ขณะที่หูอู้ซีซ่อนตัวนอนร้องไห้อยู่บนเตียงและเช็ดน้ำตา ในบ้านก็มีเสียงฝีเท้าเบาก้าวเข้ามา หลังจากนั้นเสียงของฟู่เหรินแหบๆ ที่บ่งบอกถึงการผ่านโลกมามากก็ดังขึ้น
“ลูกสะใภ้ๆ เจินจูเป็เช่นไรบ้าง? ฟื้นหรือยัง?”
“ท่านย่า ท่านพี่เพิ่งฟื้น แต่ดื่มยาเสร็จก็นอนหลับไปอีกแล้ว” น้องชายของเธอตอบอย่างกระฉับกระเฉง
หูอู้ซีได้ยินเสียงพูดคุยกระตุ้นเตือนก็หยุดร้องไห้ในทันที กลัวว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาจะเข้ามาเห็นตนเองน้ำตาเต็มใบหน้าแล้วจะอธิบายไม่ได้จึงรีบคว้าผ้าห่มมาเช็ด และสงบจิตสงบใจ หลับตาลง แกล้งหลับต่อ
“ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ดี เมื่อครู่ไม่ใช่ท่านหมอหลินกล่าวแล้วหรือ แค่เจินจูฟื้นขึ้นมา คนถือว่าไม่เป็อะไรแล้ว ค่อยๆ ใช้เวลาฟื้นฟูก็จะดีขึ้น อมิตาพุทธ พระพุทธเ้าคุ้มครองเจินจูของพวกเราให้แคล้วคลาดปลอดภัย” ท่านย่าของเจินจูหญิงชราแซ่หู เดิมแซ่หวัง เรียกขานนางว่าหวังซื่อพูดด้วยเสียงเบา
ผิงอันค่อยๆ ขยับไปอยู่ข้างหวังซื่อและถามอย่างสงสัย “ท่านย่า เหตุใดท่านพี่ของข้าถึงกลิ้งตกลงมาจากไหล่เขาได้เล่า?”
ที่เขาถามเช่นนี้นั้นมีสาเหตุ เด็กในหมู่บ้านบนูเา อยู่ริมเขาฝึกปีนป่ายมาอย่างหนักั้แ่เด็ก มือเท้าปราดเปรียว ขึ้นเขาปีนต้นไม้เป็กิจวัตร เด็กที่โตเท่าท่านพี่ ไปหลังเขาเช่นนี้มาไม่รู้กี่รอบแล้ว เด็กในหมู่บ้านก็อยู่บริเวณยอดเขา ตัดหญ้าขุดผักป่าเก็บเห็ดและทำอย่างอื่นมาหลายปี ภูมิประเทศบริเวณรอบๆ ตรงไหนมีร่องน้ำ ตรงไหนมีคันดินล้วนคุ้นเคยเป็อย่างดี
“โธ่…” หวังซื่อถอนหายใจ กล่าวเสียงเบาว่า “เช้านี้ท่านพี่ชุ่ยจูกับเจินจูของเ้าไปตัดหญ้าด้วยกัน ขากลับมาเจอจ้าวไฉ่สยากับจ้าวไฉ่เฟิงเข้าโดยบังเอิญ พวกนางบอกว่าเห็นรังไข่ของไก่ป่าในกองหญ้าเตี้ยบนเนินเขา เนินเขานั้นลาดชันพวกนางไม่กล้าลงไป จึงยุยงพี่ของเ้าให้ลงไปแทน ปัดโธ่! เจินจูก็จริงๆ เลย เพื่อไข่ของไก่ป่าไม่กี่ใบ สูงและชันขนาดนั้นกล้าลงไปได้อย่างไร ตอนลงไปก็ไม่เป็ไร ทว่าตอนขากลับกลับเหยียบโดนก้อนหิน… จึงลื่นลงไป กลิ้งไปตามทางเนินลาดชันนั่น รอจนชุ่ยจูและพวกนางตามลงไปถึงเนินล่างสุดอย่างตื่นตระหนก ค่อยพบว่าหัวของเจินจูแตกเืไหลและหมดสติไปแล้ว”
หวังซื่อเอ่ยจบ มองหลี่ซื่อที่หน้าตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอยู่พักหนึ่ง จึงพูดกับนางอย่างอ่อนโยนว่า “เจินจูฟื้นก็ดีแล้ว อย่าได้ตำหนินางเลย นางยังเด็ก คนไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว”
หลี่ซื่อพยักหน้าฝืนใจยิ้ม ตบตัวเองเบาๆ แล้วโบกมือ ผิงอันเห็นหลี่ซื่อทำท่าโบกไม้โบกมือเสร็จก็ตอบแทนนางว่า “ท่านย่า ท่านแม่ไม่ตำหนิท่านพี่หรอก ท่านแม่ข้ารักและทะนุถนอมท่านพี่ที่สุด ล้วนโทษจ้าวไฉ่สยากับจ้าวไฉ่เฟิง พวกนางแย่ที่สุด ตนเองไม่กล้าขโมยรังไก่ป่า กลับยุยงให้ท่านพี่ของข้าไปแทน”
“โธ่ โทษคนอื่นก็มิได้หรอก พวกนางไม่ได้บังคับให้เจินจูไป ท่านพี่ของเ้านิสัยตรงไปตรงมา ชุ่ยจูไม่ให้นางไปแต่นางไม่ฟัง ครานี้เสียท่า คราหน้าก็จดจำให้ดีเล่า”
หวังซื่อมองผิงอันอย่างสงสาร หลี่ซื่อไม่สามารถพูดได้ เจินจูอุปนิสัยเก็บตัว สองพี่น้องหญิงชายได้รับความทุกข์ไม่น้อย ตอนยังเล็กก็มักถูกเด็กในหมู่บ้านรังแก แม้ตนเองจะช่วยเป็ปากเป็เสียงอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มาเยี่ยมตลอดเวลาไม่ได้ อย่างไรเสียกิจธุระในบ้านก็มากมาย ยังต้องพะว้าพะวังลูกสะใภ้คนโตอีก
เมื่อคิดแล้วหวังซื่อก็ลอบถอนใจอยู่ข้างใน ปลุกใจตนเองให้กระฉับกระเฉงแล้วส่งตะกร้าไม้ไผ่ที่คลุมด้วยผ้าลายดอกไม้ให้หลี่ซื่อ
“นี่คือไข่ไก่ยี่สิบฟอง เอาไว้ให้เจินจูกับผิงอันบำรุงร่างกาย”
หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ชี้นิ้วไปยังห้องครัว ผิงอันมองปราดเดียวก็รู้ว่าท่านแม่ของเขาหมายถึงอะไร จึงพูดกับหวังซื่อว่า “ท่านย่า ท่านแม่บอกว่าบ้านยังมีไข่ไก่อยู่ ท่านย่าเก็บไข่ไก่ไว้แลกเงินเถิด”
หลี่ซื่อฟังแล้วรีบพยักหน้าคล้อยตาม
หวังซื่อไม่สนใจคนทั้งสอง นางดื้อดึงเอาตะกร้ายัดใส่อ้อมอกของหลี่ซื่อ แสร้งทำเสียใจและกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“บอกให้เ้ารับไว้ก็รับเอาไว้เถิด ไข่ไก่ในครัวเ้าก็เก็บเอาไว้กินเอง นี่สำหรับใช้บำรุงร่างกายหลานทั้งสองของข้า อย่าเอาแต่ประหยัดเลย เ้าลูกชายคนโตของข้าและคนอื่นๆ คงต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนจึงจะกลับ อย่าปล่อยให้เด็กๆ หิว”
ใบหน้าผอมตอบของหลี่ซื่อปรากฏสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในวันปกติแม่สามีหวังซื่อก็มาช่วยเอาอาหารมาเติมเต็มในตำแหน่งที่ว่างของบ้านเสมอ เดือนก่อนผิงอันป่วยเป็หวัดจากอากาศหนาวหลายวัน หวังซื่อก็ให้ไข่ไก่มาตั้งสิบห้าฟอง เพิ่งให้มาไม่นานนี่เองก็ให้อีกยี่สิบฟองเสียแล้ว
หลี่ซื่อเดาว่าพี่สะใภ้เหลียงซื่อของนางคงไม่พอใจนัก สำหรับครอบครัวชาวไร่ชาวสวน ไข่ไก่ส่วนใหญ่เก็บมาได้ก็จะนำไปแลกเป็เงินยามไปจับจ่ายใช้สอยที่ตลาด ไข่ไก่ยี่สิบฟองนับเป็รายได้ไม่น้อยเลย เจตนาของนางไม่อยากเพิ่มความลำบากให้แม่สามี แต่แม่สามีหวังซื่อก็ไม่ยอมแพ้ เื่ที่นางตัดสินใจแล้วน้อยนักที่จะเปลี่ยนใจ ทำได้เพียงรับเอาไข่ไก่มา
หวังซื่อจึงมองนางแล้วยิ้มขึ้นได้ นางพูดชี้แนะด้วยความจริงใจ “นี่ย่อมถูกต้องแล้ว ขอแค่เลี้ยงคนให้ดีก็เหนือกว่าสิ่งอื่นใด เ้าเปิดใจให้กว้างหน่อย อย่าใส่ใจพวกปากมากเ่าั้เลย ตอนเย็นก็ปิดหน้าต่างดีๆ มีเื่อะไรก็ให้ผิงอันไปเรียกข้า ผิงอัน ท่านพ่อของเ้าไม่อยู่ เ้าจึงถือเป็เสาหลักของบ้านนี้ ต้องดูแลท่านแม่กับท่านพี่ของเ้าให้ดี รู้หรือไม่?”
ผิงอันได้ยินเช่นนั้นก็ยืดอกเล็กๆ ขึ้นแล้วตอบรับเสียงดัง
“ขอรับ ท่านย่า ข้าจะดูแลท่านแม่และท่านพี่ให้ดี”
หวังซื่อได้ฟังก็อดหัวเราะไม่ได้ เอ่ยชื่นชม “นี่สิจึงจะเป็ชายชาตรีตระกูลหูของพวกเรา เก่งจริงๆ!” นางยื่นมือออกไปลูบศีรษะผิงอัน ผิงอันก็มองไปที่หวังซื่อแล้วยิ้มไร้เดียงสาอย่างมีความสุข
เมื่อมองดูฉากอบอุ่นของย่าหลานสองคน ใบหน้าทุกข์ระทมของหลี่ซื่อก็ค่อยๆ ปรากฏความตื้นตันใจ ตนเองมีฐานะตำแหน่งต่ำต้อย แต่งเข้าตระกูลหูมาหลายปีเช่นนี้ แม่สามีกลับดูแลนางดีมาตลอด ส่งเสียนางทั้งที่ลับและที่แจ้ง แม้ว่าความเป็อยู่ปีนี้จะค่อนข้างยากจน ทว่าในใจหลี่ซื่อยังคงซาบซึ้งในบุญคุณ
“ในเมื่อเจินจูยังนอนอยู่ ข้าก็ขอกลับก่อนแล้วกัน พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว ในบ้านยังมีเื่กองอยู่ พี่สะใภ้เ้าร่างกายไม่ค่อยดี ชุ่ยจูทำงานบนเตาไม่คล่องแคล่ว ข้าต้องไปดูเสียหน่อย” หวังซื่อพูดแล้วก็เดินไปนอกลานบ้าน
หลี่ซื่อรีบเดินตามไปส่งได้ไม่กี่ก้าว หวังซื่อก็หมุนกายกลับมาโบกมือให้
“ไม่ต้องส่งหรอก แค่ไม่กี่ก้าว รีบไปทำอาหารเย็นเถิด” กล่าวจบก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า
หลี่ซื่อมองเงาค่อยๆ ทอดห่างไกลออกไป จึงเดินไปปิดประตู หยิบตะกร้าไข่ไก่เดินหายเข้าไปในห้องครัว ผิงอันเข้าไปช่วยหลี่ซื่อก่อไฟทำอาหารอย่างรู้ความ
เมื่อไม่ได้ยินเสียงในลานบ้านแล้ว หูอู้ซีจึงลืมตาขึ้น เธอในยามนี้ไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป ชีวิตคนเราต้องมองไปข้างหน้า ในเมื่อเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ เช่นนั้นจึงได้แต่ยอมรับโดยดี
คิดเรียบเรียงจากการพูดคุยที่ได้ยินเมื่อครู่ รวมกับความทรงจำที่ร่างนี้เหลือไว้ หูอู้ซีก็เข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ของบ้านหลังนี้ ท่านแม่หลี่ซื่อที่อ่อนโยนและพูดไม่ได้ น้องชายผิงอันที่รู้ความ ผอมแห้งและป่วยบ่อย อีกทั้งยังมีท่านพ่อหูฉางกุ้ยที่ทำงานรับจ้างชั่วคราวอยู่ในเมือง ในความทรงจำเป็คนซื่อๆ ไม่ค่อยพูด รวมตัวหูเจินจูเองลงไปด้วย มองจากภายนอกแล้วก็เป็ครอบครัวเรียบง่ายที่มีกันอยู่สี่คน
แต่ในความเป็จริง หากไม่ได้มองโลกในแง่ดีเท่าไหร่นัก ท่านแม่หลี่ซื่อของเธอตอนแต่งเข้าตระกูลหูก็เป็ใบ้ ไม่รู้ว่าเป็ใบ้ั้แ่เกิดหรือเป็ใบ้ในภายหลัง ผู้ใหญ่ในครอบครัวเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับมิดชิด
ในความทรงจำหูเจินจูเคยได้ยินเื่นินทาในหมู่บ้านมาเล็กน้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็เพียงการคาดเดา เพราะหลี่ซื่อไม่ใช่คนแถวนี้ อีกทั้งตอนแต่งออกมาก็อายุสิบแปดแล้ว ดังนั้นคนในหมู่บ้านต่างคิดกันว่าเพราะหลี่ซื่ออยู่บ้านเกิดของตนเองแล้วแต่งไม่ออก จึงแต่งเข้าตระกูลหูที่อยู่ห่างไกลแทน
สำหรับเหตุผลที่เหตุใดหูฉางกุ้ยถึงแต่งสะใภ้ที่เป็ใบ้เข้ามานั้นคำตอบช่างเรียบง่ายเป็อย่างยิ่ง หนึ่งคือจน สองคือรูปโฉม
ตอนหูฉางกุ้ยอายุสิบห้าปี เขาและหูฉางหลินถือโอกาส่หลังเก็บเกี่ยวออกจากบ้านไปรับจ้างขุดคลองยังอำเภอข้างๆ หลังทำอยู่เดือนหนึ่งก็สำเร็จได้รับค่าแรงกลับบ้าน ทว่าเมื่อใกล้ถึงบ้านกลับเจอพายุฝน เดิมทีควรจะหลบฝนในเพิงของนายพรานที่อยู่ใกล้เคียง แต่หูฉางหลินตอนนั้นใจร้อนไปหน่อย คิดถึงภรรยาที่ตั้งครรภ์ได้สามเดือนซึ่งกำลังรออยู่ที่บ้าน คุยโวว่าร่างกายแข็งแรงตากฝนนิดหน่อยไม่เห็นเป็อะไร จึงเสนอการเดินทางฝ่าสายฝน หูฉางกุ้ยเป็คนซื่อ ไม่ได้มีความคิดเห็นอะไร เป็ธรรมดาที่จะไม่คัดค้าน
ทั้งสองรีบร้อนเดินไปตามทางได้ชั่วขณะ เห็นว่าเมื่อเลี้ยวผ่านอีกเขาหนึ่งจะมาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว ทว่าจู่ๆ ก็มีหินก้อนใหญ่กลิ้งลงมาตามเนินลาด เนื่องจากตอนนั้นฝนตกหนักลมพัดแรง หูฉางหลินเดินนำหน้าและไม่รู้ตัวว่ามีอันตราย ส่วนหูฉางกุ้ยที่อยู่ด้านหลังสังเกตเห็นหินก้อนใหญ่นี้กลิ้งหล่นลงมา จึงผลักเขาออกไป ส่วนตัวเองไม่มีเวลาหลบหาที่กำบัง จึงทำให้ถูกเศษหินที่กลิ้งลงมาพร้อมกันปะทะเข้าที่กลางหน้าผาก ชั่วพริบตาเืสีแดงฉานก็เปื้อนไปทั่วดวงตาของเขา สุดท้ายก็ทรุดตัวลงเสียงดัง “ตุบ”
หูฉางหลินโซเซหลบก้อนหินใหญ่ได้ทัน พอหันกลับมาพบว่าหูฉางกุ้ยล้มลงไปกับพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเืสีแดงฉาน เมื่อความหวาดกลัวจางลง ก็หมุนกายแบกหูฉางกุ้ยขึ้นหลังมุ่งไปหาท่านหมอหลินในหมู่บ้าน สิ่งเดียวที่น่ายินดี ณ เวลานั้นคือท่านหมอหลินจากหมู่บ้านมาอาศัยอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านพอดี
อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงสู่ตระกูลหู โดยเฉพาะสำหรับหูฉางหลินแล้ว พี่สาวคนโตของเขาแต่งออกไปไกล หนึ่งปียังยากที่จะกลับบ้านสักครั้ง ดังนั้นพี่น้องที่เหลือกันอยู่เพียงสองคนจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีเสมอมา อุบัติเหตุเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเขายืนกรานเร่งรีบเดินทาง เื่เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หากตอนนั้นฉางกุ้ยไม่ได้ผลักเขาให้พ้นทาง เขาจะเป็หรือตายก็ล้วนไม่แน่ชัด หูฉางหลินจึงรู้สึกผิดมากและโทษตนเองตลอดเวลา
หน้าผากข้างซ้ายของหูฉางกุ้ยแตกเป็รูใหญ่ าแลากยาวมาจนถึงคิ้ว ภายหลังาแค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ ขนคิ้วของชายหนุ่มที่แต่เดิมทั้งหนาทั้งละเอียดได้เกิดความเสียหาย เหลือไว้ซึ่งแผลเป็ขนาดใหญ่ขรุขระไม่น่าดู ดังนั้นจึงเป็เื่ยากในการแต่งงาน ทั้งหมู่บ้านเดิมที่อยู่และหมู่บ้านใกล้เคียง ไม่พบใครที่เต็มใจจะแต่งงานกับเขา
แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเพราะรูปร่างหน้าตา แต่ยังเพราะว่าต้องซื้อยารักษาโรคของหูฉางกุ้ยอีกด้วย ตระกูลหูหยิบยืมหนี้จากข้างนอกมาไม่น้อย เดิมทีครอบครัวนี้ไม่ได้ร่ำรวยั้แ่แรกอยู่แล้ว จึงยิ่งยากจนลงไปอีก
จนกระทั่งรอให้หูฉางกุ้ยอายุยี่สิบปี หวังซื่อพาเขาออกไปเที่ยวไกลบ้าน พอกลับมาก็พาหลี่ซื่อกลับมาด้วย ชาวบ้านเล่ากันว่าเป็ลูกสาวกำพร้าที่ได้รับการแนะนำจากญาติภายนอก ด้วยเหตุผลพิเศษบางอย่างทำให้พวกเขาต้องมาแต่งงานกันในต่างแดนเช่นนี้ ไม่มีการจัดโต๊ะอาหารเตรียมไว้รับแขก เพียงแจกลูกอมมงคลให้แก่คนในหมู่บ้าน
ตระกูลหูสู่ขอสะใภ้ที่เป็ใบ้แต่งเข้ามา ข่าวแพร่กระจายเร็วปานติดปีก มีเื่อื้อฉาวมากมาย เหล่าชาวบ้านก็พากันถกเถียงอยู่่หนึ่ง และมักจะมาล้อมรอบลานบ้านตระกูลหูเพื่อดูเ้าสาวที่พูดไม่ได้ หลี่ซื่อเพิ่งมาถึงตระกูลหูได้พักหนึ่ง นางไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าออกจากประตูห้องใน่เวลากลางวัน รอจนเย็นย่ำ ตอนที่ผู้คนสงบแล้วจึงกล้าเดินออกจากประตูห้องมาหายใจ
บ้านเก่าของตระกูลหูถูกสร้างขึ้นตรงทางเข้าหมู่บ้าน และมีชาวบ้านเข้าๆ ออกๆ เป็จำนวนมาก ตระกูลหูทำได้เพียงปิดลานบ้านให้มิดชิด จนเมื่อหลี่ซื่อให้กำเนิดหูเจินจู ข่าวลือจากชาวบ้านจึงค่อยๆ ซาลง
เมื่อเจินจูโตได้สามขวบ หวังซื่อตัดสินใจให้หูฉางกุ้ยและภรรยาแยกครอบครัวออกไปอยู่ลำพัง หาที่ดินท้ายหมู่บ้านและสร้างบ้านให้พร้อมย้ายเข้าอยู่ หลังจากนั้น ชีวิตของหูฉางกุ้ยและภรรยาจึงสงบเงียบลงได้