ชายชรานามว่าหูเฉวียนฝูแห่งตระกูลหู ปีนี้อายุห้าสิบแปดปี หูเฉวียนฝูกับหวังซื่อเลี้ยงดูบุตรชายบุตรสาวจำนวนสามคน บุตรสาวคนโตหูชิวเซียงได้แต่งงานออกไปยังอำเภอข้างเคียง ส่วนพวกเขาที่เป็บิดามารดาอาศัยอยู่กับบุตรชายคนโตอย่างหูฉางหลินและหูฉางกุ้ย ท่านพ่อของหูเจินจูเป็น้องคนสุดท้องในจำนวนบุตรทั้งหมดสามคน
ลูกชายคนรองแห่งตระกูลหู หูฉางหลินกับเหลียงซื่อให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาวทั้งหมดสามคน สองคนแรกเป็บุตรสาว คือหูอู้จูอายุสิบหกปีกับหูชุ่ยจูอายุสิบสองปี หูอู้จูแต่งงานออกไปอยู่หมู่บ้านต้าวันข้างๆ เมื่อต้นปีนี่เอง ดังนั้นในบ้านจึงมีเพียงหูชุ่ยจูกับหูผิงซุ่นที่เป็บุตรชายอายุแปดขวบ
เหลียงซื่อให้กำเนิดบุตรสาวสองคน ในใจกดดันยิ่ง ถึงแม้ว่าหวังซื่อแม่สามีจะไม่เอ่ยปากรังเกียจ แต่ญาติๆ ในหมู่บ้านต่างพากันบ่นไม่น้อย ไม่กี่ปีก่อนจะให้กำเนิดหูผิงซุ่นออกมา เหลียงซื่อเกือบจะเป็คนไม่มีปากมีเสียง แต่ละวันผ่านไปด้วยความระมัดระวังและหวาดกลัว จนกระทั่งหูผิงซุ่นที่เป็บุตรชายเกิดมา เหลียงซื่อจึงรู้สึกว่าชีวิตมีความหวัง สามารถยืดเอวตั้งตรงพูดคุยกับผู้อื่นได้
ทว่าครอบครัวที่มีสมาชิกเด็กผู้ชายเพียงคนเดียว นั่นหมายความว่ายังไม่รุ่งโรจน์มากนักในหมู่บ้าน เสียดายที่ผ่านไปเจ็ดแปดปีแล้วก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ขณะที่เหลียงซื่อเริ่มจะปล่อยวาง... กลับพบข่าวดีอย่างไม่คาดคิดอีกครั้ง
นี่มิใช่ว่าตั้งครรภ์แล้วหรือ เหลียงซื่ออยู่บ้านระมัดระวังครรภ์อ่อนที่มีอายุสองเดือนได้ อย่างไรเสียอายุก็ค่อนข้างเยอะแล้ว สภาวะการตั้งครรภ์ไม่ค่อยดีนัก ท่านหมอหลินในหมู่บ้านบอกให้ระวังและบำรุงครรภ์ให้ดี ไม่สามารถทำงานหนักได้
หวังซื่อแม่สามีสกุลหูนอกจากจะดีใจแล้ว ยังรับผิดชอบทำงานบ้านสำคัญๆ อีกด้วย
โชคดีที่ขณะนั้นเป็่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ฤดูกาลเพาะปลูกผ่านไปแล้ว งานหนักที่สำคัญในไร่นาก็เสร็จสิ้น หวังซื่อแค่ต้องจัดการอาหารการกินของผู้สูงวัยและเด็กก็พอ แม้กระทั่งไก่สิบกว่าตัวและหมูสองตัวในบ้าน คนเลี้ยงก็เป็หลานสาวชุ่ยจู เด็กสาวอายุสิบสองปีในครอบครัวเกษตรกรนับได้ว่าเป็กำลังแรงงานคนหนึ่ง ชุ่ยจูขอใช้ชีวิตแค่ตัดหญ้าและเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูก็นับว่าสบายแล้ว
ในครอบครัวหูเจินจูก็เลี้ยงหมูหนึ่งตัว ดังนั้นสองพี่น้องผู้หญิงจึงรวมตัวกันไปตัดหญ้าหลังเขา ความรักความผูกพันเช่นนี้นับว่าไม่แย่เลย
ชุ่ยจูรูปร่างไม่สูงแต่แรงกำลังไม่น้อยเลย อุปนิสัยก็ค่อนข้างคึกคักร่าเริง วันนั้นที่เจินจูกลิ้งตกเขาก็เป็ชุ่ยจูที่แบกกลับมา และยังวิ่งไปเรียกท่านหมอหลินตรงทางเข้าหมู่บ้านให้ จากนั้นยังกลับไปบอกท่านย่าหวังซื่อ พอท่านหมอหลินตรวจและรักษาหูเจินจูเสร็จยังตามไปเอายากลับมาให้หลี่ซื่อต้มอีก วิ่งวุ่นเพื่อเจินจูไม่ได้หยุด
หูอู้ซีเองก็มีพี่สาว พอได้รับรู้ว่าญาติที่ปฏิบัติดูแลกันด้วยความจริงใจน่าชื่นชมยินดีเพียงใด คิดถึงตรงนี้ก็เกิดความประทับใจสายหนึ่ง
หูอู้ซีคือหูเจินจูในขณะนี้ เธอนอนอยู่เงียบๆ จัดการข้อมูลที่มีประโยชน์กับตนเองจากในความทรงจำ อย่างไรเสียก็เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วตีโพยตีพายไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่สู้คิดถึงวันเวลาหลังจากนี้... จะผ่านไปอย่างไรดีกว่า
ณ ที่แห่งนี้คือเขตปกครองอาณาจักรต้าสยา ต้าสยามีประวัติศาสตร์มาเกือบร้อยปีแล้ว แน่นอนว่าราชวงศ์สยานี้ไม่ใช่ราชวงศ์สยาในประวัติศาสตร์ ผ่านาก่อฏกลางเมืองมาสองครั้ง และข้อพิพาทการรุกรานชายแดนจากภายนอกหลายครั้ง สุดท้ายอำนาจทางการเมืองก็ยังคงอยู่ในมือของลูกหลานราชวงศ์สยา ทว่ากระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือผู้ใด ในสมองเ้าของร่างเดิมกลับไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อย คิดๆ ดูแล้วขอแค่ไม่ใช่า ผู้ใดเป็ฮ่องเต้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับสาวชาวไร่ตัวเล็กๆ ระดับล่างเช่นเธอ
หูเจินจูคิดอย่างลวกๆ ตนเองอายุน้อยลงสิบกว่าปีแบบไม่มีเหตุผล และไม่รู้ว่าหน้าตาเป็เช่นไร เธอพึมพำ ใช้มือลูบไม่เจอเนื้อแก้ม พยายามหวนนึกถึงคนในหมู่บ้านเพื่อประเมินหน้าตาของตนเอง ดูเหมือนว่าพวกพี่สาวน้องชายจะหน้าตาคล้ายกันมาก ตัวผอมๆ เล็กๆ ส่วนอื่นไม่ต้องพูดถึง
หูเจินจูยังไม่อาจวางใจได้เล็กน้อย หันศีรษะและกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ไม่พบวัตถุจำพวกกระจกทองแดงเลย
อยากรู้เสียจริง คนในชนบทที่ยากจนจะมีของเช่นกระจกทองแดงได้อย่างไรกัน เธอทำปากเยาะเย้ย ผู้หญิงไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม หน้าตามักเป็สิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุดเสมอ ไม่เช่นนั้น กิจการเสริมความงามจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร
ขณะที่หูเจินจูคิดอะไรไม่ออก หมดอาลัยตายอยาก ก็มีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาตรงประตู เป็หูผิงอันน้องชายที่มักโดนเอาเปรียบของเธอนี่เอง เธอมีเื่อยากถามอยู่พอดีเลย
มุมปากยกขึ้นยิ้มกว้าง กวักมือไปทางเขา
ดวงตาของหูผิงอันเป็ประกาย เขาวิ่งเข้ามาหาเธอ ในห้องของหูเจินจูไม่มีอะไร มีเพียงเตียงหนึ่งหลังกับโต๊ะซอมซ่อตัวหนึ่ง หูเจินจูมีแค่เสื้อผ้าที่กองไว้ข้างเตียงอยู่ไม่กี่ชิ้น มุมด้านข้างยังมีข้าวของเล็กน้อยวางปะปนกัน เธอตบลงบนขอบเตียงส่งสัญญาณให้น้องชาย ผิงอันนั่งลงอย่างว่าง่าย
เจินจูอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์นอกหน้าต่างพินิจพิเคราะห์เขาอย่างละเอียด คิ้วไม่หนาแต่ยังนับว่ามีรูปทรง ดวงตาสองชั้นไม่โต ให้ความรู้สึกว่าหางตางอนเล็กน้อย จมูกโด่งเป็สัน ริมฝีปากบางเล็กน้อย สีหน้าดูเหลืองคล้ำนิดๆ อาจเป็เพราะได้รับคุณค่าทางอาหารไม่เพียงพอ รวมๆ แล้วเป็เด็กหนุ่มรูปโฉมงดงามคนหนึ่ง เมื่อเขาโตขึ้นน่าจะเป็หนุ่มหล่อพอสมควร แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกคือคุณค่าทางโภชนาการอาหารต้องพอดีจึงจะใช้ได้ ไม่เช่นนั้นรูปร่างจะเล็กเตี้ยและอ่อนแอ ต่อให้โฉมงามแค่ไหนก็เสียของเปล่า
หูเจินจูมองใบหน้าของผิงอันและพยักหน้า หน้าตาเช่นนี้อยู่บนใบหน้าของเธอก็ไม่คงแย่นัก ในใจแอบรู้สึกยินดีเล็กน้อย
ชาติที่แล้วหูเจินจูหน้าตาธรรมดารูปร่างไม่แย่ แต่งหน้าดูแลผิวพรรณแล้วยังพอดูได้ หากปล่อยไปตามยถากรรมก็ถือว่าเป็คนหน้าตาบ้านๆ ธรรมดาทั่วไป แน่นอนว่าชีวิตของเธอส่วนใหญ่ล้วนเรียบง่ายและธรรมดา เพราะการแต่งหน้าแต่งตัวต้องใช้เงินและเวลา เธอรู้สึกว่าตนเองขาดแคลนทั้งสองอย่าง มีเวลาเช่นนี้ไม่สู้นอนจนี้เีนอนไปเลยเล่า
“ท่านพี่ ท่านตื่นแล้วหรือ ยังเจ็บหัวอยู่หรือไม่?” ผิงอันมองท่านพี่ของเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย
เธอมองเขาอยู่ชั่วครู่ก็ยังไม่ส่งเสียงออกมา
“แค่ก…” เธอแกล้งไอ “ดีขึ้นแล้ว ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแล้ว... ผิงอัน ท่านแม่เล่า?”
“ท่านแม่กำลังทำกับข้าว ท่านหิวแล้วหรือ? รอสักเดี๋ยวก็จะได้ทานแล้ว ท่านแม่ตุ๋นไข่ไก่ให้ท่าน เมื่อครู่ท่านย่าเพิ่งมาเยี่ยม หิ้วไข่ไก่มาให้บำรุงตั้งยี่สิบฟอง ท่านทานไข่ไก่หมดร่างกายก็จะดีขึ้น” ผิงอันมองเธอด้วยดวงตาสว่างวิบวับ กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูมีความสุขยิ่ง
หูเจินจูมองดูท่าทางมีความสุขของเขาแล้วรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เด็กหนุ่มนี่แค่ทานไข่ไก่ก็รู้สึกดีใจได้ขนาดนี้ จึงยิ้มไปให้เขาอย่างอบอุ่นและกล่าวว่า “ผิงอัน อีกเดี๋ยวไข่ไก่สุกแล้วพี่จะเก็บไว้ให้เ้าครึ่งหนึ่ง เ้ายังเด็ก ทานไข่ไก่เยอะอีกหน่อยจะได้สูง”
ผิงอันได้ฟังดังนั้นก็รีบโบกมือกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านทานเถิด ทานแล้วร่างกายจึงจะฟื้นฟูได้เร็ว ท่านแม่ต้มข้าวเสร็จ ข้าทานข้าวก็สูงขึ้นได้”
มองดูท่าทีรู้ความของผิงอันแล้ว เจินจูะเืใจเล็กน้อย จึงไม่รบเร้าเอ่ยถึงเื่นี้อีก เธอถามต่อว่า “ผิงอัน คือ... เอ่อ... ท่านพ่อ จะกลับมาเมื่อใดหรือ?”
“ท่านพี่ ท่านย่าบอกว่า ยังต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือน ต้องรอเวลาก่อนที่หิมะตกจึงจะกลับ ฟืนสำหรับฤดูหนาวของบ้านเรายังไม่ได้ตระเตรียมเลย”
ผิงอันเอ่ยอย่างจริงจัง คำพูดยังเผยให้เห็นถึงความกังวลใจอีกด้วย
เจินจูมองเขาที่ดูเป็ผู้ใหญ่ขนาดเล็กกะทัดรัดแล้วรู้สึกน่ารักมาก ในชั่วพริบตาจึงอดยื่นมือออกไปหยิกใบหน้ารูปไข่ที่ดูอ่อนแอของเขาไม่ได้ เธอกลั้นยิ้ม
“เ้าไม่ต้องเป็ห่วงหรอก มีท่านพ่อและท่านลุง รอพวกท่านกลับมา ไม่กี่วันฟืนก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เ้าแขนขาเล็กเพียงนี้ ทานข้าวเยอะๆ พอดูมีแรงแล้วค่อยว่ากันเถิด”
ผิงอันยอมไม่ได้เล็กน้อย ทว่าตอนที่กำลังจะโต้เถียงนาง หลี่ซื่อก็เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารมื้อเย็นในมือ ผิงอันรีบะโลงจากเตียง เพื่อช่วยหลี่ซื่อยกอาหารลงมา
เจินจูฝืนหยัดกายลุกนั่ง ทนความเจ็บ ค่อยๆ เคลื่อนกายไปถึงฝาผนัง พิงผนังจึงจะนั่งได้นานหน่อย
หลี่ซื่อรีบวางถาดลงและเข้ามาประคอง มองเธอแล้วย่นหัวคิ้วตำหนิเล็กน้อย คล้ายจะบอกว่า... เ้าขยับซี้ซั้วได้อย่างไร?
เจินจูมองนางแล้วยิ้มๆ ด้วยใบหน้าเหยเก พูดแล้วก็ประหลาด อาจเพราะในความทรงจำของเจินจูเก็บรักษาข้อมูลของหลี่ซื่อไว้เยอะมาก ดังนั้นเื่ที่หลี่ซื่ออยากถ่ายทอดหรือสื่อสารกับเธอ เธอล้วนเข้าใจได้คร่าวๆ
หลี่ซื่อมองไปรอบห้องที่มีแสงสลัว แล้วก้าวเท้าออกไปนอกห้อง ไม่นานก็ถือตะเกียงไฟเดินเข้ามา หลังจากวางลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วก็หมุนกายออกไป
เจินจูเพ่งมองตะเกียงน้ำมันอย่างอยากรู้อยากเห็น เหมือนจานใบตื้นที่มีด้ามจับสูง ตรงฐานมีน้ำมันชั้นหนึ่ง ไส้ตะเกียงด้านข้างกำลังลุกไหม้ ปรากฏลูกไฟพลิ้วไหวตลอดเวลา เหมือนกับตะเกียงน้ำมันที่เคยเห็นในโทรทัศน์จริงๆ ด้วย
หลี่ซื่อถือโต๊ะเตี้ยเข้าห้องมาอีกครั้ง ค่อนข้างเหมือนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของประเทศทางเหนือนำมาวางบนเตียง นางเอาโต๊ะวางไว้บนขาของเจินจู เป็ที่วางได้อย่างพอดี หลังจากนั้นเอากับข้าววางไว้บนโต๊ะ มีถั่วเหลืองต้มจานเล็กหนึ่งใบ ต้มจืดผักกวางตุ้งหนึ่งถ้วย ผักดองเค็มจานเล็กหนึ่งใบ ไข่ไก่ตุ๋นหนึ่งถ้วย ข้าวเปล่าสามถ้วย ดูจากสีข้าวน่าจะเป็ข้าวธัญพืช
ผิงอันมองไปที่โต๊ะ ยิ้มเบิกบานใจแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ท่านนั่งตรงนี้ นี่เป็ครั้งแรกเลยนะที่ทานข้าวในห้องของท่านพี่ ฮิๆ”
เขารีบปีนขึ้นไปอีกฝั่งแล้วนั่งลง หันหน้าไปหาเจินจูแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ รีบทานข้าวเร็ว อีกเดี๋ยวจะเย็นชืดเอานะ”
ในใจหูเจินจูมีความรู้สึกซับซ้อน ยกชามข้าวขึ้นมาเงียบๆ แม้แขนซ้ายจะยังคงเจ็บอยู่ เธอก็อดทนไม่ส่งเสียงออกมา ข้าวธัญพืชไม่ได้อร่อยแบบที่คิดไว้ มีบ้างที่ติดอยู่ในลำคอ แต่ทานแล้วยังมีกลิ่นหอมของข้าว
หลี่ซื่อดันชามไข่ไก่ตุ๋นไปตรงหน้าเจินจู บอกใบ้ให้เธอทาน และยังแบ่งถั่วเหลืองในชามให้แก่ผิงอัน หลังจากนั้นจึงคีบผักดองเค็มให้กับตนเอง
เจินจูมองหญิงผอมแห้งที่นั่งเงียบสนิทตรงหน้า เครื่องหน้าสวยเพียบพร้อมหน้าตาคมชัด แม้ว่าจะพูดไม่ได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกสงบแก่คนอื่น อายุยังไม่ถึงสามสิบปี รอบดวงตากลับมีริ้วรอยจางๆ
เจินจูยังไม่ได้เรียกนางว่า “ท่านแม่” เลย เธอรู้สึกกระดากที่จะเรียกผู้หญิงอายุใกล้เคียงกับตนเองว่า “ท่านแม่” แต่ดูจากการกระทำเมื่อครู่ก็รู้สึกว่าคนเป็แม่ส่วนใหญ่บนโลกล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น ความ้าของลูกชายลูกสาวมักมาก่อนตนเองเสมอ
เจินจูมองไปยังผิงอันที่กำลังยิ้มและทานอย่างมีความสุข จึงหยิบไข่ไก่ตุ๋นขึ้นมาแบ่งใส่ชามของเขาเล็กน้อย ผิงอันชะงักงัน นึกส่งมันกลับคืนไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่ อันนี้ให้ท่านทาน”
“ทุกคนต้องทาน พี่บำรุงร่างกาย เ้าก็ต้องสูงขึ้น”
เธอรับเอาชามของหลี่ซื่อมาแบ่งไข่ไก่ตุ๋นใส่ลงไปทันที หลังจากนั้นก็ส่งชามกลับไป มองหลี่ซื่อแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ท่านแม่ ท่านก็ทานด้วยสิ ดูแลร่างกายให้ดีถึงจะเฝ้าดูข้ากับน้องเติบโตได้”
เมื่อสองปีก่อนหลี่ซื่อไม่ทันระวังทำให้ผ่านการแท้งมาก่อน ร่างกายยังไม่ได้พักดี สุขภาพแย่ลงมาก แถมยังทำงานเพาะปลูกบ่อยๆ ปัจจัยการดำเนินชีวิตครอบครัวไม่ค่อยดี บ่อยครั้งที่ไม่สบายก็ต้องทนเข้มแข็งไว้ จนกระทั่งสุขภาพแย่ลงทุกปี โดนเจินจูกล่าวเช่นนี้ใส่ หลี่ซื่อก็แสบโพรงจมูก ในตาฉ่ำรื้นขึ้นมา นางก้มศีรษะทานข้าวเพื่อปิดบังน้ำตาเอาไว้ และไม่ได้ส่งไข่ตุ๋นคืนกลับไปแต่อย่างใด
ผิงอันเห็นว่าหลี่ซื่อรับไข่ตุ๋นมาทาน จึงทานไข่ในชามตนเองเข้าไปอย่างเงียบๆ คนในครอบครัวเดียวกันต่างพากันใช้เวลาทานข้าวมื้อเย็นโดยหมดไปกับความคิดที่แตกต่างกัน