มู่หรงฉือให้คุณชายหรงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้นั่งลง แล้วพูดด้วยท่าทางใจดี “คุณชายมีนามว่าอะไร? ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว?”
มาที่หยาเหมินครั้งแรกเขายังกล้าๆ กลัวๆ อยู่เล็กน้อย ตอบเสียงเบา “ข้าน้อยแซ่หรง มีนามว่าเทียนสิง ปีนี้อายุยี่สิบสองขอรับ”
นางถามอีกครั้ง “ความหมายของชื่อเ้าไม่เลวเลย เ้าแต่งงานหรือยัง? เ้าไม่จำเป็ต้องตื่นเต้น ข้าแค่เรียกเ้ามาถามเป็พิธีเท่านั้น เพียงตอบกลับมาตามความจริงก็พอ”
เขามองไปยังเสิ่นจือเหยียนที่อยู่ด้านข้างกับเ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านนอก ก่อนจะตอบกลับ “ขอรับ ใต้เท้า ที่บ้านของข้าน้อยยากจน จึงยังไม่ได้แต่งภรรยาขอรับ”
“พ่อแม่ของคุณชายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? มีพี่น้องกี่คน? ในบ้านใช้ชีวิตกันอย่างไร?”
“บิดาของข้าน้อยเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ส่วนท่านแม่ก็อายุมากแล้ว ตอนที่ร่างกายยังแข็งแรงนางตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับเพื่อนบ้าน ข้าน้อยมีน้องสาวสองคน พวกนางยังเล็ก ส่วนข้าน้อยเป็ลูกศิษย์ของร้านขายยาร้านหนึ่ง เพิ่งจะเรียนมาได้สองปี หากเรียนวิชาจนสามารถรักษาคนได้ ก็จะมีทักษะเอาไว้เลี้ยงชีวิต ถึงตอนนั้นสถานการณ์ในครอบครัวก็คงจะดีขึ้นมาบ้าง”
“บรรพบุรุษของเ้าอยู่ที่เมืองหลวงหรือ?”
“บรรพบุรุษสี่รุ่นอยู่ที่เมืองหลวงขอรับ บรรพบุรุษของข้าน้อยย้ายถิ่นฐานมาจากบ้านนอกแล้วใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าเคยออกจากเมืองหลวงหรือไม่?” มู่หรงฉือจับจ้องเขา ไม่ปล่อยให้ท่าทางของเขาหลุดรอดไปแม้แต่น้อย
“ข้าน้อยศึกษาอยู่ที่ร้านยาทุกวัน อย่าพูดถึงเื่ออกจากเมืองหลวงเลย กระทั่งจะขอลาสักวันก็ยังไม่ได้” หรงเทียนสิงตอบ
“ขอบคุณเ้าที่ให้ความร่วมมือ เชิญเ้ากลับไปก่อนเถิด” มู่หรงฉือตอบด้วยเสียงอ่อนโยน
หรงเทียนสิงคนนี้ไม่ใช่คนที่กำลังตามหา เซี่ยเสี่ยวลู่รู้หนังสือเข้าใจเหตุผล พูดจาดี บุคลิกโดดเด่น ถึงแม้นางจะสวมเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา แต่เนื้อผ้ากับคุณภาพของเครื่องประดับกลับเป็ของระดับต่ำลงมา คาดว่าคงจะเป็คุณหนูจากตระกูลที่พอจะมีเงินอยู่บ้าง แต่คุณหนูผู้หนึ่งคงไม่มีทางชอบคนซื่อๆ หน้าตาธรรมดาดาษดื่นจากครอบครัวยากจน ทั้งยังมีครอบครัวที่ต้องดูแลแน่
คุณชายหรงคนต่อมา ไม่ว่าจะเป็รูปลักษณ์ภายนอกหรือว่าท่าทาง เมื่อเทียบกับหรงเทียนสิงแล้วต่างกันราวฟ้ากับดิน
คนผู้นี้สวมชุดปักลายบุปผาสีแดงหรูหราประณีต ดวงหน้าหล่อเหลา คำพูดคำจา ท่าทางเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เป็คุณชายที่สามารถพบได้ทั่วไปตามท้องถนน
เสิ่นจือเหยียนพูดข้างหูของมู่หรงฉือ “คนผู้นี้สถานะครอบครัวไม่เลว ที่บ้านมีโรงงานทอผ้าไหม”
นางหัวเราะเสียงเย็น มีโรงงานทอผ้าไหมก็ถือว่าตนยิ่งใหญ่คับฟ้าแล้วหรือ?
“ใต้เท้าอยากจะถามอะไรก็รีบถามมา ข้ายุ่งมาก” แววตาเอื่อยเฉื่อยกวาดมองไปรอบๆ พลางเอ่ยเสียงเนือย
“คุณชายมีนามว่าอะไร?” นางถามเสียงเย็น
“หรงซ่าวเชียน”
“ไม่ทราบว่าคุณชายเชียนยุ่งเื่อะไรหรือ?”
“เื่ที่ต้องทำมีเยอะแยะ ทั้งต้องกินข้าวแล้วก็นอน ยังมีอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ต้องดื่มเหล้าชมจันทร์กับเยว่เอ๋อร์ เสี่ยวเสวี่ยเอ๋อร์ รวมถึง...”
“เหตุใดคุณชายถึงยังไม่แต่งภรรยาเล่า?” มู่หรงฉือตัดบท
“ข้าไม่ได้โง่สักหน่อยจึงต้องหาภรรยามาควบคุมตัวเองเช่นนั้น” หรงซ่าวเชียนหัวเราะ “พอในเรือนมีภรรยาแล้ว ก็ไม่สามารถดื่มสุราชมจันทร์กับเยว่เอ๋อร์ เสี่ยวเสวี่ยเอ๋อร์แล้วน่ะสิ น่าเบื่อน่ารำคาญมากเลยใช่หรือไม่? ข้าไม่ใช่คนประเภทที่เพื่อต้นไม้เพียงต้นเดียวแล้วต้องทิ้งต้นไม้ต้นอื่นอีกหลายต้นไปหรอกนะ ไม่คุ้มเอาเสียเลย”
“บ้านบรรพบุรุษของคุณชายหรงอยู่ที่ไหนหรือ?”
“บรรพบุรุษอยู่ที่จินโจว ท่านปู่ของข้าย้ายมาทำการค้าที่เมืองหลวงั้แ่ยังหนุ่ม”
ในใจของมู่หรงฉือดีใจขึ้นมาเล็กน้อย “บรรพบุรุษของเ้าอยู่ที่จินโจว เ้าได้กลับไปไหว้บรรพบุรุษหรือไม่?”
เขาตอบกลั้วหัวเราะเสียงเย็น “สถานที่อันทุรกันดารทั้งยังเล็กแสนเล็กเช่นจินโจวข้าไม่ไปหรอก หอโคมเขียวที่นั่นจะไปมีแม่นางที่งดงามอ่อนโยนได้อย่างไรกัน? ยังห่างชั้นจากเสี่ยวเยว่เอ๋อร์ เสี่ยวเสวี่ยเอ๋อร์อีกไกล เสี่ยวเยว่เอ๋อร์กับเสี่ยวเสวี่ยเอ๋อร์ของข้านั้นน่ารักที่สุดแล้ว”
เสิ่นจือเหยียนทนไม่ได้อีกต่อไป ตวาดเสียงต่ำ “ตอบให้ดีๆ! ซื่อสัตย์หน่อย!”
นางถามด้วยใบหน้าเ็าอีกครั้ง “หลายปีมานี้ เ้าไปเคยกลับไปเลยหรือ?”
หรงซ่าวเชียนสงบเสงี่ยมขึ้นมาเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งยังดุร้ายอยู่เล็กน้อย “ตอนข้าอายุสิบแปด ท่านพ่อสั่งให้ข้ากลับบ้านเกิดไปไหว้บรรพบุรุษ จึงกลับไปตอนนั้นครั้งหนึ่ง”
“หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย?”
“ไม่เลย”
“หากคำให้การของเ้าเป็ความเท็จ ศาลต้าหลี่จะยังเชิญเ้ากลับมาอีกครั้ง ถึงตอนนั้นก็จะไม่เป็เพียงการถามคำถามง่ายๆ แล้ว” มู่หรงฉือดวงตาเย็นเยียบ
“ข้าขอพูดสักหน่อยเถิดใต้เท้า พวกท่านถามข้าเื่พวกนี้ไปทำอะไร? ข้าวันๆ ก็เอาแต่ดื่มสุราสำมะเลเทเมา แต่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร ข้าไม่ได้ก่ออาชญากรรมใดด้วย” หรงซ่าวเชียนแสดงท่าทีรำคาญก่อนจะอ้าปากหาว “รบกวนใต้เท้ารีบๆ หน่อย ข้ายังต้องกลับไปนอนอีก”
“เ้ากลับไปได้แล้ว”
“จริงหรือ? ใต้เท้า ทางที่ดีที่สุดพวกท่านถามมาให้หมดในคราวเดียว ข้าไม่อยากกลับมาศาลต้าหลี่อีก เดี๋ยวข้าจะถูกพวกพี่ชายน้องชายหัวเราะเยาะเอา” เขายืนขึ้นแล้วพูดออกมา
มู่หรงฉือกวักมือเรียกเ้าพนักงานที่อยู่ด้านนอกให้พาคนออกไป จากนั้น นางก็สั่งฉินรั่วเสียงเบา “ตามเขากลับไป ไปถามบ่าวรับใช้ในบ้านของเขา”
ฉินรั่วรับคำสั่ง รู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไร
เสิ่นจือเหยียนไม่เข้าใจ “เตี้ยนเซี่ย ท่านตามหาคุณชายอายุน้อยของสกุลหรงมาสอบถาม เื่นี้เกี่ยวข้องกับการตายของหลินซูหรือ?”
นางยิ้ม “บางทีอาจจะเกี่ยว บางทีอาจจะไม่เกี่ยว”
“หา?” เขายิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
“เปิ่นกงเจอแม่นางอายุน้อยคนหนึ่งมาตามหาคนที่เมืองหลวง ที่บังเอิญก็คือ คนรักที่นางตามหาก็แซ่หรงเช่นกัน”
นางเล่าเื่ของเซี่ยเสี่ยวลู่ให้ฟัง เพียงแต่เื่ที่เซี่ยเสี่ยวลู่บอกว่าคนรักของนางหน้าตาเหมือนจาวฮวามากนั้น หรงซ่าวเชียนกับจาวฮวาไม่มีจุดที่คล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย เช่นนั้น หรงซ่าวเชียนคงจะไม่ใช่คนรักที่เซี่ยเสี่ยวลู่ตามหา เพียงแต่ มู่หรงฉือไม่อยากจะเสียเบาะแสเพียงหนึ่งเดียวนี้ไป
เสิ่นจือเหยียนในที่สุดก็เข้าใจจึงเอ่ยว่า “เชิญแม่นางเซี่ยมาดูคนก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
“ใช่สิ เหตุใดเปิ่นกงถึงคิดไม่ได้กัน?”
มู่หรงฉือจึงให้เ้าพนักงานคนหนึ่งไปที่โรงเตี๊ยมเค่อซื่ออวิ๋นหลายเพื่อไปหาแม่นางเซี่ยนายบ่าวทันที
เพียงครู่เดียว เ้าพนักงานก็กลับมารายงานว่าแม่นางเซี่ยกับบ่าวไม่อยู่ที่โรงเตี๊ยม เถ้าแก่บอกว่าพวกนางออกไปข้างนอกแล้ว
เสิ่นจือเหยียนกล่าว “เช่นนั้นตอนบ่ายค่อยไปหาพวกนางที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง”
ตอนบ่าย จัดสำรับโต๊ะใหญ่ กลิ่นหอมฟุ้งของอาหารกระจายไปทั่ว เห็นแล้วน้ำลายสอ
มู่หรงฉือเรียกหลินอวี่ให้มานั่งทานด้วยกัน นางเองก็ไม่ปฏิเสธ นั่งลงทันทีแล้วแนะนำอาหารต่างๆ ให้ทุกคนฟัง
ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเสียงหัวเราะ คึกคักสนุกสนานเป็ที่ยิ่ง
พนักงานคนหนึ่งยิ้มแล้วพูด “แม่นางหลิน หม่าผอโต้วฝู่[1]ที่เ้าทำทั้งหอมทั้งลื่นลิ้นทั้งเผ็ดทั้งชา ข้าไม่เคยทานหม่าผอโต้วฝู่ที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน”
พนักงานอีกคนก็เอ่ยชม “ข้าชอบแป้งผสมต้นหอมทอดที่สุด กรอบนอกนุ่มใน ทั้งยังมีกลิ่นหอม เรียกน้ำย่อยได้ดีมาก”
ทุกคนเอ่ยชมกันไม่ขาดปาด หลินอวี่เริ่มเขินขึ้นมาแล้ว พวกแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ “ใต้เท้าทุกท่านชมเกินไปแล้วเ้าค่ะ”
มู่หรงฉือคลี่ยิ้ม “ช้าชอบน้ำแกงปลาใส่เต้าหู้มากที่สุด น้ำแกงปลารสชาติเข้มข้น เนื้อปลาก็อร่อย เลิศรสมาก”
เสิ่นจือเหยียนยิ้มเอ่ย “ส่วนที่ข้าชอบที่สุดก็คือไก่ผัดน้ำแกงจานนี้”
ทุกคนหัวเราะสนุกสนาน ทานไปหัวเราะไป พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ อาหารหลายสิบจานหมดเกลี้ยง
...
หลังจากอาหารกลางวันจบลง ในที่สุดฉินรั่วก็กลับมา
มู่หรงฉืออยู่ในห้องน้ำชาของเสิ่นจือเหยียน ฟังนางรายงาน
หรงซ่าวเชียนเป็คุณชายเ้าสำราญที่เพื่อนบ้านหรือใครๆ ต่างก็รู้จัก วันๆ ดื่มแต่สุรา กลางคืนก็ร้องรำทำเพลง หากไม่ได้อยู่ที่สถานเริงรมณ์ ก็จะอยู่บนถนนที่จะไปสถานเริงรมณ์
บิดามารดาของเขาต่อว่าอย่างไรก็ไม่เป็ผล เขาเพียงรับคำว่าขอรับคำเดียว
ฉินรั่วถามบ่าวรับใช้สกุลหรง หรงซ่าวเชียนเคยกลับไปที่จินโจวตอนอายุสิบแปดเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับไปอีก
เสิ่นจือเหยียนรินชาให้เตี้ยนเซี่ย ก่อนจะสรุป “ดูเหมือนว่าหรงซ่าวเชียนจะไม่ใช่คนรักที่แม่นางเซี่ยตามหา”
มู่หรงฉือพยักหน้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปหาแม่นางเซี่ยมาชี้ตัวคนแล้ว
หรงซ่าวเชียนไม่เคยไปที่จินโจวมาก่อน จะไปรู้จักแม่นางเซี่ยได้อย่างไร อีกทั้งยังรักกันด้วย?
“คนรักที่แม่นางเซี่ยตามหาไม่มีคุณชายหรงคนใดที่ตรงตามเงื่อนไข แม่นางหรงที่แม่นางหลินจะแจ้งความก็ยังตรวจหาไม่พบ ถึงทางตันเหมือนกัน เหตุใดถึงบังเอิญขนาดนี้?” เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด
“เปิ่นกงรู้สึกว่าสองเื่นี้เกี่ยวข้องกัน เหตุใดถึงได้บังเอิญเป็แซ่หรงเหมือนกันขนาดนี้?” มู่หรงฉือยกถ้วยชาจรดริมฝีปาก แต่กลับไม่ได้ดื่มลงไป
“ให้หนูฉายไปหาแม่นางเซี่ยดีหรือไม่เพคะ ให้แม่นางเซี่ยวาดภาพเหมือนของคุณชายหรงออกมา” ฉินรั่วเสนอความเห็น
“นับว่าเป็วิธีที่ดี” เขายิ้ม
“หนูฉายจะไปเดี๋ยวนี้เพคะ” นางดีใจ
“เ้ายังไม่ได้ทานอะไรใช่หรือไม่ ทานเสียก่อนค่อยไป” มู่หรงฉือสั่ง “เ้าไปดูที่โรงครัวว่ายังมีอะไรให้กินหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็ไปหาของกินระหว่างทาง”
“หนูฉายรับทราาบเพคะ” ฉินรั่วรับคำสั่งก่อนจะออกไป
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนมองตากันแล้วถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
นางค่อยๆ ดื่มชา แล้วพูด “ใช่แล้ว ศพของหลินซูไม่ได้พบอย่างอื่นเพิ่มเติมใช่หรือไม่?”
เขาส่ายหน้าหน้า “ข้าตรวจศพซ้ำอีกครั้งแล้ว นอกจากแผลถูกแทงที่หัวใจ ก็ไม่พบจุดอื่นอีก หลินซูถูกกระบี่แทงทีเดียวตาย คนร้ายฝีมือแข็งแกร่งมาก บุกเข้าไปถึงบ้านสกุลหลิน แทงเขาทีเดียวถึงตาย ไม่เหลือโอกาสให้เขาได้ต่อต้านสักนิด”
นางถอนหายใจอีกครั้ง “คดีนี้ตึงมือจริงๆ หรือจะกลายเป็คดีปริศนาที่นานวันก็ไม่คลี่คลาย?”
ด้านนอกมีคน!
มู่หรงฉือกำลังจะออกไปดูว่าใครมาแอบฟังพวกเขาคุยกัน แต่กลับเห็นหลินอวี่เข้ามา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและปวดใจ ไร้ทางช่วย “ใต้เท้า พวกท่านพยายามอย่างสุดความสามมารถแล้ว ข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็อย่างมาก แต่ก็รู้จักพอ หาก์้าปล่อยให้คนร้ายที่อยู่ไกลจากกฎหมายคนนั้นรอดไปได้ ข้าเองก็คงไม่ฝืนร้องขอ ผ่านไปอีกสักพัก ข้าจะพาศพของพี่ชายกลับไปฝังที่อี้โจว”
“แม่นางหลิน ขออภัยเ้าจริงๆ พวกเราพยายามกันอย่างสุดความสามารถแล้ว” เสิ่นจือเหยียนพูดปลอบใจ “แต่เ้าเองก็อย่าเพิ่งตัดใจ พวกเราสืบคดีฆาตกรรมมาหลายปี หลายเหตุการณ์ที่ไร้เบาะแส เข้าสู่ทางตันจนไม่มีความคืบหน้าอยู่่หนึ่งเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อย แต่พอผ่านไปอีกสักพัก บางทีอาจจะมีเบาะแสใหม่ปรากฏขึ้นมา จากนั้นน้ำลดตอผุด ความจริงก็จะปรากฏออกมาเอง และจับคนร้ายเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย”
“จริงหรือเ้าคะ?” ดวงตาดำของนางเบิกกว้าง
“จริงสิ การไขคดีนั้นแปลกประหลาดมาก” มู่หรงฉือเองก็พูดปลอบใจ “แม่นางหลินโปรดวางใจ พวกเราจะพยายามสืบหาอย่างสุดความสามารถ เพียงแต่คดีพี่ชายเ้าถูกฆาตกรรมผ่านมาเนิ่นนานแล้ว อีกทั้งสถานที่ที่เกิดคดียังไม่ใช่เมืองหลวง ตอนนี้จึงไม่มีความคืบหน้าจริงๆ หวังว่าเ้าจะรอคอยอย่างสงบใจกับคดีนี้ เช่นนี้เ้าก็จะรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยใช่หรือไม่?”
“ข้าเข้าใจความหมายของพวกท่าน” หลินอวี่พูดอย่างใจกว้าง แล้วโค้งตัวให้พวกเขา “บุญคุณของใต้เท้าทั้งสอง ข้าหลินอวี่ยากจะลืมเลือน”
“แม่นางหลินอย่าทำเช่นนี้” เสิ่นจือเหยียนรีบประคองนางขึ้นมา แต่ก็แค่ประองเท่านั้น
“ข้าจะไปต้มน้ำให้ใต้เท้าทั้งสอง” นางหมุนตัวแล้วสาวเท้าไวๆ เดินออกไป
“ข้าเห็นนางร้องไห้”
เขากลับมานั่ง ส่ายหน้าถอนหายใจ
มู่หรงฉือเท้าแก้มอย่างครุ่นคิด “คุณชายหรงที่แม่นางเซี่ยตามหา กับแม่นางหรงที่แม่นางหลินตามหาเกี่ยวข้องกันหรือไม่นะ?”
เชิงอรรถ
[1] หม่าผอโต้วฝู่ เป็อาหารจีนยอดนิยมชนิดหนึ่งจากมณฑลเสฉวน ประกอบด้วยเต้าหู้ปรุงในน้ำซอสพริกหมาล่า มีความมันและสีแดงเข้มจากส่วนผสมของโต้วป้าน (เครื่องปรุงที่ทำจากถั่วปากอ้าหมักดองกับพริก) เต้าซี่ (ถั่วดำหมักดอง) รสเผ็ดชาของพริกและพริกเสฉวน พร้อมกับเนื้อสับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้