โม่เสวี่ยถงกำลังอ่านหนังสือภายใต้แสงตะเกียง แต่มิใช่เพลงกลอนบทกวีที่นางเคยชอบอ่านเมื่อชาติภพก่อน บทกวีเ่าั้แม้จะไพเราะงดงาม แต่ไม่ทำให้นางมองเห็นโลกแห่งความจริง แต่กลับทำให้นางหลงละเมอเพ้อพกกับความรัก ทุ่มเทหัวใจให้คนอย่างซือหม่าหลิงอวิ๋น ในที่สุดไม่เพียงแต่ตนเองที่ต้องตาย ชีวิตของบุตรชายก็ต้องถูกพรากจากไปด้วยน้ำมือของเขา
นับั้แ่อวิ๋นอี้ชิวชนกระแทกตนเองจนแท้งลูกคนแรก นางจึงได้รู้จากปากของท่านหมอที่จวนฝู่กั๋วกงแอบส่งมาให้ว่าตนเองถูกวางยาพิษมานานแล้ว การจะตั้งครรภ์มีบุตรอีกเป็เื่ยากนัก เพื่อให้สามารถมีลูกได้อีกครั้ง นางจึงแอบศึกษาตำราแพทย์ด้วยตนเอง เพื่อหาทางกำจัดพิษออกจากร่างกายและดูแลฟื้นฟูสุขภาพใหม่
ส่วนผู้ที่แอบลงมืออยู่ในที่ลับ ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่อาจหาตัวพบได้
ด้วยเหตุนี้นางจึงไปแจ้งกับซือหม่าหลิงอวิ๋น ทันทีที่ได้ยินเขาก็ตะลึงพรึงเพริด ท่าทางตื่นตระหนกจนหน้าซีด เข้ามาจับมือนางไว้แล้วถามว่ามีใครรู้เื่นี้บ้าง ยามนั้นนางคิดว่าเขาเป็ห่วงจึงดูลนลานแตกตื่น เลยบอกชื่อหมอผู้นั้นกับเขาไป นับั้แ่นั้นท่านหมอก็ไม่เคยมาอีกเลย ได้ยินว่าเป็เพราะวินิจฉัยคนไข้ผิดพลาด ถูกครอบครัวของคนไข้ทำร้ายจนหนีไปแล้ว
แต่เมื่อได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งจึงเพิ่งตาสว่าง นี่ช่างเป็เื่ตลกชัดๆ!
ต้องสู้กับแผนการของหมาป่าเ้าเล่ห์ แล้วนางจะมีชีวิตรอดอยู่ได้หรือ
ยามคิดถึงบุตรชายที่กว่าจะคลอดออกมาได้ต้องลำบากเหลือแสน แต่ต้องดับดิ้นด้วยน้ำมือของซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโม่เสวี่ยิ่ เ็ปหัวใจปานถูกแทงด้วยคมมีด มือที่พลิกตำราสั่นระริก ทำได้เพียงค่อยๆ หดนิ้วลงทีละข้อมากำไว้ ปล่อยให้ปลายเล็บคมจิกเข้าไปกลางอุ้งมือ ใช้ความเ็ปจากกายเนื้อเข้าไปชดเชยความเ็ปจากาแที่ฝังลึกถึงกระดูกและขั้วหัวใจให้เบาบางลง
“สกุลโม่มิใช่ตระกูลผู้ทรงภูมิปัญญาหรือไร ไฉนธิดาที่เกิดจากภรรยาเอกจึงอ่านหนังสือของชนชั้นล่างประเภทนี้เล่า” ถ้อยคำจิกกัดเจือไปด้วยการหยอกเย้าดังลอยมา โม่เสวี่ยถงซึ่งกำลังจมลึกอยู่ในความเ็ปพลันเหลือบตาขึ้นอย่างตื่นตระหนก หันขวับไปมองก็เห็นชายหนุ่มผู้มีรูปโฉมดั่งปีศาจทรงเสน่ห์นั่งเอนกายสบายใจเฉิบอยู่บนตั่งจ้องมองตนเองอยู่
เซวียนอ๋องเฟิงเจวี๋ยหร่าน!
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงสะดุ้งโหยงหันกลับมา ใบหน้านวลลออขาวซีด ความพรั่นพรึงและความอ่อนแอยังไม่สลายไป ริมฝีปากของเฟิงเจวี๋ยหร่านก็หยักโค้งขึ้นอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าหล่อเหลาทอยิ้มทรงเสน่ห์ ท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย เผยสีหน้ายั่วเย้าอยู่หลายส่วน เมื่อเห็นดวงตาคู่พริ้มเพราของคนงามค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็ขุ่นเคือง ก็เลิกคิ้วขึ้น หยิบผลไม้เชื่อมที่วางอยู่บนโต๊ะโยนเข้าปากอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“มองผู้มีพระคุณด้วยสายตาแบบนี้ ซาบซึ้งมากใช่หรือไม่ ปรกติข้าก็ไม่ชอบให้สตรีมองเหมือนอยากะโเข้าหาสักเท่าไร แต่ถ้าเป็เ้า... ข้าก็คงต้องยอมฝืนใจสักหน่อยล่ะนะ”
“องค์ชาย ยามทรงพระเยาว์ไม่มีผู้ชี้แนะหรอกหรือว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด ค่ำมืดดึกดื่นรุกล้ำเข้ามาถึงห้องส่วนตัวของสตรี นี่คือสิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำแล้วหรือ?” โม่เสวี่ยถงเปลี่ยนจากท่าทางตกตะลึงในตอนแรกมาเป็โกรธขึ้ง
“นี่เป็การแสดงออกต่อผู้มีพระคุณของเ้าหรือถงเอ๋อร์ ข้าอุตส่าห์แวะมาส่งจดหมายให้ แต่เ้ากลับทำท่าทางแบบนี้ใส่เสียนี่” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มน้อยๆ พลางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบขวดใบหนึ่งออกมา แล้วแกว่งไปมาต่อหน้าโม่เสวี่ยถงแวบหนึ่ง ก่อนจะเก็บเข้าไปในอกเสื้อของตนเองดังเดิม
โม่เสวี่ยถงม่านตาหรี่วูบ นั่นมันขวดยาของโม่เสวี่ยิ่นี่!
“โม่เฟิงเอาของสิ่งนี้ให้ท่านหรือ?” แววตาของนางพลันเปลี่ยนสีเมื่อเอ่ยถาม
“ก็ไม่เชิงให้หรอก ความจริงโม่เฟิงไปถามมาหลายที่แล้วแต่ก็ไม่มีความคืบหน้า แต่เขาเชื่อว่าเ้าคงมิได้มีเจตนาให้เขาเป็ผู้ตรวจสอบ ด้วยเหตุนี้จึงมาหาข้า อยากจะรู้ผลหรือไม่เล่า?” เฟิงเจวี๋ยหร่านกระดกคิ้วขึ้นถาม ใบหน้าที่หล่อเหลาไร้ที่ติ ยามนี้ดวงตาส่องประกายระยิบระยับยิ่งมีเสน่ห์ล้นเหลือ
ปีศาจร้ายแท้ๆ! โม่เสวี่ยถงตั้งระวังป้องกันอยู่ในใจ สูดหายใจลึก แววตาเลื่อนออกจากตัวเขา ลุกขึ้นแล้วย่อกายคารวะอย่างงดงาม “ขอบพระทัยเซวียนอ๋องที่เมตตาช่วยเหลือ”
จะดีจะร้ายนางก็ยังแยกแยะได้อยู่ นางไม่อาจร้องขอให้โม่เยี่ยและโม่เฟิงจงรักภักดีต่อตนเองอย่างสุดจิตสุดใจได้โดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็องครักษ์เงาของเฟิงเจวี๋ยหร่าน นางก็เป็แค่เ้านายผู้ว่าจ้าง จะมีอำนาจไปตำหนิโทษใครได้ นางค้นพบสารลับเก่าแก่ฉบับนั้น เขาจึงตอบแทนด้วยคำสัญญาข้อหนึ่ง ระหว่างนางกับเขาต่างไม่ใช่ผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน นางจึงไม่อาจขอร้องได้มากไปกว่านี้
“มานี่” เจวี๋ยหร่านหยักยิ้มน้อยๆ กวักมือเรียกนาง
โม่เสวี่ยถงค่อยๆ ขยับกายเข้าไปสองสามก้าว
“เข้ามาใกล้ๆ อีกหน่อย ข้าก็แค่อยากพูดคุยให้สะดวกขึ้นเท่านั้นเอง หรือว่าเ้ายินดีให้ข้าพูดเสียงดังกว่านี้ได้” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มยั่ว
โม่เสวี่ยถงเดินเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าวด้วยท่าทางระวังตัวยิ่ง เงาของนางลากยาวขึ้นภายใต้แสงตะเกียงสลัว ไปเคียงคู่กับเงาร่างของเขา เพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนมอีกหลายส่วน
“ตอนนี้องค์ชายคงกล่าวได้แล้วกระมัง”
“วางใจเถอะ โม่เยี่ยกับโม่เฟิงเห็นเ้าเป็นาย แม้แต่ข้าก็ไม่อาจถามเื่ของเ้าโดยไม่มีเหตุผลหรอก”
นี่คือการรับประกันหรือ? โม่เสวี่ยถงไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไร นางขบริมฝีปากและแหงนหน้าขึ้นมองรอว่าเขาจะกล่าวอย่างไรต่อไป
“ยาทาขวดนี้เป็สมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณในการรักษาาแได้ดียิ่ง กลิ่นก็หอมเย็น ใช้แล้วไม่มีอันตรายใดๆ” เฟิงเจวี๋ยหร่านหยิบยาขวดนั้นออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนเล่นในมืออีกครั้ง เหลือบตามองนางปราดหนึ่ง เนื่องจากเป็เวลาเข้านอน นางจึงปล่อยเรือนผมสีดำสนิทที่นุ่มนวลดั่งแพรไหมทิ้งตัวยาว แล้วใช้สายรัดรวบไว้หลวมๆ ที่ด้านหลัง ทำให้ใบหน้าเล็กดูผุดผ่องแช่มช้อยอย่างที่ไม่เห็นในเวลากลางวัน ดวงตาคู่สวยวับวาวภายใต้แสงเทียนปานสายน้ำแห่งวสันต์ งามเย้ายวนใจนัก
“แต่กลิ่นของยาสมุนไพรชนิดนี้ หากผสานเข้ากับเครื่องหอมบางอย่างที่จุดในบ้าน ก็จะมีไอพิษเจือออกมาเล็กน้อย” ดวงตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านขยับจากใบหน้าของโม่เสวี่ยถงไปยังกระถางกำยานที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ภายในห้อง รอยยิ้มบนริมฝีปากมีประกายเย็นเยือกวาบออกมา “เช่นเครื่องหอมที่จุดอยู่ในห้องของเ้านี่แหละ”
ที่แท้ก็้าวางยาพิษโม่เสวี่ยถงจริงๆ
มิน่าเล่าชาติที่แล้ว ครั้งหนึ่งหลังจากนางได้รับาเ็ โม่เสวี่ยิ่ก็ส่งยาทามาให้ แม้ว่าจะไม่เหมือนกับยาตัวนี้ แต่เพราะเป็ของที่โม่เสวี่ยิ่ส่งมา ตนเองจึงเก็บไว้ในห้องนอนมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าพิษจะเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีนี้ เนื่องจากท่านหมอบอกว่าเป็พิษที่ได้รับมานานหลายปีแล้ว มิใช่เพิ่งถูกวางยาเมื่อเข้าไปอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วโหว นางจึงนึกว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับซือหม่าหลิงอวิ๋น จึงเปิดเผยให้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่แท้... ซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโม่เสวี่ยิ่ก็ร่วมมือกันวางแผนจัดการกับตนเองมานานแล้วนี่เอง
ใจเจ็บจนด้านชา แม้แต่สมองก็คล้ายหยุดชะงัก นิ้วมือสั่นระริกปัดไปถูกตะเกียงซึ่งอยู่ด้านหน้าจนเกือบล้มคว่ำลงมา
“หัวเ้าไปโดนอะไรมา” จู่ๆ เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ลุกขึ้น ลากนางมาอยู่หน้าตะเกียง นิ้วเรียวแทรกเข้าไปในเรือนผมของนางเปิดดูหน้าผาก ก็เห็นรอยแผลบวมปูดออกมาเล็กน้อย
“ไม่เป็ไรหรอก” นางตอบเกือบจะทันที ทว่าดวงตายังคงจ้องขวดยาในมือของชายหนุ่มเขม็ง ไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าเขากำลังเสียมารยาท
“สิ่งนี้เ้ายัง้ามันอยู่หรือไม่” ก้นบึ้งในดวงตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านลึกล้ำอย่างน่าประหลาด ทอยิ้มพราวเสน่ห์ออกมาวูบหนึ่ง แล้วโยนขวดยาในมือเล่นสองสามครั้ง ท่าทางกลับไปเอ้อระเหยลอยชายเหมือนเดิมอีกครั้ง
“ขอบพระทัยองค์ชาย โปรดมอบให้ข้าเถิด” นางสูดหายใจลึก ดวงตาพลันกลับมากระจ่างใสอีกครั้ง ยื่นมือมารับขวดยาจากมือของเฟิงเจวี๋ยหร่านแล้วถอยห่างออกไปสองก้าว เบื้องลึกในดวงตาประกายหยาดน้ำฉายแววคับแค้นให้กับความโง่งมของตนเอง ทั้งๆ ที่คาดเดาได้ว่าเป็ฝีมือของโม่เสวี่ยิ่กับฟางอี๋เหนียง ไฉนจึงต้องตื่นตะลึงจนลืมตัวถึงเพียงนั้น
“อยากให้ข้าช่วยหรือไม่เล่า” เฟิงเจวี๋ยหร่านเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถาม
“ขอบพระทัยในพระกรุณา ดึกมากแล้ว องค์ชายเสด็จกลับเถิดเพคะ” นางกล่าวอย่างรักษามารยาท ดูห่างเหินอย่างยิ่ง
“ไม่้าความช่วยเหลือจริงๆ หรือ ่นี้ข้ามีเวลาว่างค่อนข้างเยอะ กำลังเบื่อๆ อยู่พอดี ถึงอย่างไรเ้าก็ติดหนี้บุญคุณข้าไปแล้ว เพิ่มอีกสักเื่จะเป็ไร”
“องค์ชายล้อเล่นแล้ว” เมื่อััถึงแววตาลึกล้ำของเขา โม่เสวี่ยถงก็ขยับกายหนีโดยสัญชาตญาณ เพื่อหลบเลี่ยงจากการจับจ้องของเขา และกล่าวอีกครั้งอย่างจนใจ “ขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์ชาย หากมีโอกาส หม่อมฉันจะต้องหาทางตอบแทนแน่นอน”
“แล้วเมื่อไรจะมีโอกาสล่ะ?” เฟิงเจวี๋ยหร่านกลอกตาไปมา
“...”
“องค์ชายคิดอย่างไรเล่า” โม่เสวี่ยถงพยายามข่มโทสะ เมื่อครู่มัวแต่ขบคิดเื่ราวภายในใจของตนเอง บัดนี้เพิ่งนึกได้ว่าบุรุษที่อยู่เบื้องหน้านางผู้นี้ก็เป็ตัวอันตรายไม่ต่างกัน ทั้งคำพูดและการกระทำล้วนไม่อาจเผอเรอหรือประมาทได้
เฟิงเจวี๋ยหร่านลุกขึ้นมาฉับพลัน โม่เสวี่ยถงขยับกายออกเปิดทางให้ เห็นเขาเดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งนางเพิ่งถอดปิ่นปักผมกับตุ้มหูวางไว้ตรงนั้น
“สิ่งนี้ข้าจะเก็บไว้เป็หลักฐาน เมื่อไรที่คิดได้แล้วว่าจะให้เ้าแทนคุณอย่างไร จะให้คนนำสิ่งนี้มาแสดงก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็หยิบปิ่นหยกขาวชิ้นนั้นไป รอยยิ้มของเขายิ่งเย้ายวนป่วนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้างดงามล้ำเลิศ ดูงามสง่ามีชีวิตชีวาเมื่ออยู่ในอาภรณ์สีม่วงปักลายดอกม่านถัวหลัว ผิวขาวเกลี้ยงเกลา กลิ่นอายเ้าชู้กรุ้มกริ่มแผ่กำจายจากทั่วร่าง
โม่เสวี่ยถงสูดหายใจลึกยาว บอกตนเองว่าจะโมโหไม่ได้ “องค์ชายเพคะ หากชอบปิ่นหยกขาว ไม่สู้เอาอันนี้ดีหรือไม่?” นางเดินไปเปิดกล่องใบหนึ่งออกและหยิบปิ่นหยกที่วางอยู่ข้างในออกมา ลักษณะแตกต่างจากชิ้นก่อนหน้านี้ ปิ่นหยกชิ้นนี้ยังดูใหม่กว่า เห็นได้ชัดว่าเพิ่งซื้อมายังไม่ได้ใช้
“ปิ่นนี้เ้ายังไม่เคยปัก ข้าเอาไปจะมีประโยชน์อันใด” เฟิงเจวี๋ยหร่ายยิ้มโปรยเสน่ห์ “วางใจได้ แค่เอาไปเป็ของค้ำประกันเฉยๆ อีกสองสามวันข้าจะให้คนส่งเครื่องประดับที่มีมูลค่าเท่ากันมามอบให้เ้า จะได้ไม่ถูกใครบางคนหาว่าเอาเปรียบ”
ชายหญิงแลกเปลี่ยนสิ่งของเป็การส่วนตัว แต่ดูเขาพูดเสียหรูหราน่าฟัง โม่เสวี่ยถงขบกรามกรอด แต่นางอาลัยปิ่นหยกขาวชิ้นนั้นยิ่งนัก นั่นเป็ของขวัญที่มารดามอบให้ตอนวันเกิดครบอายุสิบขวบ หลังจากนั้นนางก็ปักแต่ปิ่นชิ้นนั้นมาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนไปใช้อันอื่นเลย
“หรือว่าเ้าคิดจะเข้ามาแย่งชิงกับข้า?” เฟิงเจวี๋ยหร่านพูดชี้นำพลางยิ้มยั่ว ชูปิ่นหยกในมือแกว่งไปแกว่งมาต่อหน้านาง “หากเ้ามาแย่งไปได้ ข้าก็จะไม่เอาไป”
คำพูดนี้ช่างยั่วโมโหโทโสยิ่ง!
โม่เสวี่ยถงสูดลมหายใจลึกยาวอีกครั้ง บอกตนเองว่าใจเย็นๆ อย่าโมโห องค์ชายแปดพระโอรสสุดที่รักของจักรพรรดิจงเหวินตี้พระองค์นี้ นางไม่อาจล่วงเกินเขาได้
“องค์ชายเสด็จกลับได้แล้วเพคะ เวลาไม่เช้าแล้ว หม่อมฉันไม่อาจอยู่ต้อนรับต่อไปได้” นางกัดฟันกล่าวทีละคำอย่างอดกลั้น ใบหน้าเล็กจ้อยราวกับถูกสุมไปด้วยความคับแค้นใจ อึดอัดสุดประมาณ
พวงแก้มกลมป่อง ดวงตาวาวโรจน์คล้ายจะพ่นไฟออกมาได้ ไม่ดูเ็าห่างเหินอีกต่อไป นางที่เป็แบบนี้ดูน่ารักยิ่งในสายตาของเฟิงเจวี๋ยหร่าน
นางแมวน้อยโมโหแล้ว ช่างน่าสนุกจริงๆ!
“เอาล่ะ รออีกสองสามวันข้าจะส่งของขวัญมาให้” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มอย่างพึงพอใจ หมุนปิ่นหยกขาวในมือเล่นสองสามรอบ ก่อนจะส่งเข้าไปในอกเสื้ออย่างสง่างาม เดินตรงไปที่หน้าต่าง แต่แล้วจู่ๆ ก็หันกลับมาอีกครั้ง
“เ้าไม่อยากเป็นางกำนัลประจำตัวข้าจริงๆ หรือ? เ้าคงไม่รู้สินะว่ามีสตรีมากมายแค่ไหนอยากไปยืนในตำแหน่งนั้น ข้าอุตส่าห์เว้นว่างไว้ให้เ้าโดยเฉพาะเชียวนะ”
“ขอบพระทัยองค์ชายที่ทรงรำลึกถึง” โม่เสวี่ยถงกล่าวอย่างอดกลั้นสุดชีวิต ดวงตากรุ่นโกรธเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจยิ่ง บอกตนเองว่านี่คือโจรชั่ว แต่ตนเองจะลงมือทุบโจรชั่วตอนนี้ไม่ได้ ผู้กล้าย่อมต้องรู้จักยอมถอยก่อนเพื่อไม่ให้ตกเป็เบี้ยล่าง
“ผู้ที่เ้าหมั้นหมายด้วยคือคนสกุลไหน? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ” เฟิงเจวี๋ยหร่านถามขึ้นอย่างมิได้ตั้งใจ
“องค์ชายทรงละลาบละล้วงมากเกินไปแล้วหรือไม่?” โม่เสวี่ยถงปั้นหน้าอารมณ์ดีไม่ไหวแล้วจริงๆ
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ข้าอยากรู้นี่! เ้าไม่บอกก็ช่างเถอะ อย่าแต่งให้คนผิดก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต” เฟิงเจวี๋ยหร่านพูดหยอกเย้า ยกหางตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพลิ้วกายหายวับไปทางหน้าต่าง
โม่เสวี่ยถงรีบเข้าไปปิดประตูหน้าต่างทันที หลังจากนั่งนิ่งชั่วครู่ก็ไม่มีอารมณ์จะอ่านหนังสือต่ออีกแล้ว ร้องเรียกเสียงเบา “โม่หลัน”
โม่หลันซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงของโม่เสวี่ยถงก็รีบเดินเข้ามา
“ไปเชิญแม่นมิมาที่นี่”
“เ้าค่ะ” แม้โม่หลันไม่รู้ว่าโม่เสวี่ยถงคิดจะทำสิ่งใด แต่ก็รับคำแล้วถอยออกไป
โม่เสวี่ยถงยังตื่นตะลึงกับข่าวนั้นอยู่
คู่หมั้น? ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ นางไม่เคยได้ยินเื่หมั้นหมายของตนเองมาก่อน หากนางมีคู่หมั้นแล้วจริงๆ เพราะเหตุใดยังต้องแต่งให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นอีกเล่า แล้วคู่หมั้นของนางคือผู้ใด ไฉนจึงไม่มาแสดงตัว หรือเป็เพราะเกรงกลัวอำนาจของเจิ้นกั๋วโหว จึงไม่กล้าเข้ามาคุยเื่การแต่งงานกับสกุลโม่?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้