“หลงจู๊ ไม่แปลกใจเลยที่ร้านของท่านขายดีขนาดนี้ แค่ลอกหนังสือก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ทั้งน้ำชา ทั้งขนมหวาน” อวิ๋นฉี่ซานกินขนมถั่วกวนสลับกับจิบชาอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะเอ่ยชมด้วยความพึงพอใจ
อวิ๋นเจียวก้มหน้าจิบชา ในใจคิดว่าพี่รองของนางช่างไร้เดียงสา พี่ใหญ่โกหกชัดๆ
“ฮ่าๆ ร้านของเรายึดมั่นในความซื่อสัตย์ ยึดถือลูกค้าเป็หลัก คำนึงถึงความรู้สึกของลูกค้าเป็สำคัญ” หลงจู๊จูยิ้มแห้งๆ เขาจะพูดอะไรได้อีกล่ะ? หากต้องต้อนรับขับสู้ลูกค้าทุกคนอย่างเลิศหรูเช่นนี้ ร้านของเขาก็คงขาดทุนย่อยยับเป็แน่!
กล่าวจบเขาก็มองอวิ๋นฉี่เยว่อย่างพิจารณา เด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปีเช่นนี้ คงไม่ใช่ท่านอาจารย์หลานหลิงตัวจริงเป็แน่
แต่ไม่เป็ไร เขาเคยได้ยินมาว่าที่ร้านหนังสือในเมืองหลวง ตอนแรกๆ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็คนนำต้นฉบับของท่านอาจารย์หลานหลิงมาขายที่ร้าน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเด็กหนุ่มที่ดูไร้เดียงสาตรงหน้าเขามีโอกาสเป็ตัวแทนของท่านอาจารย์หลานหลิงถึงแปดเก้าส่วน! แบบนี้ก็ไม่เลวท่านอาจารย์หลานหลิงไม่ได้ออกผลงานใหม่มานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะส่งผลงานมาที่ร้านสาขาย่อยในอำเภอเล็กๆ เช่นนี้ เหมือนโชคหล่นทับจริงๆ!
เมื่อนึกถึงคำชมเชยและรางวัลที่จะได้รับในอนาคต มุมปากของหลงจู๊จูก็พลันยกยิ้มกว้างจนหุบไม่อยู่
“คุณชายน้อย ร้านของเรายังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่้าให้คนลอก ไม่ทราบว่าท่านสะดวกไปดูสักหน่อยหรือไม่?” ดูเหมือนหลงจู๊จูจะมองออกว่าอวิ๋นฉี่เยว่ไม่้าพูดอะไรมากต่อหน้าน้องๆ เขาจึงเชิญอวิ๋นฉี่เยว่ออกจากห้องรับรองและเปลี่ยนเป็ห้องอื่นเพื่อพูดคุยกันตามลำพัง
อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้มรับ “ได้สิ!” เขาวางถ้วยชาลง แล้วหันไปพูดกับอวิ๋นเจียวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจียวเอ๋อร์ เ้ากับอาซานนั่งดื่มชาที่นี่ก่อน ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวก็กลับ”
“เ้าค่ะ!” อวิ๋นเจียวพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วจนเหมือนลูกไก่จิกข้าวเปลือก บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มหวานละมุน แต่ในใจกลับตื่นเต้นเล็กน้อยที่ได้รู้ความลับของพี่ชาย
เมื่อเปลี่ยนสถานที่ หลงจู๊จูก็สั่งให้ลูกจ้างยกชาชุดใหม่เข้ามารับรอง แต่อวิ๋นฉี่เยว่กลับโบกมือปฏิเสธ “หลงจู๊ไม่ต้องเกรงใจ ทำตามกฎของร้านหนังสือสาขาในเมืองหลวงเถิด จ่ายเงินให้ข้าเลยก็พอแล้ว”
หลงจู๊จูพยักหน้ารับ รีบหยิบตั๋วเงินสามฉบับออกมาจากอกเสื้อ ฉบับละหนึ่งร้อยตำลึงเงินสองฉบับ และห้าสิบตำลึงเงินอีกหนึ่งฉบับ อวิ๋นฉี่เยว่รับเงินมา แล้วหันหลังกลับทันที
หลงจู๊จูเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าคุณชายแซ่อะไร? แล้วท่านอาจารย์หลานหลิงมีอะไรฝากมาบอกเกี่ยวกับเื่หนังสือเล่มต่อไปหรือไม่?”
หนังสือของท่านอาจารย์หลานหลิงขายดิบขายดีมาก ช่วยทำกำไรให้ร้านหนังสือของพวกเขาได้มหาศาล แต่ท่านอาจารย์หลานหลิงผู้นี้ดูเหมือนจะเป็คนี้เีอยู่บ้าง ผลงานที่เผยแพร่ออกมามีไม่มากนัก
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ย “ข้าแซ่อวิ๋น ตอนข้าออกจากเมืองหลวงก็เคยถามคำถามนี้กับท่านอาจารย์แล้ว ท่านอาจารย์บอกว่า... หากเขาไม่มีเงินเมื่อไหร่จะมาหาร้านหนังสือของท่านเอง” รอให้เขาสอบเป็บัณฑิตซิ่วไฉเมื่อไร เขาจะเปิดร้านหนังสือและออกหนังสือเอง
เอาเถอะ ที่แท้ก็ถามไปก็เท่านั้น ความตื่นเต้นในใจของหลงจู๊จูพลันมลายหายไปกว่าครึ่ง
อวิ๋นฉี่เยว่มองหลงจู๊จูอย่างเฉยเมย ก่อนจะเอ่ยถาม “จริงสิ มีเื่หนึ่งอยากจะรบกวนสอบถามหลงจู๊หน่อย”
หลงจู๊จูรู้สึกตัว รีบถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าคุณชายอวิ๋น้าถามเื่อะไรหรือ?” แน่นอนว่าเขาต้องเอาใจคนที่เป็ตัวแทนของท่านอาจารย์หลานหลิงให้ดี หวังว่าอีกฝ่ายจะนึกถึงเขาบ้าง เผื่อว่าท่านอาจารย์หลานหลิงจะมีผลงานใหม่ออกมาอีก...
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ย “ข้าเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่าในอำเภอนี้มีร้านขายเครื่องหอมร้านไหนดีๆ บ้าง?”
“ร้านฝูหรงเซวียนเป็ร้านขายเครื่องหอมที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอนี้ เ้าของร้านเป็คนเดียวกันกับร้านหนังสือของพวกเรา ท่านวางใจได้ สินค้าของร้านฝูหรงเซวียนล้วนมีคุณภาพดีเยี่ยม เป็สินค้าที่ดีที่สุดในอำเภอนี้ เดี๋ยวข้าให้คนไปกับพวกท่าน แล้วบอกหลงจู๊ที่นั่นให้ลดราคาให้พวกท่านเอง”
อวิ๋นฉี่เยว่ปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่ต้องลำบากแล้ว พวกข้ายังมีธุระที่อื่น เสร็จธุระแล้วค่อยแวะไป” กล่าวจบก็หันหลังเดินออกไป หลงจู๊จูยิ้มร่าเดินตามหลังส่งเขาออกไป
หลังจากจิบชาอุ่นๆ อวิ๋นเจียวก็รู้สึกดีขึ้นมาก เมื่อถามทางไปร้านฝูหรงเซวียนแล้ว พี่น้องทั้งสามคนก็เดินออกจากร้านหนังสือ มุ่งหน้าไปยังร้านฝูหรงเซวียนอย่างไม่เร่งรีบ
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่ต้องไปดูร้านขายเครื่องหอมร้านอื่นๆ ก่อนหรือ?” อวิ๋นเจียวรู้สึกแปลกใจ การซื้อของต้องเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ ร้าน แล้วการขายของไม่จำเป็ต้องเปรียบเทียบราคาหรือ?
อวิ๋นฉี่เยว่อธิบาย “ไม่จำเป็หรอก ตราบใดที่สินค้าดีและหายาก ก็ไม่จำเป็ต้องนำไปขายเร่หรอก แค่เลือกร้านที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือก็พอแล้ว”
พูดตามตรง แม้ว่าอวิ๋นเจียวจะมีจิติญญาของหญิงสาววัยยี่สิบกว่าปีจากโลกยุคปัจจุบัน แต่นางเป็แค่พนักงานออฟฟิศ ไม่เคยทำการค้าขายมาก่อน จึงไม่ค่อยเข้าใจเื่ราวซับซ้อนในเื่นี้นัก
อวิ๋นฉี่เยว่เห็นนางดูไม่ค่อยเข้าใจ จึงเอ่ยอธิบายว่า “เอาเป็ว่าสูตรอยู่ในมือพวกเรา สินค้าจะมีมูลค่าเท่าใด พวกเราเป็คนกำหนด ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องไปเปรียบเทียบกับที่อื่น”
อวิ๋นเจียวได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันที นี่มันก็คือการผูกขาดในตำนานนี่นา! ในยุคปัจจุบันเื่แบบนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไป สินค้าที่ไม่มีใครเหมือน ย่อมเป็ผู้ขายที่เป็คนกำหนดราคา
อวิ๋นฉี่ซานเอ่ย “เจียวเอ๋อร์ ฟังพี่ใหญ่เถอะถูกต้องที่สุดแล้ว ส่วนเหตุผลพวกเราก็ไม่ต้องเปลืองสมองคิดให้ปวดหัวหรอก”
อวิ๋นฉี่เยว่ได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามองอวิ๋นฉี่ซานด้วยสายตาคมกริบ
“อืม พี่รองพูดถูก ออกไปข้างนอกกับพี่ใหญ่ พวกเราไม่ต้องใช้สมองก็ได้!”
อวิ๋นฉี่เยว่จูงมืออวิ๋นเจียว สายตาที่มองนางอ่อนโยนลง “เจียวเอ๋อร์ของพวกเราแค่อยู่สวยๆ ก็พอ เื่หาเงินเลี้ยงครอบครัวปล่อยให้พี่ใหญ่จัดการเอง”
อวิ๋นฉี่ซานเกาหัวอย่างขัดใจเล็กน้อย ทำไมตอนเจียวเอ๋อร์พูดว่าไม่ต้องใช้สมองพี่ใหญ่ถึงได้อ่อนโยนเช่นนี้ แต่พอเขาพูดบ้างพี่ใหญ่กลับมองเขาด้วยสายตาอาฆาต?
เพื่อไม่ให้น้อยหน้าอวิ๋นฉี่เยว่ เขาก็รีบตบหน้าอกแล้วพูดว่า “ข้าก็หาเงินเลี้ยงครอบครัวได้นะ!”
อวิ๋นเจียวถูกพี่ชายทั้งสองคนหยอกล้อจนอารมณ์ดี จึงหัวเราะออกมาพลางพยักหน้ารับ “ได้สิ ต่อไปนี้ข้าจะอยู่สวยๆ ก็พอ!”
พี่น้องทั้งสามคนพูดคุยกันอย่างร่าเริง ไม่นานก็มาถึงร้านฝูหรงเซวียน พวกเขาเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปในร้านฝูหรงเซวียน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปทางประตูหลังอย่างลับๆ
หากอวิ๋นเจียวอยู่ที่นั่น นางต้องจำได้แน่ว่าในบรรดาคนที่แอบเข้าไปในร้านฝูหรงเซวียนนั้นมี ‘ฉู่อี้’ รวมอยู่ด้วย
หลังจากเดินทางอย่างยากลำบากมาตลอดทาง ใบหน้าของฉู่อี้ยิ่งซีดเซียวลง หลิวจ้านวางฉู่อี้ลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง เสื้อผ้าของฉู่อี้มีรอยเืซึมออกมาอีกแล้ว ดูเหมือนว่าการเดินทางในครั้งนี้ จะทำให้าแของฉู่อี้ฉีกขาด
สตรีวัยกลางคนรูปร่างหน้าตางดงาม คำนับฉู่อี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ทำแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง หลังจากตรวจชีพจรของฉู่อี้อย่างละเอียดแล้ว ก็รีบเขียนเทียบยาให้หลิวจ้าน แล้วให้เขาไปซื้อยาโดยด่วน
“อวิ๋นเหนียง เ้าดูออกไหมว่ายานี่คือยาอะไร?” ฉู่อี้พิงศีรษะกับหัวเตียง หยิบยาเม็ดออกมาจากอกเสื้อยื่นให้สตรีวัยกลางคน
สตรีวัยกลางคนรับมาด้วยความนอบน้อม ดวงตาฉายแววฉงน นางส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เคยเห็นยาเม็ดเช่นนี้มาก่อนเ้าค่ะ แต่บ่าวกล้ารับรองว่ายานี้ไม่ได้มาจากฝีมือของนักพรตหรือหมอแห่งแคว้นต้าเยี่ยแน่นอน”
กล่าวจบก็มองฉู่อี้ด้วยความเคารพ รอจนกระทั่งฉู่อี้พยักหน้า นางจึงค่อยๆ แกะเม็ดยาออกและเทผงยาลงบนฝ่ามือเล็กน้อย
อวิ๋นเหนียงเป็ทายาทเพียงคนเดียวของเทพโอสถซุนเหมี่ยว ฉู่อี้รู้ดีว่าถ้านางบอกว่าในแคว้นต้าเยี่ยไม่มียาเม็ดเช่นนี้ แสดงว่าเป็เื่จริง
ยาสมานแผลชั้นดี วิธีการรักษาาแที่ชำนาญ ทั้งยังช่วยชีวิตเขาไว้ แถมยังไม่แจ้งทางการ ไม่ซักถามที่มาที่ไปของเขา... ดวงตาของฉู่อี้หรี่ลงเล็กน้อย แววตาฉงนฉายแววครุ่นคิด ครอบครัวนี้ไม่เหมือนครอบครัวชาวบ้านในหุบเขาธรรมดาทั่วไปเลย
“จางหลิง ไปสืบมา...”