Chapter 33
เทพนามว่าโจไซอา และซาตานนามว่าแซ็กคารีนอนโอบกอดกันแน่นบนเตียงใหญ่หลังร่วมรักจนพอใจ แล้วผล็อยหลับไปพร้อมกัน เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกระทั่งถึงยามเย็น แซ็กคารีเป็ฝ่ายตื่นก่อน ซาตานกะพริบตาถี่ ๆ หลายครั้งจนตื่นเต็มตา แวะเวียนหอมข้างขมับเทพในอ้อมแขน แล้วเป่าลมดับเทียนเล่มใหญ่ที่เปลวไฟหลอมละลายจนเหลือเพียงครึ่งเดียว
แซ็กคารีก้มมองโจไซอา ปัดเส้นผมออกจากหน้าผากของอีกฝ่ายแล้วจุมพิตกลางหน้าผากแนบค้างหลายวินาที และจึงผละออกด้วยเสียงที่เบาที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนเวลาพักผ่อน
เขาสวมกางเกงตัวเดิมอย่างลวก ๆ แล้วออกจากห้องนอนเพื่อต้มน้ำร้อนสำหรับชงชา เดินสำรวจรอบบ้านที่ไม่แตกต่างจากเดิม หยิบจับสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมามองอย่างคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ
บนชั้นหนังสือเล็ก ๆ ในห้องรับแขกมีหนังสือแปลกตาและไม่ควรวางอยู่ที่นี่ เพราะเป็หนังสือตัวอักษรขยุกขยิกของภาษาภูต แซ็กคารีรีบคว้าหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาพลิกดูหน้าหลัง รินชาใส่แก้วมานั่งจิบที่โซฟาพร้อมกับอ่านหนังสือของเหล่าภูตเกี่ยวกับภูตสายพันธุ์ต่าง ๆ
“แซ็ก” เสียงหวานเอ่ยเรียกดึงซาตานหนุ่มออกจากโลกส่วนตัวของตัวเอง
แต่เมื่อเงยหน้าจากหนังสือ แซ็กคารีหลุดหัวเราะเสียงดัง เพราะโจไซอาใช้ผ้าห่มห่อร่างกายเอาไว้คลุมปิดถึงศีรษะ ใบหน้ายังดูสะลึมสะลือไม่ตื่นเต็มตา ยิ่งเขาหัวเราะ มุมปากสองข้างก็เบะคว่ำลง
โจไซอาเดินมาหา แซ็กคารีจึงทิ้งทุกอย่างในมือ ใจนตาโตเมื่อเทพก้าวขาขึ้นนั่งคร่อมตักของเขาโดยไม่ตั้งตัว จึงรีบคว้าเอวของอีกฝ่ายไว้ แต่โจไซอาใช้ผ้าห่มห่อกายอยู่สองแขนของแซ็กคารีจึงเหมือนโอบรัดก้อนผ้าห่มนุ่มนิ่มเต็มแขน
เทพไม่พูดอะไรอื่นแล้วซบใบหน้ากับแผ่นอกของซาตาน นั่งขดจนตัวหดเล็กลงอยู่ใต้ผ้าห่มมุดหาความอบอุ่นจากผิวกายของซาตานพร้อมหลับตาพริ้ม แซ็กคารีตบก้อนผ้าห่มในอ้อมแขนเบา ๆ ราวกล่อมเด็ก
ร่างกายของโจไซอาที่นั่งคร่อมตักแซ็กคารีแลดูหนักขึ้นอย่างน่ายินดี แต่เขาสับสนไม่แน่ใจว่าเป็เพราะผ้าห่มที่ห่อหุ้มตัวโจไซอาอยู่หรือไม่ เขาจึงวางฝ่ามือแนบข้างแก้มให้โจไซอาเงยหน้าสบตา
ใบหน้าของโจไซอาสดใสขึ้นกว่าเดิมมาก แก้มซีดเซียวมีสีเืฝาดแม้ยังผอมตอบ เบ้าตาลึกเป็สีคล้ำจางลงจนแทบไม่เหลือร่องรอย ริมฝีปากกลับมาอวบอิ่มเป็สีแดงระเรื่อไม่แห้งแตก เทพจ้องหน้าแซ็กคารีนิ่งโดยไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และคงไม่รู้ว่าร่างกายของตนเองกำลังเปลี่ยนแปลง
“เธอหิวเหรอ” เสียงหวานถามอย่างเป็ห่วง
“เปล่าครับ ผมแต่คอแห้งเลยออกมาชงชา” โจไซอาหันมองแก้วชาขึ้นควันร้อนจาง ๆ ที่แซ็กคารีวางทิ้งไว้
“ขอบ้างได้ไหม”
“ผมจะไปรินมาให้นะครับ” มือใหญ่จับก้อนผ้าห่มบนตักทำท่าจะอุ้มโจไซอาลง เทพจึงรีบส่ายหน้าเพราะอยากนั่งใกล้ชิดแซ็กคารีไม่ห่าง
“เอาแก้วนี้”
เทพเอ่ยขออย่างเอาแต่ใจ แต่แซ็กคารียกแก้วชาของตนเองให้อีกฝ่ายตามคำขอ แล้วยังป้อนให้ถึงปากโดยที่โจไซอาเพียงแค่อ้าปากแล้วกลืนเท่านั้น
ดวงตาสีเฮเซลมองริมฝีปากสีแดงระเรื่ออย่างหลงใหล มันจรดเข้ากับปากแก้วสีเทาเข้ม ดูนุ่มนิ่มน่าจูบ เมื่อโจไซอาดื่มชาในแก้วจนหมดและดึงแก้วออกจากริมฝีปาก น้ำสีใสได้เคลือบปากสีสดและกำลังหยดลงบนตัก แต่โจไซอาเม้มไว้ได้ทันแลบลิ้นออกมาเล็กน้อยเพื่อจัดการริมฝีปากเปื้อนน้ำชาของตนเอง
เขาอยากจูบโจไซอา และเผลอนั่งจ้องปากของเทพอยู่นานจนเ้าของสังเกตเห็นความ้าผ่านแววตาของแซ็กคารี เทพรีบสนองความ้าของชายผู้เป็ที่รักในทันที มือสองข้างวางข้างแก้มซาตาน โน้มใบหน้ากดจูบส่วนเดียวกันแนบค้างเอาไว้
ราวกับบทสนทนาระหว่างแซ็กคารีและโจไซอากำลังเริ่มต้น แต่ไร้เสียงพูดคุย เพราะทั้งคู่ใช้สายตากับภาษากายแทน ทั้งสองผละมามองตา ยิ้มให้กันแล้วเริ่มจูบอีกครั้ง เป็จูบล้ำลึกดูดดื่มกว่าทีแรก ค่อย ๆ ดูดดึงริมฝีปากกันและกันระบายความโหยหา แซ็กคารีขบงับแ่เบาด้วยความมันเขี้ยวปากนุ่มนิ่มสีสด
โจไซอาเอาคืนด้วยการขบงับริมฝีปากล่างของแซ็กคารี ดึงยืดมันราวเป็ขนม แล้วยังหัวเราะเสียงใสอย่างซุกซนพร้อมลูบไล้กล้ามเนื้อั้แ่อกจนถึงลอนกล้ามหน้าท้อง
มือเรียวปลดกระดุมกางเกงที่แซ็กคารีเพิ่งติดมันเข้าด้วยกัน เกี่ยวซิปลงจนสุดแล้วดึงแก่นกายออกมาอีกครั้ง ชักรูดสลับกับถูวนส่วนหัวจนมันแข็งขืนเต็มไม้เต็มมือ แก้มสองข้างของแซ็กคารีก็ได้รับจูบซ้ำ ๆ จากเทพ ซอกคอของเขาขึ้นรอยจูบสีกลีบกุหลาบจากริมฝีปากโจไซอา
“โจ” เสียงแซ็กคารีหอบกระเส่าเพราะได้รับการปลุกเร้าปรนเปรอแก่นกาย ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้นขบกัดสันกรามจนเห็นโครงหน้ารูปงามชัดเจน เทพกดจูบปลายคาง เลื่อนลงจูบซอกคอแล้วสร้างรอยจูบสีกลีบกุหลาบขึ้นอีก
“ฉันไม่อยากห่างเธอเลย”
แซ็กคารียกยิ้มพึงพอใจ จับข้างแก้มใสมีเืฝาดให้ขยับเข้าหาแล้วดูดดึงริมฝีปากน่ามันเขี้ยวอีกครั้ง มืออีกข้างล้วงเข้าไปใต้ก้อนผ้าห่มเพื่อััเนื้อนิ่มที่บั้นท้ายของโจไซอา เทพยกสะโพกขึ้นส่ายไปมาเล็ก ๆ ราวทักทายฝ่ามือของเขา
รอยจีบที่เบิกทางเปิดขยายพร้อมต่อการสอดใส่ โจไซอาเป็ฝ่ายจับแก่นกายของเขาเอาไว้ แล้วยกสะโพกขึ้นใช้ส่วนหัวถูไถกับรอยจีบของตัวเอง เรียวคิ้วโค้งสวยขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากเผลออ้าเพื่อร้องครางอย่างสุขสมขณะนั่งทับตักแซ็กคารีช้า ๆ ให้แก่นกายสอดแทรกในรอยจีบ
เทพโจไซอายังไม่มั่นใจร่างกายผ่ายผอมของตนเอง และไม่ทันสังเกตว่ามันกำลังเปลี่ยนแปลง มือเรียวจึงดึงรั้งผ้าห่มให้ปกปิดร่างกายเอาไว้อย่างเดิม แซ็กคารีกลายเป็ผู้ช่วยจับผ้าห่มคลุมอีกฝ่าย แล้วต้องหยุดชะงักเงยหน้าสูดปากเพราะเมื่อโจไซอาได้ควบคุมจังหวะสอดใส่ด้วยตัวเองอีกฝ่ายจะเร่งเร้าอย่างถึงใจเสมอ
ร่างเพรียวบางขย่มสะโพกเข้าหาตักอุ่น เงยหน้าส่งเสียงครางหวานรื่นหูน่าฟัง อวดใบหน้ายามเสียวซ่านให้แซ็กคารีมองเห็นชัดเต็มสองตา เสียงครางดังขึ้นเมื่อแก่นกายแข็งขืนของโจไซอาอยู่ในมือแซ็กคารี มืออุ่นชักขึ้นลงเป็จังหวะเดียวกัน หยุดนิ่งเพื่อถูวนรอบส่วนหัวด้วยนิ้วโป้ง เมื่อโจไซอาหยุดขยับขึ้นลงแล้วเปลี่ยนเป็การหมุนควงสะโพกเป็วงกลมให้แก่นกายััผนังช่องทาง
“อื้ม อื้อ! ข้างนอก—” เสียงหวานพูดติดขัด
“ว่าไงครับ”
“มีพวกภูตอยู่”
“นั้นเราเข้าห้องกันดีไหม”
เทพพยักหน้าหงึกหงัก ใบหน้ายังแสดงความเสียวซ่านพร้อมหมุนควงสะโพกไม่หยุดราวล่องลอยอยู่ในห้วงตัณหา ภูตที่โจไซอาเอ่ยถึงทำหน้าที่เฝ้ารอบ ๆ บ้านมานานและจะไม่ก้าวก่ายด้านในบ้าน แต่เขายังอยากได้ความส่วนตัวเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง และยังไม่มั่นใจกับร่างกายของตนเองเกินกว่าจะร่วมรักกับแซ็กคารีในที่ที่แสงส่องสว่าง
เมื่อเห็นเทพยังคงหมุนควงสะโพกเนิบนาบไม่ยอมอยู่นิ่ง แซ็กคารีจึงอยากแกล้งอีกฝ่ายต่อ เขาดึงผ้าห่มที่ห่อตัวโจไซอาให้คลุมถึงหัวของตัวเองด้วย แล้วคว้าลำคอระหงมาใกล้เพื่อกดจูบเร่าร้อนปลุกเร้าความ้า โจไซอาไม่สนใจเื่ภูตอีกต่อไปแล้วขย่มสะโพกขึ้นลงควบคุมจังหวะด้วยตัวเองอีกครั้ง
ส่วนหัวของแก่นกายััจุดกระสัน แข้งขาอ่อนแรงไม่อาจขยับจึงนั่งทับนิ่งแทนแล้วโอบกอดซาตานแน่น รับจูบเกี่ยวตวัดลิ้นแลกเปลี่ยนความกระสันหยอกล้อกันไปมา แล้วรีบผละจูบมาหวีดร้องครางยาวเมื่อน้ำสีขุ่นปลดปล่อยออกจากแก่นกายด้วยฝีมือการปรนเปรอของซาตาน
เทพทิ้งร่างกายเอนซบอกแซ็กคารี หอบหายใจแรงพร้อมรอยยิ้มสุขสม มือใหญ่อบอุ่นจับช้อนปลายคางไม่ยอมให้โจไซอาหลบตา ทั้งสองจึงนั่งมองหน้ากันและกันหลังจากโจไซอาเพิ่งปลดปล่อย เขารู้สึกถึงแก่นกายใหญ่ที่กระตุกเป็พัก ๆ อยู่ในช่องทางด้านหลังชัดเจน และผนังอ่อนนุ่มก็ขมิบตอดรัดเป็จังหวะถี่ด้วยความอ่อนไหวต่อััหลังปลดปล่อย
ท่อนแขนโอบรอบก้อนผ้าห่มบนตัก แล้วลุกขึ้นจนโจไซอาลอยหวือตาม สองขารีบเกี่ยวรอบเอวแซ็กคารีไว้แน่น เขาสะดุ้งร้องครางหวานยามแซ็กคารีก้าวเดินแล้วแก่นกายกระแทกเข้าออกช่องทางของเขาจนเสียวหน้าท้อง ความกระสันอยากเพิ่มพูนอีกครั้งในเวลาอันสั้น ท่ามกลางรอยยิ้มเอ็นดูของแซ็กคารี ตามมาด้วยสายตาหื่นกระหาย จากนั้นการร่วมรักจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้ง
เมื่อแซ็กคารีรู้ว่าร่างกายที่ซูบผอมจากโรครักระทมของโจไซอาจะค่อย ๆ ฟื้นฟูเมื่ออีกฝ่ายหลับ เขาจึงถือโอกาสนี้ในการร่วมรักกับโจไซอาจนพอใจ เพื่อให้โจไซอาเหนื่อยแล้วหลับไป
เช้าวันใหม่เดินมาถึง แสงอาทิตย์สาดส่องทะลุผ่านผ้าม่านที่แซ็กคารีเป็ผู้เปิดเอาไว้ แดดในเช้าวันที่สองของฤดูใบไม้ผลิยิ่งอบอุ่นกว่าเมื่อวาน หญ้าที่สนามรวมถึงต้นไม้โดยรอบเริ่มแตกหน่อใบสีเขียวสดทักทายแสงอาทิตย์
แซ็กคารีเป็ฝ่ายตื่นก่อนอีกครั้ง เขาลืมตามองเทพขี้เซาในอ้อมแขน ลูบััผิวกายนวลเนียนลื่นมือ จับเนื้อนิ่มที่ข้างเอวและหน้าท้อง จับแก้มนิ่มขึ้นสีแดงจาง ไม่มีส่วนใดในร่างกายของโจไซอาที่ซูบผอมอย่างน่ากลัวอีกต่อไป ร่างกายของเทพกลับมาเปล่งปลั่งอย่างสมบูรณ์แบบ
“โจ เช้าแล้วนะ” แซ็กคารีไม่เคยปลุกโจไซอามาก่อน มีแต่ปล่อยให้นอนต่อจนอีกฝ่ายตื่นเองเท่านั้น วันนี้เขาตั้งใจปลุกเพราะอยากให้อีกฝ่ายเห็นความเปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ
“แซ็ก…”
โจไซอาขานตอบ และยังคงสะลึมสะลือไม่ยอมลืมตา เขาจึงจับแขนอีกฝ่ายออกจากข้างเอว ลุกขึ้นจากเตียงเปิดตู้หยิบเสื้อคลุมมาสวมลวก ๆ แล้วหยิบเสื้อคลุมอีกตัวให้โจไซอา
“ตื่นเร็วครับ ผมมีอะไรให้ดู”
ร่างสูงเดินไปที่เตียง ดึงแขนเทพหน้าตางัวเงียให้ลุกขึ้น แล้วสวมเสื้อคลุมให้โดยที่ไม่ผูกเชือก ท่าทางตื่นเต้นดีใจของแซ็กคารีทำให้เทพสับสน ช้อนตามองร่างสูงพร้อมกับขมวดคิ้วไม่เข้าใจแต่ยอมยกแขนขึ้นสวมเสื้อคลุม แล้วเดินไปหน้ากระจกตามการจับจูงที่ต้นแขน
“ดูสิครับ”
แซ็กคารียืนซ้อนหลังโจไซอา ภายในห้องนอนสว่างด้วยแสงอาทิตย์เพราะผ้าม่านเปิดจนสุดครบทุกผืน แสงเ่าั้สะท้อนผ่านกระจกให้เห็นภาพสะท้อนขององค์เทพซึ่งป่วยเป็โรคมายาวนาน
โจไซอาจ้องมองตัวเองในกระจก พร้อมกับตื่นเต็มตา หัวใจเต้นระรัวเพราะภาพร่างกายของตนเองในกระจกเต็มตัวตรงหน้า มือเรียวยกขึ้นััข้างแก้ม มันนวลเนียนใสมีเืฝาดมีเนื้อนุ่มนิ่มที่แซ็กคารีชอบฟัดหอม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสดใสเป็ประกายในรอบร้อยปี ขนตางอนสวยเป็แพประดับ เบ้าตาไม่เหลือรอยคล้ำ ใต้ตาสว่างเป็สีเดียวกับผิวหน้า
ริมฝีปากอวบอิ่มเป็สีแดงสด นิ้วเรียวเลื่อนลงลูบปากนิ่มไร้รอยแตก เขายืนอึ้งจ้องใบหน้าค้างอยู่นาน แซ็กคารียกยิ้มเอ็นดูแล้วแหวกสาบเสื้อคลุมของเทพให้เห็นร่างกายงดงามชัดเจนขึ้น ซาตานลูบหัวไหล่มนก้มลงจูบด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม มองภาพทั้งคู่ที่สะท้อนในกระจกพร้อม ๆ กัน
ไม่มีเทพร่างผอมราวเนื้อหุ้มกระดูกคล้ายศพเดินได้อีกต่อไป ร่างกายกลับมามีน้ำมีนวล จับส่วนไหนก็นุ่มนิ่มลื่นมือ ท่อนบนมีเนื้อนิ่มห่อหุ้มกระดูกเอาไว้จนมองไม่เห็นซี่โครงเด่นชัดออกมาอีกแล้ว หน้าท้องของเขามีพุงเนื้อนิ่มเล็ก ๆ อย่างเดิม เช่นเดียวกับต้นขาน่าัั
“ฉันหายดีแล้วนี่” โจไซอาหันมองซาตานหนุ่มที่ยืนซ้อนด้านหลัง ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็ประกายราวกักเก็บดวงดาวเอาไว้ แซ็กคารีจ้องมองด้วยรอยยิ้ม และพยักหน้ายืนยัน
“เธอรักฉันจริง ๆ ด้วย”
คำพูดใสซื่อและไม่ซับซ้อนทำเอาซาตานหนุ่มหัวเราะลั่น สองแขนกอดรวบเทพจากด้านหลังแน่นยิ่งขึ้นจนโจไซอาขยับไปไหนไม่ได้ และฟัดหอมข้างแก้มซ้ำ ๆ ด้วยความมันเขี้ยวผสานแรงดึงดูดจากกลิ่นหอมที่ทำให้เขาหลงหัวปักหัวปำ
“ผมขอโทษที่มาช้านะครับ”
แซ็กคารีเกยคางที่ไหล่โจไซอา มองตาเทพผ่านกระจกเงา ด้วยแววตาออดอ้อนเจือปนความรู้สึกผิดที่ยังไม่จางหาย โจไซอาต้องทุกข์ทรมานเกือบร้อยปี กว่ามนุษย์โง่เขลาจะเกิดใหม่เป็ซาตาน แล้วเขายังไม่ฟังคำพูดของโจไซอา ทำให้อีกฝ่ายเ็ปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“คุยเื่นี้จนเบื่อแล้ว” เทพหันหน้าหาซาตาน ก้มหน้ากระตุกปมเชือกเสื้อคลุมที่เอวหนา
“คุยเื่อื่นกันดีกว่า”
“เื่อะไรครับ”
โจไซอาตอบคำถามด้วยการกระทำ มือเรียวดึงสาบเสื้อคลุมของตนเองลง ปล่อยมันกองอยู่ที่ข้อเท้ากระทั่งร่างกายเพรียวบางสมบูรณ์แบบของเทพเปลือยเปล่าอีกครั้ง หมดสิ้นความกังวลเื่รูปลักษณ์ที่ทำให้ไม่มั่นใจ เทพจึงใช้ร่างกายยั่วยวนแซ็กคารี ยกแขนขึ้นคล้องลำคอช้อนตามองแสดงความ้า
“ฉันคิดได้ว่ามีข้อดีที่เธอเกิดเป็ซาตาน”
“คืออะไร”
เสียงทุ้มล่องลอยราวลุ่มหลงอยู่ในห้วงความงดงามที่โจไซอาสร้างขึ้น เสียงหวานเอ่ยชิดปลายคางของเขา นิ้วเรียวไล่ััั้แ่ลำคอที่ยังคงมีรอยจูบสีกลีบกุหลาบ ลากผ่านตรงกลางแผ่นอกจนถึงเส้นกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วหยุดลงที่ใต้สะดือ
“เธอไม่เหนื่อย”
เมื่อก่อนกลไกของมนุษย์ขัดขวางการร่วมรักระหว่างโจไซอากับเอเดน จึงต้องหยุดพักบ้าง แต่เมื่อแซ็กคารีคือซาตาน จึงไม่มีอะไรขัดขวางทั้งคู่อีกต่อไป ดังเช่นตลอดทั้งวันที่ทั้งสองต่างร่วมรักกันอย่างยาวนานเพื่อระบายความคิดถึง และเพื่อแสดงความรักผ่านภาษากาย ความเหน็ดเหนื่อยแสดงออกมาช้าลงจากเดิมมาก
แซ็กคารียกยิ้ม คว้าเอวของเทพเลื่อนมือบีบขยำเนื้อนิ่มที่บั้นท้ายแล้วกดจูบริมฝีปากสีแดงสด ก่อนจะจับต้นขาสองข้างให้แยกออกจากกันขึ้นมาเกี่ยวเอวของเขาเอาไว้จนร่างเพรียวบางลอยขึ้นมาเกาะตัวเขาแทน
“คงชอบเลยใช่ไหมละครับ”
ดวงตาสีเฮเซลมองเทพเพื่อหยอกล้อ เทพแห่งการร่วมประเวณีพยักหน้าหนักแน่นไร้ความเขินอายแล้วหัวเราะเสียงแ่เบาพร้อม ๆ กัน
จากนั้นจึงเริ่มจูบอีกครั้ง จนความกระสันทะยานอยากพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
สิ่งเดียวที่เข้ามาขัดขวางการร่วมรักของโจไซอาและแซ็กคารี คือความหิวของซาตาน ร่างกายของุ์เผ่าพันธุ์นี้ไม่จำเป็ต้องกินวันละสามมื้อเหมือนมนุษย์ แต่้าเพียงแค่มื้อใหญ่หนึ่งมื้อในสามหรือสี่วัน หรืออาจเพียงสัปดาห์ละหนึ่งครั้งเท่านั้น และซาตานนามว่าแซ็กคารีทั้งเดินทางไกลไปเกาะลึกลับ ทั้งต่อสู้กับเหล่าภูต แล้วยังไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ร่างกายจึงเริ่มประท้วงจนโจไซอาต้องเรียกพวกภูตบริวารให้มาเตรียมอาหารให้
ทั้งสองรีบอาบน้ำด้วยกันก่อนเหล่าภูตมาถึง และจับจูงมือกันมานอนเล่นที่โซฟาพร้อมผ้าห่มหนึ่งผืน ร่างกายของทั้งคู่ไม่เคยห่างกันเกินหนึ่งนาทีด้วยความโหยหาััราวชดเชยกว่าร้อยปีที่ต้องแยกจากกันไป
“เอเดน… ไม่สิ แซ็ก”
เทพนั่งเอนหลังพิงอกของซาตาน หันหน้าเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคยชินแต่เมื่อเห็นเส้นผมสีขาวช่วยเตือนสติจึงรีบเปลี่ยนไปเรียกชื่อใหม่ โจไซอายังสับสนไม่รู้ว่าควรเรียกชายผู้เป็ที่รักอย่างไร ในขณะที่แซ็กคารีเรียกโจไซอาว่าโจ หรือคุณเช่นเดิม มีบางครั้งที่เรียกว่าท่านเป็การยกย่อง
“ครับ”
“ฉันควรเรียกเธอว่าอะไรดี”
แซ็กคารีที่เล่นนิ้วมือเรียวของเทพอยู่ใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยตอบ
“ผมอยากให้เรียกว่าแซ็กมากกว่า เอเดนมันเป็ไอ้ทึ่ม” โจไซอาหัวเราะเสียงหวาน เอ็นดูคำตอบของซาตานหนุ่ม
“แต่น่ารักนะ” นิ้วเรียวเกาปลายคางของแซ็กคารีราวเห็นเป็สุนัขตัวโต
“แซ็กคารีไม่น่ารักเหรอครับ”
“น่ารักอยู่แล้วสิ” เทพจุมพิตริมฝีปากบางจนเกิดเสียงน่าเอ็นดูหลังเอ่ยจบ มองแซ็กคารีด้วยดวงตาออดอ้อนแล้วได้รับการฟัดหอมไม่ยั้ง
“โจ”
“หืม”
“เื่คำสาปตระกูลกริฟฟิน ตอนนี้หายไปหมดแล้วใช่ไหมครับ” ความกังวลเป็ประกายในแววตาและน้ำเสียงของแซ็กคารี
“มันจะค่อย ๆ หายไป พวกเขาจะไม่ต้องโชคร้ายอีกแล้ว” โจไซอาทิ้งน้ำหนักพิงหลังแซ็กคารี วางมือที่ข้างแก้มแล้วลูบแ่เบาปลอบใจ
“ไปหาพวกเขากับผมได้ไหมครับ”
“ได้สิ ฉันจะไป”
หลังแซ็กคารีกินมื้ออาหารชุดใหญ่ที่ยังทำให้โจไซอาใไม่หายเรียบร้อย ทั้งสองสวมเสื้อโค้ตกันหนาวคลุมทับเสื้อคอเต่าไหมพรม เดินทางเข้าไปในกำแพงสูงที่มนุษย์ยุคนี้กระจุกตัวอาศัยรวมกัน แซ็กคารีนำทางอย่างคล่องแคล่วไปที่ชุมชมเล็กชั้นล่างสุดของกำแพงใกล้กับรางรถไฟขนส่งสินค้า
กระท่อมสร้างด้วยไม้เก่า ๆ มีร่องรอยผุพังตั้งเรียงราย ดูไม่ควรเป็ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ แต่ผู้คนที่นี่ไม่มีทางเลือกอื่นอีก แซ็กคารีเคาะประตูสามครั้ง แล้วถอยออกมายืนกุมมืออย่างนอบน้อมข้าง ๆ โจไซอา เพียงไม่นานเสียงฝีเท้าจากในกระท่อมดังขึ้น ประตูเปิดออกด้วยฝีมือของชายที่ดูแก่กว่าวัยเพราะทำงานหนัก
“สวัสดีครับ พวกเราเป็เ้าหน้าที่จากมูลนิธิเด็กยากไร้ครับ” ชายผู้นั้นขมวดคิ้วท่าทางไม่น่าไว้ใจ
“คือมูลนิธิของพวกเรา—”
“พวกเขามาเหรอ!”
แซ็กคารียังไม่ได้อธิบายอะไรต่อให้จบประโยค น้ำเสียงดีอกดีใจตื่นเต้นดังขึ้นแทรกเสียก่อน พร้อมกับมาร์ธา กริฟฟินที่รีบยื่นหน้าออกมานอกประตูเพื่อดูให้แน่ใจว่าเธอได้ยินถูก แววตาของเธอสบมองแซ็กคารี ซึ่งมีใบหน้าเหมือนกับเอเดน กริฟฟินทุกประการ ต่างเพียงแค่สีผมเท่านั้น แต่เธอย่อมจำทวดของทวดของตนเองไม่ได้ เพราะไม่เคยเจอหน้าหรือเห็นรูปภาพมาก่อน
“พวกเรารับ่ต่อจากลิลลี่ครับ” เมื่อได้ยินชื่อลิลลี่ หรือหญิงสาวที่แซ็กคารีแปลงกายมาหา มาร์ธาจึงยิ้มกว้าง และเปิดประตูต้อนรับทั้งสองด้วยความยินดี
“ทำไม…” โจไซอามองสำรวจด้านในกระท่อมเล็ก แทบไม่มีข้าวของเครื่องใช้อยู่เลย ทุกอย่างวางกองกันอยู่มุมผนังฝั่งหนึ่งราวรอคอยการขนย้าย
“คุณจะย้ายออกจากที่นี่เหรอครับ”
เมื่อแซ็กคารีเอ่ยถาม แววตาตื่นเต้นของมาร์ธาจึงฉายความเศร้า เธอเดินไปอุ้มหนูน้อยแมรี่ออกจากเปลที่แซ็กคารีมอบให้ แล้วส่งสายตาหาสามีให้บอกความจริงกับแขกทั้งสอง สามียังคงมองแซ็กคารีกับโจไซอาด้วยความไม่ไว้ใจ แต่เมื่อภรรยาเอ่ยยืนยันว่าทั้งคู่มาดี ผู้เป็สามีจึงเดินไปหยิบกระดาษสีขาวส่งให้แซ็กคารีเป็คำตอบ
“คำสั่งย้ายเหรอครับ”
เป็จดหมายคำเตือนครั้งสุดท้ายจากรัฐบาล ว่าให้ทุกคนที่อาศัยอย่างผิดกฎหมายที่นี่ย้ายออกภายในเดือนแรกของปี เพราะจะมีการปรับปรุงรางรถไฟขนส่งสินค้าและพื้นที่ชั้นล่างสุดของกำแพง ซึ่งหากพวกเขาไม่ย้ายออกตามเวลา กระท่อมของพวกเขาจะถูกทำลาย
“พวกคุณมีที่อยู่ใหม่แล้วเหรอ” โจไซอาถามอย่างร้อนรนพอ ๆ กับแซ็กคารี
“ไม่มีหรอกค่ะ แม้แต่พวกวัดหรือสถานพักพิงก็ไม่ให้เราไปอยู่ เพราะรัฐเตือนเราหลายครั้งแล้วแต่เราไม่ย้าย ทุกคนคิดว่าเราเป็พวกนอกรีต”
แซ็กคารีพรูลมหายใจ จ้องมองตัวอักษรภาษาของมนุษย์ในจดหมายเตือน เลื่อนสายตามองตราประทับสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่หลอกลวงประชาชนทุกคนในกำแพงสูง ด้วยการอนุญาตให้มีการลักลอบซื้อขายที่ดินนอกกำแพง แต่กลับไล่ที่คนยากจนชั้นล่างสุดโดยไม่มีที่อยู่อาศัยรองรับ และไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลย
ซาตานโกรธจัด จนแทบขยำกระดาษแผ่นนั้นทิ้ง เขาจึงรีบส่งคืนชายผู้เป็สามีของมาร์ธา กริฟฟิน
“พวกบ้านี่มัน”
เสียงสบถดังขึ้นจากเทพข้างกาย โจไซอาตอนนี้ดูโกรธจัดยิ่งกว่าและแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ แซ็กคารีรีบคว้าข้อมือของเทพเอาไว้เพื่อไม่ให้เผลอแสดงพลังอำนาจออกมา
“โจ” เขาเอ่ยกระซิบเรียก และส่ายหน้าเล็ก ๆ ให้อีกฝ่ายรับรู้
“พวกเราคิดว่าจะหนีออกไปอยู่นอกกำแพง แต่เดี๋ยวนี้ที่ชายแดนคุมเข้มงวดกว่าเดิม พวกเราคงเข้า ๆ ออก ๆ ลำบาก อีกอย่าง แมรี่ก็ยังต้องดื่มนมผง ฉันเป็ห่วงลูก”
“เราจะหาที่อยู่ให้พวกคุณครับ ผมสัญญา”
แซ็กคารีเอ่ยหนักแน่นแม้หนทางยังมืดบอด การหาที่อยู่ในกำแพงสูงแห่งนี้ไม่ใช่เื่ง่าย หากพูดถึงเื่เงินมนุษย์ แซ็กคารีพอมีอยู่จำนวนหนึ่งที่โจไซอาให้มา แต่ยากที่จะย้ายพวกเขาไปอยู่ที่ที่ดีกว่านี้โดยที่ไม่มีมนุษย์สงสัย
ทั้งสองเดินออกจากกระท่อมหลังเล็ก หามุมปลอดผู้คนและกล้องวงจรปิดเพื่อใช้พลังอำนาจของโจไซอาในการหายตัวกลับบ้านของทั้งคู่ แซ็กคารีทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ยกมือสองข้างกุมขมับอย่างคิดหนักทันทีที่มาถึง โจไซอาจึงรีบเข้าไปนั่งข้าง ๆ
“แซ็ก เครียดเหรอ”
“ทำไมพวกเขายังโชคร้ายอยู่เลย”
แซ็กคารีกังวลจนคิ้วหนาแทบชนกัน โจไซอาถอนหายใจเพราะเขาเองก็ไม่รู้คำตอบเื่คำสาปที่เขาไม่อาจควบคุมมันได้ เกิดความรู้สึกหงุดหงิดอยากโทษตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง แต่เพียงแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น ความคิดบางอย่างได้วิ่งเข้ามาแทนที่
“ไม่ พวกเขาไม่ได้โชคร้ายแล้ว” โจไซอาเอ่ยเสียงกระตือรือร้น
“พวกเขามีเธอคอยช่วยอยู่ไงแซ็ก เธอคือความโชคดีของพวกเขานะ”
“แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าจะช่วยพวกเขาได้ยังไง”
“เธอมีฉันนะแซ็ก” มือเรียวประสานกับมือใหญ่แน่น
“เราพาพวกเขาออกมาอยู่นอกกำแพงถาวรเลยเถอะ เื่อาหารการกินหรือความเป็อยู่ ฉันจะให้พวกภูตคอยดูแล”
“ถ้าพวกเขาสงสัยล่ะ มันผิดกฎเทพนะครับ ท่านอาจถูกพิจารณาโทษ”
“ในเมื่อเรามีเหตุผลว่าจะช่วยพวกเขา พวกเทพอารักษ์ไม่ตัดสินให้ลงโทษฉันหรอก เราไม่ได้จะช่วยแค่ครอบครัวกริฟฟิน แต่เราจะช่วยทุกคนออกมาจากที่นั่นเลยนะ แบบที่เธออยากทำไง”
แซ็กคารีเริ่มคล้อยตาม พร้อมความโล่งใจค่อย ๆ ตามมาราวมองเห็นทางออกอยู่ข้างหน้า เมื่อเขามีโจไซอาอยู่เคียงข้าง เื่ทุกอย่างจะง่ายดายเสมอ
“ขอบคุณนะครับ ถ้าท่านต้องเข้าพิจารณาคดีจริง ๆ ผมจะขอให้ทั้งเผ่าซาตานมาเป็พยานให้เอง”
“ฮ่า ๆๆ ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก” คำพูดของแซ็กคารีดูคล้ายการพูดเล่น แต่เขาเห็นแววตาจริงจัง พยานที่ช่วยให้โจไซอาพ้นโทษจากการผิดกฎเทพนั้นไม่จำเป็เลย เพราะพวกเทพอารักษ์กฎโง่กว่าที่คิด
“ตอนที่ฉันเคยเข้าพิจารณาโทษแค่ร้องห่มร้องไห้ ว่าสงสารเธออย่างนั้นอย่างนี้เลยสะกดจิตเพื่อช่วยเธอ พวกเทพก็เชื่อแล้ว ฉันรอดมาได้สบาย ๆ เลย แค่ถูกจับตามองเท่านั้นเอง”
เวลากว่าร้อยปีที่ผ่านมา ย่อมทำให้เทพหลงลืมหลายเื่ราว โจไซอาเผลอพูดเื่ที่เขาเก็บเป็ความลับมาตลอด ว่าตนเองทำผิดกฎเทพเพื่อช่วยเอเดนออกจากกรงขังของครอบครัว
“ท่านเคยเหรอครับ…” แซ็กคารีบัดนี้ไม่ใช่มนุษย์ไร้เดียงสาเื่กฎเทพอีกต่อไปแล้ว เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับกฎเทพั้แ่เด็ก และท่องได้ทุกข้อที่ผ่านตา
“ท่านสะกดจิตพ่อแม่ของผมนี่ ท่านเคยทำผิดกฎเทพ โทษจำคุกเทพและห้ามเดินทางผ่านประตูเชื่อมโลก” โจไซอากะพริบตาปริบ ๆ เพิ่งระลึกได้ว่าเผลอพูดอะไรออกไป
“ท่านไม่เคยบอกผมเลยว่าต้องเข้าพิจารณาโทษเพราะผม”
“เอ่อ… เรารีบไปหาที่อยู่ให้พวกเขากันดีไหม”
เทพเปลี่ยนเื่ด้วยนิสัยโกหกใครไม่เก่ง โจไซอาลุกขึ้นเดินไปที่ประตูเพื่อหนีสายตาจ้องจับผิดของซาตาน
“ท่านเทพโจไซอา”
แซ็กคารีเรียกเขาเสียเต็มยศ เน้นย้ำทุกคำด้วยเสียงแข็งดุดัน เขาจึงต้องหยุดเดินหนี แล้วใช้ลูกอ้อนเอ่ยเรียกแซ็กคารีเสียงหวาน
“ที่รัก”
tbc.
#เฮเซลอาย
