลกประหลาด ทุกคนต่างก็ใช้สายตาที่ราวกับมองคนโง่มองไปที่เย่หรง ความจริงแล้วพิธีปลุกพลังทางสายเืนั้นง่ายดายเป็อย่างมาก ถ้าหากจะพูดให้สั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ เข้าไปยังแท่นบวงสรวง แท่นบวงสรวงเริ่มทำงาน ลูกหลานของตระกูลเย่ยืมพลังเทพาเปิดมิติออก จากนั้นดวงจิตข้ามผ่านเข้าไปยังมิติลับแดนอสูร จากนั้นก็เรียกสัตว์อสูรออกมา ก็ง่ายๆ สั้นๆ เพียงเท่านี้
“บัดซบ! ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงง่ายๆ สั้นๆ แบบนี้...” เย่หรงมองเห็นสีหน้าของทุกคนที่คล้ายกับยิ้มแต่ก็ไม่เชิงมองดูตนเองราวกับคนโง่ ยิ่งทำให้เขาโกรธเป็ฟืนเป็ไฟยิ่งขึ้น จึงด่าทอออกไป
“ฮึ...พอได้แล้ว!” ผู้าุโเทียนชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ จ้าวเมืองเย่เจี้ยนกระแทกเสียงหนักออกมาคำหนึ่ง ใช้สายตาที่เ็ามองไปยังเย่หรง เย่หรงรู้สึกเย็นขึ้นมาทั่วสรรพางค์กายจึงรีบร้อนปิดปากสงบเงียบลง
เมื่อเห็นดังนั้นแล้วผู้าุโเทียนชิงจึงค่อยหันหน้ามาทางเย่ชิงหานแล้วเอ่ยขึ้น “เด็กน้อยไม่ต้องตื่นใไป เดี๋ยวข้าจะเป็คนถามส่วนเ้าเป็คนตอบ พยายามเล่าให้ละเอียด เมื่อสักครู่ที่เ้าเล่าว่าเจอหุบเขา สถานที่แห่งนั้นลักษณะอย่างไร?”
“อ๋อ หุบเขาค่อนข้างกว้างใหญ่เนื้อที่ประมาณหนึ่งกิโลเมตรเห็นจะได้ ตรงกลางมีทะเลสาบ” เย่ชิงหานไม่กล้าเล่นลูกไม้จึงเล่าออกไปตามความจริง
“ใหญ่โตขนาดนั้นเชียว?” ผู้าุโเทียนชิงและผู้าุโแห่งหอสัตว์อสูรอีกสามท่านมองตากันไปมาแสดงออกถึงอาการตื่นตระหนก คนอื่นอาจจะไม่รู้แต่พวกเขาที่เป็ผู้าุโแห่งหอสัตว์อสูรรู้ดีถึงข้อมูลเบื้องลึกว่า หากมิติลับแดนอสูรเนื้อที่ยิ่งใหญ่มากเท่าไรยิ่งไม่ธรรมดาเท่านั้น
ผู้าุโเทียนชิงพยักหน้าแล้วเอ่ยถามต่อ “แล้วเ้าอยู่ภายในหุบเขานั้นเห็นลูกสัตว์อสูรอะไรบ้าง ถ้าหากเ้าไม่รู้จักก็ใช้การพรรณนารูปร่างลักษณะของพวกมันออกมาก็พอ”
“อืม...มีเยอะแยะเต็มไปหมด มีมากมายหลายชนิดที่ไม่รู้จัก มีหมาป่าสีเทาที่เย่ชิงเฟิงเรียกออกมาในตอนเช้าด้วย ยังมีแบบเดียวกับเย่ชิงขวงหมีคลั่ง อืม...อ้อ ยังมีตัวนิ่มสามหัวอีก...”
เย่ชิงหานยังไม่ทันจะพูดจบ เย่หรงกลับพูดแทรกขึ้นอย่างยั่วเย้าและถากถางว่า “หมาป่าสีเทา? หมีคลั่ง? นิ่มสามหัว? ทำไมเ้าไม่พูดว่าเห็นัเขียวด้วยเลยเล่า?”
“ฮึ! เย่หรง ถ้าหากเ้าไม่อยากจะฟังก็ออกไปเสีย ที่นี่คือหอสัตว์อสูรไม่ใช่หอผู้คุมกฎของเ้า” ผู้าุโเทียนชิงสีหน้าเต็มไปด้วยความเ็า หนวดเคราปลิวสะบัด พลังกดดันชนิดหนึ่งแผ่พุ่งออกมาอย่างน่าเกรงขาม
“เย่หรงเงียบๆ หน่อย ผู้าุโเทียนชิงอย่าได้มีโทสะไปเลย” เย่เจี้ยนที่นั่งอยู่ตำแหน่งใจกลางถลึงตามองเย่หรงอย่างหนักครั้งหนึ่ง เป็การบอกให้เขาหุบปากอยู่เงียบๆ ผู้าุโเทียนชิงแม้พลังฝีมือไม่สูงส่งมากนัก แต่ก็ถือเป็คนรุ่นเดียวกันกับบิดาของตนเอง ั้แ่ตอนที่เขาเป็เด็กผู้าุโเทียนชิงก็เป็ผู้าุโของหอสัตว์อสูรแล้ว ต่อให้เป็เย่เจี้ยนในยามปกติก็ไม่อยากที่จะผิดใจด้วย
ในเวลานี้เอง เสียงๆ หนึ่งดังขึ้น ราวกับเสียงที่ดังสั่นะเืเลื่อนลั่นทำเอาทุกคนตะลึงไปตามๆ กัน
“ท่านพูดถึงสัตว์ตัวสีเขียวที่คล้ายกับงูตัวใหญ่ั์ เกล็ดปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง มีขาสี่ขา บนหัวมีเขาสองเขาใช่ไหม?”
“อะไรน่ะ? งูเขียวตัวใหญ่ั์?”
“์...อย่าบอกนะว่าเป็ัเขียวจริงๆ!”
“มีโอกาสเป็ไปได้สูง เนื่องจากปรากฏวงแหวนแสงเก้าสีขึ้นมาขนาดนี้”
ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนสีไปในทันที เกี่ยวกับอสูรัเขียวสำหรับพวกเขาที่มีตำแหน่งฐานะในระดับนี้ย่อมรู้ข้อมูลอย่างละเอียดเป็อย่างดี เพราะว่า...ภายในทวีปแห่งนี้มีสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในหุบเขาม่านหมอก และเนื่องจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้นี่เองทำให้สถานที่แห่งนั้นกลายเป็สถานที่ต้องห้ามอันตรายหนึ่งในสามของทวีป เป็เวลานับพันปีแล้วที่ทางตระกูลได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับัเขียวตัวนั้นอย่างละเอียด
ถ้าเป็ไปตามที่เย่ชิงหานพรรณนามา งูเขียวตัวใหญ่ั์ที่เขาเห็นในมิติลับแดนอสูรจะต้องเป็ัเขียวอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะทุกคนทราบเป็อย่างดี อาศัยพลังฝีมือและตำแหน่งฐานะของเย่ชิงหานไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ัเขียวได้อย่างแน่นอน
“แล้วทำไมเ้าไม่เรียกงูใหญ่ตัวนั้นออกมาด้วย?” ผู้าุโเทียนชิงทอดถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง สีหน้าอาการของความผิดหวังแสดงออกมาแทนคำพูด
“เรียนท่านผู้าุโ ข้าน้อยทำการเรียกแล้ว แต่งูใหญ่ตัวนั้น เอ่อ...ัเขียวตัวนั้นกลับไม่มีการตอบสนอง ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน?” เย่ชิงหานพูดออกไปเท่าที่คิดได้ เพราะอย่างไรทุกคนในที่นี้ก็ไม่มีใครได้เห็นในสิ่งที่ตนเห็นในมิติลับแดนอสูร ส่วนตนเองก็นึกทอดถอนใจอยู่ด้วยเช่นกันที่ัเขียววิ่งหนีไป
“เจตนารมณ์ของ์...ในเมื่อเป็เจตนารมณ์ของ์เช่นนี้ก็คงฝีนบังคับอะไรไม่ได้! เอาเถอะๆ เ้ากลับไปก่อนไป พรุ่งนี้ให้เ้าไปที่ห้องเรียนสัตว์อสูรเพื่อเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์อสูร ตั้งใจฝึกฝนให้ดีๆ เล่า”
ผู้าุโเทียนชิงรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั่วทั้งร่างราวกับว่าได้แก่ลงไปอีกเป็สิบปี นั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงไม่มีกะจิตกะใจจะถามสิ่งใดอีกต่อไป เพราะแม้จะถามมากมายเพียงใดเวลาก็มิอาจย้อนกลับไปให้เย่ชิงหานเรียกัเขียวออกมาได้อีก ทำได้แค่เพียงทอดถอนใจอย่างที่สุด และต่างพากันเดินออกจากหอสัตว์อสูรไป
“ถ้าอย่างนั้น ท่านผู้าุโทั้งหลาย ท่านลุงใหญ่ ท่านลุงสาม ข้าน้อยเย่ชิงหานขอลากลับก่อน” เย่ชิงหานก้มตัวลงโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตั้งใจฝึกฝนให้ดี อย่าทำให้ชื่อเสียงของบิดาเ้าต้องด่างพร้อย” เย่ชิงหานยังไม่ทันที่จะเดินออกไป จ้าวเมืองเย่เจี้ยนกลับลุกขึ้นยื่นมือมาตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ ก่อนที่จะผละจากไปก่อน
“ฮึ! ขยะก็คือขยะ ์ประทานอสูรศักดิ์สิทธิ์มาให้ขนาดนี้ยังไม่มีปัญญาคว้าเอาไว้ สิ้นเปลืองข้าวปลาอาหารของตระกูลที่เลี้ยงดูเสียจริง”
ส่วนบุคคลที่สามที่ลุกขึ้นคือเย่เชียงผู้มีลักษณะคล้ายปัญญาชนผู้มีความรู้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เดินมาหาเย่ชิงหานด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ชิงหาน ไม่ต้องเสียใจไป สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับนั้นปรารถนาได้แต่ฝืนบังคับไม่ได้ ตั้งใจฝึกฝนให้ดี ลุงเชื่อว่าเ้าทำได้”
“ขอบคุณท่านลุงสาม!” เย่ชิงหานผงกหัวเป็การตอบรับ แม้ครอบครัวลูกคนโตกับครอบครัวลูกคนรองจะข้อบาดหมางกัน แต่ครอบครัวลูกคนที่สามเฝ้าดูอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ล่วงเกิน ผิดใจใคร ท่านลุงสามผู้นี้ดีกับเขามาั้แ่เด็ก สิ่งไหนที่สามารถช่วยได้ก็พยายามช่วย ภายในใจของเย่ชิงหานยังคงรู้สึกซาบซึ้งเป็อย่างมาก
รอจนเหล่าผู้าุโทั้งหลายจากไป เย่ชิงหานถึงได้เดินออกมาจากหอสัตว์อสูรอย่างช้าๆ
ณ เวลานี้เป็ค่ำคืนที่ดึกสงัด กลุ่มดาวปรากฏเด่นเต็มท้องฟ้า แสงจันทร์สีขาวนวลราวกับสีของน้ำนมสาดส่องไปทั่ว เงาร่างสีขาวของคนผู้หนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ด้านนอกประตู มองดูดุจดั่งดอกถานฮวาที่เบ่งบานในยามรัตติกาล
“ท่านพี่!”
ได้ยินเสียงเรียกขานที่คุ้นหูดังลอยมา สองตาของเย่ชิงหานพลันปกคลุมไปด้วยละอองน้ำขึ้นมา เขาเดินไปจับมือเย่ชิงอวี่แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อยด้วยความรู้สึกตื้นตันใจและตื่นเต้นดีใจ “เด็กโง่ รอจนกระวนกระวายเลยสิท่า พวกเรากลับกันเถอะ เดี๋ยวพี่จะให้เ้าดู...สัตว์อสูรมหัศจรรย์ของพี่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้