ถึงแม้หมี่หลันเยว่จะเรียกแม่เจิ้งว่าแม่บุญธรรมแล้ว แต่แม่เจิ้งกลับอยากจัดพิธีให้มันดูยิ่งใหญ่สมเกียรติสักหน่อย ลูกสาวบุญธรรมคนนี้เป็คนที่เธออยากรับมาด้วยใจจริง แม้จุดเริ่มต้นของความคิดจะมาจากลูกชาย แต่หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์มา่หนึ่ง หมี่หลันเยว่ก็ก้าวเข้ามาอยู่ในใจของแม่เจิ้งอย่างมั่นคงแล้ว
เธอเพิ่งจะอยู่ร่วมกับหมี่หลันเยว่เดือนกว่าๆ เท่านั้น แต่ความสามารถและคุณธรรมที่เด็กสาวแสดงออกมานั้น แม่เจิ้งยกนิ้วให้เลย เพราะด้วยฐานะและตำแหน่งของตน เธอได้พบปะผู้คนมามากมายหลากหลายรูปแบบ แต่คนที่สามารถทำให้หัวใจของเธอสั่นคลอนได้เร็วขนาดนี้ หมี่หลันเยว่คือคนแรก
“หลันเยว่ อีกไม่กี่วันพวกลูกก็จะเปิดเทอมแล้ว แม่อยากให้พวกเรากินข้าวพร้อมหน้ากันที่บ้านก่อนเปิดเทอม จัดพิธีง่ายๆ สักหน่อย ให้เื่นี้เป็ทางการไปเลย หลังจากนี้ ลูกจะเป็คนในครอบครัวเราอย่างเต็มตัว เหยาเหยาก็จะไม่ใช่แค่ครูของลูกแล้วนะ ต่อไปเขาจะเป็พี่ชายของลูก มีอะไรก็ใช้เขาได้เต็มที่เลยนะลูก”
แม่เจิ้งจงใจพูดถึงลูกชายออกมา พร้อมกับสังเกตปฏิกิริยาของหมี่หลันเยว่อย่างละเอียด
“คุณแม่คะ ดูแม่พูดเข้าสิคะ อาจารย์เจิ้งช่วยพวกหนูไว้เยอะแล้ว หนูจะไปใช้เขาอะไรได้อีกคะ แม่ไม่เห็นเหรอคะว่าพวกหนูมีอะไร อาจารย์เจิ้งก็รีบมาช่วยโดยที่หนูยังไม่ต้องพูดออกมาเลย”
หมี่หลันเยว่รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่งกับความช่วยเหลือที่เจิ้งซวี่เหยามอบให้ เธอไม่ใช่คนเนรคุณ เธอจะจดจำบุญคุณเหล่านี้ไว้ในใจ รอจนกว่าจะมีโอกาสในภายหลัง แล้วค่อยๆ ทดแทนคืนไปทีละเล็กละน้อย เหมือนอย่างตอนนี้ที่พอรู้ว่าเจิ้งซวี่เหยาจะเริ่มมองหาที่ตั้งสำนักงาน เธอก็รีบรุดหน้ามาสอบถามทันที
“ดูสิ ยังจะเรียกอาจารย์เจิ้งอะไรกันอีก ต้องเรียกว่าพี่ใหญ่สิลูก ต่อไปนะ เหยาเหยาคือพี่ชายแท้ๆ ของลูกเลยนะ ถ้าเขาบังอาจทำอะไรให้หนูไม่พอใจ บอกแม่ได้เลยนะ เดี๋ยวแม่จะจัดการเขาเอง”
แม่เจิ้งรีบปูทางให้ลูกชาย เพราะนี่คือความตั้งใจของลูกชาย ตอนนี้เธอทำให้ลูกชายได้สมหวัง ก็จะทำให้ลูกชายสบายใจขึ้น
“ค่ะ หนูยังไม่ชิน เดี๋ยวหนูค่อยๆ เปลี่ยนไปเรียกเองค่ะ”
หมี่หลันเยว่รู้สึกสนิทสนมกับแม่เจิ้งจากใจจริง ั้แ่มาถึงเมืองหลวงปักกิ่ง ครอบครัวเจิ้งก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอไม่น้อย ถึงแม้พวกเขาจะเป็แค่สะพานทอดทาง แต่แค่นี้ก็ยากเย็นมากแล้ว
ใครจะอยากหาเื่ใส่ตัวโดยไม่มีเหตุผล ต้องบอกว่าคนในครอบครัวเจิ้งใจดีกันทั้งนั้น เห็นหลันเยว่และคนอื่นๆ อายุยังน้อย ก็ช่วยเหลือด้วยใจจริง แต่ก็เพราะความใจดีของครอบครัวเจิ้งนี่เอง หมี่หลันเยว่จึงสามารถก้าวเข้าไปอยู่ในใจของคนในครอบครัวเจิ้งได้อย่างรวดเร็ว
ต้องรู้ว่าความจริงใจนั้นต้องแลกเปลี่ยนกัน เมื่อคนอื่นหยิบยื่นให้ เราก็คงไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ เพราะมีการปฏิสัมพันธ์กัน สองครอบครัวจึงใกล้ชิดกันมากขึ้น เมื่อคนในครอบครัวเจิ้งให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ หมี่หลันเยว่ก็มองว่าคนในครอบครัวเจิ้งเป็ญาติไปโดยปริยาย ความคิดที่จะรักษาระยะห่างในตอนแรกได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว
หมี่หลันเยว่คิดแต่ว่า ต่อไปจะต้องดูแลเอาใจใส่คนในครอบครัวเจิ้งให้ดี พวกเขาอุตส่าห์ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอในสถานการณ์ที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันเลยสักนิด ครอบครัวนี้สมควรที่จะได้รับความจริงใจจากเธอแต่เพียงผู้เดียว ความคิดที่ว่าครอบครัวแบบนี้ต้องเ็าและหยิ่งยโสล้วนเป็ความคิดที่ไร้เดียงสาซึ่งได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
“ดีๆ ต่อไปหนูก็เป็ลูกสาวของแม่แล้วนะ ไม่ใช่คนนอกคนไกลอะไรอีกแล้ว มีเื่อะไรก็ห้ามปิดบังแม่บุญธรรมนะลูก คนในครอบครัวเดียวกัน ถ้าช่วยอะไรลูกได้ พวกเราก็ยินดีทั้งนั้น อย่างตอนที่หนูไปสั่งซื้อเครื่องจักร ถ้าบอกพวกเราก่อนล่วงหน้า จะต้องไปเจอเื่แบบนั้นได้ยังไง”
พอคิดถึงเื่ที่เกือบจะเกิดขึ้นตอนซื้อเครื่องจักร แม่เจิ้งก็รู้สึกสงสารหมี่หลันเยว่ เด็กสาววัยสิบห้าปีคนเดียว เดินทางมาบุกเบิกที่ปักกิ่งด้วยมือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเื่ที่ไม่อาจแก้ไขได้ขึ้นมา จะทำยังไงกัน
“โชคดีที่พี่ใหญ่ของลูกไปช่วยที่บ้านสี่ประสานในวันนั้น แล้วบังเอิญว่าที่นั่นเกี่ยวข้องกับเลขาพานอีกด้วย ลูกคิดดูสิว่าถ้าเป็ตัวลูกเอง จะอันตรายขนาดไหน”
แม่เจิ้งจับมือของหมี่หลันเยว่ ลูบหลังมือของเด็กสาวด้วยความเป็ห่วงอย่างมาก
“คุณแม่คะ นี่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วนี่คะ ต่อไปหนูจะระวังค่ะ”
ถึงแม้จะสนิทกับครอบครัวเจิ้งมากแค่ไหน หมี่หลันเยว่ก็ยังอยากที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความสามารถของตนเอง การพึ่งพาพลังของคนอื่นไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืน
ตราบใดที่เธอก้าวเดินอย่างมั่นคง เธอเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้ ส่วนอุปสรรคและอันตรายที่เจอในกระบวนการนั้นก็เป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว คนเราจะราบรื่นสมหวังไปตลอดได้ยังไง
หมี่หลันเยว่เตรียมใจมาั้แ่เริ่มทำธุรกิจแล้ว ดังนั้นไม่ว่าเจออะไร เธอก็จะไม่ตื่นตระหนก มีอะไรก็แก้ไขไป แก้ไขไม่ได้ก็เสียเงินไป ถือซะว่าซื้อบทเรียน จะถึงกับทำให้เสียหลักไม่ได้ ชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่ผ่านไปไม่ได้ หมี่หลันเยว่ไม่กลัวอุปสรรค กลัวแต่ไม่หนักแน่น
“หลันเยว่ อย่าไม่ใส่ใจคำพูดของแม่นะ แม่รู้ว่าลูกเป็คนเข้มแข็ง มีอะไรก็อยากจะแบกรับไว้เอง แก้ไขเอง ถ้าไม่ใช่เพราะแม่กับเหยาเหยาอยากจะช่วยลูก ลูกไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพวกเราหรอก ที่จริงไม่ต้องเป็อย่างนั้นก็ได้ ชีวิตคนเรา เพื่อน ญาติพี่น้อง โชค เป็ทรัพยากรที่เราสะสมมาทั้งนั้น”
“อย่าใส่ใจสายตาคนอื่นมากนัก ทำตัวเองให้ดีก็พอ หนูเองก็เป็คนมีบุญ อย่าคิดว่าคนอื่นจะเดินตามทางของหนูได้แบบที่หนูทำสำเร็จ เพราะพวกเขาไม่มีบุญวาสนาเท่าหนู โชคบางอย่างพวกเขาอาจจะไม่มีวันเจอ แต่หนูเจอได้ หนูก็จะประสบความสำเร็จมากกว่าพวกเขา ดังนั้นต้องรู้จักรักษาไว้ อย่าปฏิเสธไปเสียทุกอย่าง”
คำพูดของแม่เจิ้งทำให้เส้นด้ายที่หมี่หลันเยว่ยึดมั่นที่จะปฏิเสธมาโดยตลอดนั้นถูกกระตุกจนดังขึ้น เธอพลันนึกถึงคำพูดหนึ่งที่มักจะได้ยินในการแข่งขันหลายๆ ครั้ง
‘โชคก็เป็ส่วนหนึ่งของความสามารถ’
การที่ตัวเองได้รู้จักกับเจิ้งซวี่เหยาบนรถไฟก็คือโชคของเธอ เขาเป็คนนำโชคดีมาให้เธอ ช่วยให้เธอสร้างธุรกิจในเมืองปักกิ่งที่ไม่คุ้นเคยได้อย่างราบรื่น สร้างรากฐานให้กับธุรกิจของเธอ ถึงแม้ธุรกิจของเธอในตอนนี้จะเป็เพียงแค่แบบจำลอง แต่หมี่หลันเยว่ก็มั่นใจว่าจะทำให้มันเจริญรุ่งเรืองได้
“แม่คะ พี่ใหญ่อยู่บ้านหรือเปล่าคะ หนูอยากจะถามเื่อะไรเขาหน่อยค่ะ”
พอคิดถึงเจิ้งซวี่เหยา หมี่หลันเยว่ก็นึกขึ้นมาได้ถึงธุระที่ตัวเองมาทำ เขาช่วยเธอไว้เยอะขนาดนี้แล้ว ในสถานการณ์ที่พอจะทำได้ เธอก็ต้องหาทางช่วยเหลือเขา ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็สนามของเขา แต่ใครจะบอกได้ว่าดาวนำโชคอย่างเธอจะไม่สามารถส่องแสงให้เขาได้
“อยู่ๆ เดี๋ยวแม่ไปเรียกเขาให้”
ในเมื่อเื่ที่ควรจะคุยกับหมี่หลันเยว่ก็ได้คุยกันหมดแล้ว พอได้ยินว่าลูกสาวบุญธรรมจะหาลูกชาย แม่เจิ้งก็รีบเดินไปยังห้องของลูกชายอย่างกระตือรือร้น
ไม่นานเจิ้งซวี่เหยาก็ปรากฏตัวต่อหน้าหมี่หลันเยว่
“หลันเยว่ มีอะไรหรือเปล่า”
พอเห็นผมที่ยังเปียกชื้นของเจิ้งซวี่เหยา ก็รู้ได้ว่าเขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ นั่นก็คือเขากำลังจะออกไปข้างนอก
“อาจารย์เจิ้ง…”
พอพูดคำนี้ออกมา หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาอย่างโดยตรง หมี่หลันเยว่ไม่ต้องมองก็รู้ว่าแม่เจิ้งกำลังเตือนเธออยู่
“พี่…พี่ใหญ่ ฉัน...ฉันมาก็เพราะอยากจะถามว่า ได้ยินว่าพี่กำลังหาที่ตั้งสำนักงาน พี่อยากได้แบบไหนเหรอคะ ่นี้พวกฉันก็จะออกไปเดินเล่นข้างนอกอยู่แล้ว จะได้ช่วยดูให้พี่ด้วย”
การเปลี่ยนคำพูดอย่างกะทันหันทำให้หมี่หลันเยว่ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ทำให้เธอติดๆ ขัดๆ ไปบ้าง โชคดีที่หลังจากนี้ไม่ต้องพูดคำเรียกขานอีกแล้ว การพูดจึงราบรื่นขึ้น
“เธอ...เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ”
พอได้ยินคำที่หมี่หลันเยว่ใช้เรียกตัวเอง เจิ้งซวี่เหยาถึงกับคิดว่าหูฝาดไป เขาเฝ้ารอคำว่าพี่ใหญ่มานานแค่ไหน คำนี้กลับออกมาโดยไม่คาดฝัน ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเชื่อ ไม่รู้จะทำตัวยังไง อย่างไม่รู้ตัวก็อยากจะถามย้ำอีกครั้ง อย่างไม่รู้ตัวก็ติดขัดขึ้นมา
“ก็เรียกพี่ใหญ่น่ะสิคะ เมื่อกี้คุณป้าบอกว่าจะรับฉันเป็ลูกสาวบุญธรรม หลังจากนี้พี่ก็เป็พี่ชายของฉันแล้วไงคะ”
พอเห็นท่าทางขัดเขินของเจิ้งซวี่เหยา หมี่หลันเยว่กลับเป็ธรรมชาติขึ้นมา ชักสีหน้าย่นจมูกเล็กน้อย
“ต่อไปพี่ต้องรักฉันให้มากกว่านี้นะ คุณแม่บอกว่า ถ้าพี่บังอาจรังแกฉัน ทำไม่ดีกับฉัน คุณแม่จะจัดการพี่”
ท่าทางขี้เล่นของหมี่หลันเยว่ ในสายตาของเจิ้งซวี่เหยานั้นน่ารักจนเกินจะบรรยาย คันยุบยิบไปทั้งหัวใจ แต่คำว่าพี่ใหญ่ก็ทำให้เขารู้ว่า ในที่สุดเขาก็ได้สมหวัง ได้เป็พี่ชายของเด็กสาวคนนี้ สามารถที่จะห่วงใย ดูแล ทะนุถนอมเธอได้อย่างเปิดเผย เพียงแต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไขว่คว้าเธอมาอีกต่อไป
“หลันเยว่ ในเมื่อเธอเรียกฉันว่าพี่ใหญ่แล้ว ฉันก็จะปกป้องเธออย่างแน่นอน ฉันจะทำดีกับเธอแค่คนเดียว จะไม่มีวันรังแกเธอ ถ้าใครรังแกเธอ ฉันจะช่วยเธอเอาคืน ถ้าใครทำให้เธอต้องเสียใจ ฉันก็จะทำให้เขาต้องเสียใจยิ่งกว่า สรุปก็คือ พี่จะดูแลเธออย่างดี จะทำให้เธอเป็น้องสาวที่มีความสุขที่สุด”
เจิ้งซวี่เหยายื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กๆ ของหมี่หลันเยว่ นี่คือสิ่งที่เขาพอจะทำได้ การกระทำที่ใกล้ชิดที่สุด ดังนั้นเขาจึงมีความสุขที่จะทำแบบนี้ แบบนี้ก็ดีแล้ว แค่ได้เอาใจใส่ก็พอแล้ว ยังไงซะแล้ว ั้แ่ตอนนี้เป็ต้นไป เขาสามารถที่จะดูแลเธอไปชั่วชีวิตได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ใครก็ห้ามไม่ได้
หมี่หลันเยว่มองท่าทีที่จริงจังและคำสัญญาที่หนักแน่นของเจิ้งซวี่เหยา จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ค่อยดี ผู้ชายคนนี้บุกรุกเข้ามาในชีวิตของเธออย่างกะทันหัน แล้วเริ่มที่จะดูแลเธอ ช่วยเหลือเธอ ตอนนี้เขาก็ยังสาบานว่าจะดูแลเธอให้ดี ความรู้สึกนี้มันหนักอึ้งเกินไป หนักจนทำให้ความมุ่งมั่นของหมี่หลันเยว่ต้องอ่อนลง
ไม่อยากเป็ภาระของใคร หมี่หลันเยว่อยากจะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความพยายามของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็มีคนมากมายช่วยเหลือเธอ สนับสนุนให้เธอเดินไปในเส้นทางที่กว้างขึ้น ตอนที่อยู่ในเมืองซวงเฉิง ก็มักจะเจอแต่คนใจดี พอมาถึงเมืองปักกิ่งก็ยังเป็แบบนั้น
ั้แ่เฉียนหย่งจิ้น หลินเผิงเฟย ไปจนถึงตำรวจสายตรวจหลิวชิงเวย หลิวเสี่ยวหว่าน ผู้อำนวยการโรงงานหลัวมั่นชาง หัวหน้าหวังเ้าชิ่งจากสำนักพาณิชย์และอื่นๆ พวกเขาทำให้เธอได้ริเริ่มธุรกิจในซวงเฉิง ตอนนี้พอมาถึงเมืองปักกิ่ง เจิ้งซวี่เหยาก็ปรากฏตัวอยู่ข้างกายเธออีกครั้ง คอยปกป้องเธอจากลมฝน แม้แต่ครอบครัวเจิ้งทั้งครอบครัวก็ไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือเธอ
ถึงแม้ว่าแม่เจิ้งจะพูดเสมอว่าที่เธอยินดีช่วยเหลือเธอก็เป็เพราะเธอชื่นชอบในนิสัยของเธอ ชื่นชมในความพยายามของเธอ ชื่นชมในความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของเธอ แต่ความชื่นชมเหล่านี้ก็ไม่สามารถเป็เหตุผลที่พวกเขาจะมาทุ่มเทให้เธอได้ นั่นล้วนแต่เป็ความรู้สึกที่หนักอึ้งทั้งนั้น
หมี่หลันเยว่ทำได้แค่บอกว่า ตัวเองโชคดีเกินไป บนเส้นทางชีวิตได้พบเจอกับคนที่ยินดีช่วยเหลือเธอมากมายขนาดนี้
“พี่ใหญ่ ขอบคุณนะคะ ฉันจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ฉันจะไม่ทำให้พี่ต้องเป็ห่วง ตัวพี่เองรีบจัดการเื่สำคัญของตัวเองให้เรียบร้อยนั่นแหละคือการดูแลฉันที่ดีที่สุด เพราะนั่นคือความปรารถนาของคุณแม่ ใช่ไหมคะ คุณแม่”
คำพูดของหมี่หลันเยว่แทงใจเจิ้งซวี่เหยา แต่บนใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มที่อบอุ่นและใจดี นี่คือน้องสาวที่ห่วงใยเขา ถึงแม้ว่าความห่วงใยแบบนี้จะไม่ใช่สิ่งที่เขา้ามากนัก แต่ความห่วงใยนี้มาจากหมี่หลันเยว่ ความหมายก็แตกต่างกันอย่างมาก
