บทที่ 5 เข็มเล่มหนึ่ง พลิกชะตาฟ้าดิน
ใน่บ่าย มู่หลันถูกส่งตัวไปยังบททดสอบด่านต่อไป ค่ายพยาบาล
หากโรงครัวคือความโกลาหลของชีวิต ค่ายพยาบาลก็คือโถงระเบียงแห่งความตายที่เงียบงัน กลิ่นที่ตลบอบอวลอยู่ที่นี่ไม่ใช่กลิ่นอาหาร แต่เป็กลิ่นคาวเืที่เข้มข้น กลิ่นยาสมุนไพรที่ฉุนกึก และกลิ่นเนื้อเน่าจางๆ ที่ชวนให้คลื่นเหียน เสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงตะหลิวกระทบกระทะ แต่เป็เสียงครวญครางอย่างเ็ปของผู้าเ็ เสียงลมหายใจที่แ่เบาราวกับจะขาดห้วง และเสียงสะอื้นของทหารหนุ่มที่คิดถึงบ้าน
บรรยากาศหนักอึ้งกดทับจนแทบหายใจไม่ออก
ค่ายพยาบาลประกอบด้วยกระโจมขนาดใหญ่หลายหลังเชื่อมต่อกัน ภายในมีเพียงแคร่ไม้ไผ่เรียงรายเป็แถวยาว บนแคร่เ่าั้คือร่างของเหล่าทหารหาญที่าเ็จากสมรภูมิและอุบัติเหตุจากการฝึกซ้อม ผ้าพันแผลสีขาวหม่นชุ่มโชกไปด้วยเืและหนอง หมอทหารและผู้ช่วยไม่กี่คนกำลังวิ่งวุ่นกันจนหัวหมุน
ทหารยามคนเดิมพาเธอมาส่งมอบให้กับชายชราผู้หนึ่ง ผมและหนวดเคราของเขาขาวโพลนราวกับปุยเมฆ หลังโค้งงองุ้มเล็กน้อย สวมชุดผ้าป่านสีเทาที่เก่าซอมซ่อแต่สะอาดสะอ้าน เขากำลังบดยาสมุนไพรอยู่ในรางบดยาด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง สวนทางกับความวุ่นวายรอบข้าง
“ท่านหมอโม่ นี่คือคนที่ท่านแม่ทัพส่งมาช่วยงาน”
ชายชราที่ถูกเรียกว่า หมอโม่ ละสายตาจากรางบดยาขึ้นมามองมู่หลัน เขาใช้ดวงตาที่ฝ้าฟางแต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความเฉียบคมสำรวจเธอั้แ่หัวจรดเท้า ก่อนจะแค่นเสียงออกมาจากลำคอ
“สตรีอีกแล้วรึ?” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าแต่แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ “ที่นี่ไม่ใช่โรงครัวนะ ที่นี่คือสถานที่ต่อสู้กับพญายม มือที่จับได้เพียงเข็มเย็บผ้า จะมารักษาคนได้อย่างไร? ส่งนางไปต้มน้ำ ต้มผ้าพันแผลก็พอแล้ว อย่าให้มาเกะกะข้า”
‘ท่านแม่ทัพคิดอะไรอยู่กันแน่? ส่งสตรีบอบบางนางหนึ่งมาที่นี่ มีแต่จะมาเป็ลมล้มพับให้เกะกะเปล่าๆ งานพยาบาลต้องใช้คนใจแข็งและมีประสบการณ์ ไม่ใช่คุณหนูที่ไหนก็ไม่รู้!’ หมอโม่มองดูเธอแล้วส่ายหน้าแบบไม่เข้าใจ
มู่หลันไม่ได้โต้เถียง เธอโค้งคำนับให้เขาอย่างนอบน้อม “ท่านหมอโม่โปรดวางใจ ข้าจะไม่สร้างความวุ่นวายให้ท่านเ้าค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็เดินไปที่เตาไฟขนาดใหญ่ซึ่งใช้ต้มน้ำสำหรับเช็ดตัวและทำความสะอาดอุปกรณ์อย่างเงียบๆ งานของเธอคือการเติมฟืนและดูแลไม่ให้ไฟดับ ซึ่งเป็งานที่น่าเบื่อแต่ก็ทำให้เธอมีเวลาสังเกตการณ์ทุกอย่างรอบตัว
เธอเห็นหมอโม่รักษาทหารนายหนึ่งที่มีาแถูกฟันที่แขน เขาใช้คีมเหล็กที่เพิ่งเช็ดกับผ้าเปื้อนเืมาคีบเศษผ้าออกจากแผล ก่อนจะใช้เหล้าขาวยาดองราดลงไปเพื่อ ฆ่าพิษ เสียงร้องโหยหวนด้วยความเ็ปของทหารนายนั้นดังไปทั่วกระโจม จากนั้นหมอโม่ก็ตำยาสมุนไพรสดพอกลงไปบนแผลแล้วใช้ผ้าพันไว้เป็อันเสร็จสิ้นกระบวนการ
มู่หลันถึงกับต้องเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกสยดสยองปนสังเวชใจ
‘นี่มัน ไม่ใช่การรักษา นี่มันคือการเพิ่มโอกาสติดเชื้อชัดๆ!’ ในยุคของเธอ หลักการพื้นฐานที่สุดคือความสะอาดและการฆ่าเชื้อ แต่อุปกรณ์ทุกอย่างที่นี่กลับถูกใช้ปะปนกันโดยไม่มีการทำความสะอาดอย่างถูกวิธีเลยแม้แต่น้อย าแเล็กๆ น้อยๆ อาจลุกลามจนต้องตัดแขนตัดขาทิ้ง หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเืได้ง่ายๆ
เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอัตราการเสียชีวิตของทหารจากาแที่ไม่ร้ายแรงถึงสูงนักในยุคโบราณ
ขณะที่เธอกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เสียงร้องด้วยความเ็ประคนสิ้นหวังก็ดังขึ้นจากแคร่ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ท่านหมอ ช่วยข้าด้วย ข้าปวดเหลือเกิน มันร้อน ร้อนเหมือนมีไฟแผดเผาอยู่ข้างใน”
ทหารหนุ่มหน้าซีดเผือดคนหนึ่งกำลังนอนตัวสั่นอยู่บนเตียงไม้ ขาข้างหนึ่งของเขามีาแจากลูกธนูที่ไม่ลึกนัก แต่บริเวณรอบๆ แผลกลับบวมแดงก่ำและร้อนจัดเป็วงกว้าง เขากำลังมีไข้สูงจนเริ่มพูดจาไม่รู้เื่
หมอโม่เดินเข้าไปตรวจดูอาการ เขาใช้มืออังที่หน้าผากแล้วส่ายหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พิษาแเข้าสู่ภายในแล้ว เตรียมยาระงับปวดให้เขากิน แล้วก็ เตรียมตัวแจ้งข่าวให้ครอบครัวเขาได้เลย”
คำพูดที่เยือกเย็นราวกับคำพิพากษาของเขา ทำให้ทหารที่นอนอยู่บนแคร่ข้างๆ ถึงกับน้ำตาซึม
“อาเปียว เ้ายังหนุ่มแน่นแท้ ๆ าแแค่นั้นไม่น่าจะพรากชีวิตคนได้ แต่พิษในแผลนั่น น่ากลัวนัก”
ทหารที่นอนอยู่เตียงข้าง ๆ พึมพำเสียงแ่ มองร่างที่กำลังสั่นเทาของสหายด้วยแววตาสลด “ผู้ใดโดนพิษนี้เข้า ล้วนมีแต่ทางตาย ช่างน่าสงสารนัก”
เขาถอนหายใจยาวอย่างปลงตก ก่อนจะหลับตาลงราวพยายามไม่ให้หัวใจสั่นไหวไปกับความจริงอันโหดร้ายตรงหน้า
สิ้นหวัง ความรู้สึกสิ้นหวังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกระโจม
แต่มู่หลันกลับไม่คิดเช่นนั้น!
‘ไข้สูง แผลบวมแดงร้อน นี่มันคืออาการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรง! ยังมีทางรักษาได้อยู่!’
“เดี๋ยวก่อนเ้าค่ะ!”
มู่หลันเผลอพูดขัดขึ้นมาเสียงดัง ทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นหันมามองเธอเป็ตาเดียว หมอโม่หันกลับมามองเธอด้วยสายตาไม่พอใจอย่างยิ่ง
“มีอะไร? หรือเ้าอยากจะสวดส่งิญญาให้เขาล่วงหน้า?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเ้าค่ะ!” มู่หลันเดินตรงเข้าไปหาหมอโม่ สูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวอย่างฉะฉาน “ข้าคิดว่า เขายังมีทางรอดเ้าค่ะ!”
คำพูดของเธอทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นเบาๆ
“เหลวไหล!” หมอโม่ตวาดลั่น “เ้าเป็ใคร? เ้าเรียนวิชาแพทย์มาจากไหน ถึงกล้ามาพูดจาโอหังต่อหน้าข้า! ขนที่ก้นของข้ายังยาวกว่าเส้นผมบนหัวเ้าเสียอีก! ข้ารักษาคนมาทั้งชีวิตจะไม่รู้รึว่าอาการไหนมีทางรอด อาการไหนมีแต่ทางตาย!”
“ข้าเคยเรียนวิชาแพทย์ และข้ารู้ว่าความสกปรกคือบ่อเกิดของโรคร้าย!” มู่หลันโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ “แผลของเขาไม่ได้ถูกพิษ แต่กำลังเน่า จากสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็นเ้าค่ะ!”
ขณะที่เธอเข้าใกล้ทหารหนุ่มคนนั้น พลังวิเศษที่เคยรู้สึกเพียงลางๆ กับแม่ทัพเว่ยหลงก็พลันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันชัดเจนกว่าเดิมมาก!
พลังวิเศษของมู่หลัน เป็พลังที่ละเอียดอ่อน ซับซ้อน และผูกพันกับ พลังชีวิต โดยตรงสามารถเรียกได้ว่า ััแห่งชีวา ซึ่งแสดงออกได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสมาธิของเธอในขณะนั้น เช่นเมื่อมู่หลันััหรือเข้าใกล้สิ่งมีชีวิต เธอจะสามารถรู้สึกถึงสภาวะทางกายภาพของสิ่งนั้นได้โดยตรง
เช่นถ้าเธอเข้าใกล้กับคนป่วย/าเ็ เธอจะไม่ได้แค่เห็นาแ แต่จะ "รู้สึก" ถึงความเ็ป ความร้อนจากการอักเสบ หรือความเย็นเยียบของการขาดเืได้ราวกับเป็ร่างกายของเธอเอง ในตอนที่เธอเข้าใกล้ทหารหนุ่มที่ติดเชื้อ เธอจึง "รู้สึก" ถึงความร้อนผ่าวเหมือนไฟแผดเผาและความปั่นป่วนใต้ิัของเขาได้
กับคนปกติ เธอจะรู้สึกถึงการไหลเวียนของโลหิต จังหวะการเต้นของหัวใจ หรือความตึงเครียดของกล้ามเนื้อได้ลางๆ สิ่งนี้ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าใครกำลังโกหก (หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ) หรือใครกำลังซ่อนความกังวลไว้ (กล้ามเนื้อเกร็ง)
พลัง ััแห่งชีวา ของมู่หลัน คือเครื่องมือวินิจฉัยโรคที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ มันทำให้เธอมองข้ามอาการภายนอกและมองลึกลงไปถึง "แก่นแท้" ของความเจ็บป่วยได้ ไม่ว่ามันจะเกิดจากเชื้อโรคทางกายภาพ หรือพลังงานชั่วร้ายที่มองไม่เห็นก็ตาม พลังนี้เมื่อผสมผสานเข้ากับความรู้ทางการแพทย์จากโลกอนาคต จึงทำให้นางกลายเป็หมอที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้ในโลกโบราณนี้อย่างแท้จริง
เธอรู้สึกได้ถึงความเ็ปของเขา และไม่ใช่แค่นั้น เธอยังเห็น เป็ภาพลางๆ ในหัวเป็ภาพของจุดเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังคลืบคลานและกัดกินอยู่ใต้ิัของเขาบริเวณรอบาแ มันให้ความรู้สึกร้อนผ่าวและน่าขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก
นี่คือ เชื้อโรค! ความรู้สึกนี้ยิ่งทำให้เธอมั่นใจในสิ่งที่กำลังจะทำ
“ท่านหมอโม่ ได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้งเถิดเ้าค่ะ!” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ขอเพียงน้ำร้อนที่ต้มจนเดือด เกลือบริสุทธิ์ ผ้าสะอาด และเข็มเย็บผ้าที่เผาไฟจนแดงข้าจะช่วยดึงพิษ ออกมาจากร่างกายของเขาให้ได้!”
หมอโม่มองเธอราวกับมองคนเสียสติ “เผาเข็ม? เอาเกลือมาโรยแผล? เ้าจะรักษาเขาหรือจะทรมานเขาให้ตายเร็วขึ้นกันแน่!”
“ถ้าหากข้าทำไม่สำเร็จ ท่านจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ จะตัดหัวข้าเสียบประจาน ข้าก็ไม่ว่า!” มู่หลันประกาศกร้าว เดิมพันด้วยชีวิตของตัวเอง!
ความเด็ดเดี่ยวในแววตาของเธอทำให้หมอโม่ถึงกับพูดไม่ออก เขามองลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลคู่นั้น มันเป็ดวงตาที่ไม่ได้มีความโอหัง แต่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ความเชื่อมั่นที่ทำให้แม้แต่คนแก่ที่ผ่านโลกมามากอย่างเขายังต้องสั่นสะท้าน
“ก็ได้...” ในที่สุดเขาก็ยอมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ “ข้าจะให้โอกาสเ้า! แต่ถ้าเ้าทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าเดิม หรือทำให้เขาตายเร็วขึ้นแม้แต่ครึ่งชั่วยาม ข้าจะเป็คนนำตัวเ้าไปให้ท่านแม่ทัพลงอาญาด้วยตัวเอง!”
“ตกลงเ้าค่ะ!”
มู่หลันไม่รอช้า เธอสั่งการผู้ช่วยคนอื่นๆ อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็แม่ทัพออกศึกเสียเอง “ขอน้ำที่กำลังเดือดจัดๆ! เอาเกลือมาหนึ่งถ้วย ผ้าลินินที่สะอาดที่สุดเท่าที่จะหาได้! และคีมกับเข็ม!”
ผู้ช่วยต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่เมื่อเห็นหมอโม่พยักหน้าอนุญาต พวกเขาก็รีบวิ่งไปทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
มู่หลันนำอุปกรณ์ทั้งหมดมาวางบนผ้าสะอาด เธอใช้คีมคีบเข็มไปลนไฟจนร้อนแดงเพื่อฆ่าเชื้อ ละลายเกลือจำนวนมากลงในน้ำเดือดเพื่อทำเป็น้ำเกลือฆ่าเชื้อความเข้มข้นสูงจากนั้นจึงใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลือร้อนๆ ค่อยๆ เช็ดทำความสะอาดบริเวณรอบาแอย่างแ่เบา
“ข้ารู้ว่ามันจะเจ็บมาก แต่ได้โปรดอดทนไว้” เธอกระซิบบอกทหารหนุ่มที่กำลังนอนหายใจรวยริน “หลังฝนซาฟ้าจะใส หลังความเ็ปคือชีวิตใหม่ อดทนไว้นะ”
จากนั้นเธอก็เริ่มลงมือในส่วนที่น่าหวาดเสียวที่สุด เธอใช้ปลายเข็มที่ฆ่าเชื้อแล้ว ค่อยๆ สะกิดเปิดปากแผลที่เริ่มปิดแล้วออก เพื่อระบายหนองที่ขังอยู่ภายในออกมา!
ภาพที่เห็นทำให้ทหารที่มุงดูอยู่ถึงกับเบือนหน้าหนี แต่หมอโม่กลับจ้องมองทุกขั้นตอนของเธอไม่วางตา
‘นาง... นางกล้าเปิดแผลที่กำลังจะปิด! นี่มันผิดหลักการแพทย์โดยสิ้นเชิง! แต่ การกระทำของนางกลับดูมั่นคงและมีหลักการอย่างน่าประหลาด ทุกอย่างต้องสะอาด ทุกอย่างต้องผ่านความร้อน มันคือหลักการแบบไหนกันแน่?’ หมอโม่นิ่งคิด
เมื่อหนองสีเหลืองข้นถูกระบายออกมาจนหมด มู่หลันก็ใช้น้ำเกลือร้อนๆ ชะล้างแผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแน่ใจว่าสะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นจึงใช้ผ้าสะอาดที่ชุบน้ำเกลือปิดแผลเอาไว้ แล้วใช้ผ้าแห้งพันทับอีกชั้นหนึ่ง
เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเธอ แต่เธอก็ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นด้วยความเรียบร้อยและรวดเร็ว
ทหารหนุ่มผู้าเ็สลบไปแล้วเพราะความเ็ป แต่ลมหายใจของเขาดูสม่ำเสมอขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“เสร็จแล้วเ้าค่ะ” มู่หลันกล่าวพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “จากนี้ต้องคอยเช็ดตัวให้เขาเพื่อลดไข้ และเปลี่ยนผ้าพันแผลด้วยน้ำเกลือทุกๆ สองชั่วยาม ถ้าโชคดี พรุ่งนี้เช้าไข้ของเขาน่าจะลดลง”
หมอโม่เดินเข้ามาตรวจดูชีพจรของทหารนายนั้นด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก เขาไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้ตำหนิเธอเช่นกัน
บรรยากาศในกระโจมเต็มไปด้วยความเงียบและความหวัง ทุกสายตาจับจ้องไปที่ร่างของทหารหนุ่มบนแคร่ไม้ไผ่ราวกับรอคอยการพิพากษาจาก์
ทันใดนั้นเอง... เงาร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นที่ประตูทางเข้ากระโจม
“เกิดอะไรขึ้น? ข้าได้ยินว่ามีคนกำลังจะรักษาคนตายให้ฟื้นที่นี่งั้นรึ?”
น้ำเสียงที่เ็าและทรงอำนาจนั้นเป็ของใครไปไม่ได้ นอกจากแม่ทัพพิทักษ์อุดร เว่ยหลง!
เขายืนกอดอกอยู่ที่หน้าประตู แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ส่องมาจากด้านหลังทำให้ร่างของเขากลายเป็เงาดำทะมึนน่าเกรงขาม สายตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องตรงมายังมู่หลัน แววตาของเขาไม่ได้ฉายแววชื่นชม แต่กลับเต็มไปด้วยความเ็าและเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน!
มู่หลันใจหายวาบ ดูเหมือนว่าการกระทำที่นอกเหนือคำสั่งของเธอครั้งนี้ จะสร้างปัญหาใหญ่หลวงกว่าที่เธอคาดคิดไว้เสียแล้ว