เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นหลินเฟิงเงียบ จึงหัวเราะเยาะออกมา โดยไม่สนใจพวกหลินเฟิงเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่ ท่านรู้ไหมว่าทำไมศิษย์พี่เหลิ่งเยว่ถึงมาที่เมืองเทียนลั้ว?”
“แน่นอนว่าข้ารู้ ศิษย์พี่เหลิ่งเยว่มาที่เมืองเทียนลั้วแห่งนี้เพราะมีด” ชายหนุ่มคนหนึ่งตอบกลับ
“โอ๊ะ?” หญิงสาวยิ้มและกวาดตามองคนรอบตัว จากนั้นก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่เหลิ่งเยว่มีทักษะมีดที่ยอดเยี่ยมที่สุด แล้วยิ่งเป็ใบมีดที่ดึงดูดเขา มันต้องเป็ใบมีดที่น่าสะพรึงแน่ๆ”
“มีดเสี้ยวจันทราที่เป็อาวุธจิติญญาระดับสูง เ้าว่าร้ายกาจไหมล่ะ!”
ชายหนุ่มจากนิกายเฮ่าเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนรอบข้างต่างมีดวงตาเป็ประกาย เป็ไปตามที่หลายคนคาดเดา ว่าคุณชายเตามาปรากฏตัวที่เมืองเทียนลั้วเพื่อมีดเสี้ยวจันทราเล่มนั้น พวกเขาต่างเคยได้ยินมาอีกว่ามีดเสี้ยวจันทราจะถูกนำมาประมูลที่เมืองเทียนลั้ว หลายคนจึงมายังที่แห่งนี้
“อาวุธจิติญญาระดับสูง แน่นอนว่าต้องมีคนมากมายอยากได้กันทั้งนั้น”
“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่เหลิ่งเยว่อยู่ที่นี่แล้ว ใครก็ตามที่้ามันล่ะก็ พวกเขาจะกลายเป็ศัตรูของศิษย์พี่เหลิ่งเยว่ นั่นเท่ากับเป็ศัตรูของนิกายเฮ่าเยว่ด้วย”
เมื่อฝูงชนได้ที่ยินสองคนนี้พูด ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าพวกเขาหมายถึงอะไร คำพูดเ่าั้มันเป็การข่มขู่ของพวกเขา ใครที่คิดแย่งชิงมีดกับเหลิ่งเยว่ก็ต้องคิดให้ดีเสียก่อน ผู้หญิงคนนั้นที่มาจากนิกายเฮ่าเยว่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเหลิ่งเยว่มาที่นี่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็การจงใจ
แต่ฝูงชนกลับไม่มีใครกล้าโต้เถียงกับพวกเขา เพราะนิกายเฮ่าเยว่มีอิทธิพลอย่างมากในเมืองเทียนลั้วแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีคุณชายเตาที่นั่งอยู่ด้านล่างอีกด้วย
“อาวุธจิติญญาระดับสูง!” จู่ๆ ดวงตาของหลินเฟิงพลันเปล่งประกายขึ้นมา ในตอนนี้แน่นอนว่าเขาต้องรู้ถึงระดับของอาวุธ นอกจากอาวุธธรรมดาแล้วก็จะเป็อาวุธจิติญญา อาวุธจิติญญานั้นจะมีจิติญญาอยู่ในนั้น ซึ่งเป็ประโยชน์ในการต่อสู้อย่างมาก อีกทั้งอาวุธจิติญญาก็ถูกแบ่งออกเป็สามระดับก็คือ ระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่ำ
หลินเฟิงได้รับอาวุธจิติญญาจากวิหารโบราณในหน้าผาจงกู่ ส่วนใหญ่จะเป็อาวุธจิติญญาระดับต่ำและระดับกลาง ส่วนอาวุธจิติญญาระดับสูงนั้นก็มีบ้าง แต่จำนวนช่างน้อยนิด
ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ไม่ว่าจะเป็อาวุธจิติญญาหรือเม็ดยา พวกมันล้วนเป็ของหายาก หากได้อาวุธจิติญญาระดับสูงล่ะก็ นั่นถือเป็โอกาสที่หาได้ยาก
แต่ที่เหนือกว่าอาวุธจิติญญาก็คืออาวุธลี้ลับ อาวุธลี้ลับนั้นหาได้ยากมากในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ระดับขอบเขตลี้ลับก็มีน้อยที่ได้ครองครอบมัน และหลินเฟิงเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
“ป้าเตา เ้า้ามีดเสี้ยวจันทราหรือไม่?”
หลินเฟิงถามป้าเตาด้วยน้ำเสียงแ่เบา ทำให้ป้าเตาต้องประหลาดใจ
ในเมื่อป้าเตาเป็มือมีด แล้วทำไมเขาจะไม่้ามัน?
“ข้า้า” ป้าเตาพยักหน้าตอบรับหลินเฟิงนิ่งๆ ด้วยนิสัยของเขาในตอนนี้ หากเขา้าอะไรก็ต้องได้ ไม่ว่าทำอะไรก็ต้องลุล่วง
“เยี่ยม” หลินเฟิงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
หลังจากนั้นไม่นาน เหลิ่งเยว่ก็วางแก้วลงบนโต๊ะ จากนั้นเขายืนขึ้นและเดินออกจากภัตตาคารเทียนซานไป เมื่อตอนมาก็มาคนเดียว แม้กระทั่งจากไปก็ตัวคนเดียว
หลังจากที่เขาเพิ่งไป เจตจำนงมีดที่รุนแรงจึงจางหายไปด้วย ทำให้บรรยากาศภายในภัตตาคารไม่กดดันอีกต่อไป
“ศิษย์น้อง พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ศิษย์ของนิกายเฮ่าเยว่ที่นั่งถัดจากโต๊ะของหลินเฟิงก็ลุกขึ้นยืนและจากไป
หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว หลินเฟิงก็กล่าวถามป้าเตาว่า “เ้ายังไม่ไปถามอีกว่ามีดวิเศษของเ้าอยู่ที่ไหน?”
ป้าเตาประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะข้างๆ ทันที เพื่อถามว่า “ข้าจะไปหามีดเสี้ยวจันทราได้จากที่ไหน?”
ทั้งสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ต่างเงยหน้ามองป้าเตาด้วยสายตาทิ่มแทง จากนั้นพวกเขาก็คลี่ยิ้มอย่างเ็าและกล่าวว่า “แล้วเ้าจะถามถึงมันไปเพื่ออะไรเล่า?”
“ตูม!”
สิ้นเสียงคำถามดังกล่าว ทันใดนั้นเจตจำนงมีดที่น่าสะพรึงกลัวพลันถูกปลดปล่อยออกมาเพื่อกดดันเขาคนนั้น เจตจำนงมีดนี้เป็พลังที่น่าสะพรึงกลัวมาก มันถึงกับทำให้คนที่เอ่ยออกมาต้องตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว
“ที่หอประมูลแห่งความฝัน! วันนี้ที่หอประมูลแห่งความฝันจะเปิดประมูลมีดเสี้ยวจันทรา!”
คนผู้นั้นกล่าวอย่างตื่นตระหนกขณะที่ใจเต้นแรง เมื่อครู่นี้เขาไม่รู้สึกถึงอำนาจมีดของป้าเตาเพราะเหลิ่งเยว่ยังอยู่ ทว่าตอนนี้เจตจำนงมีดของป้าเตาได้กดทับมาที่ร่างกายของเขาโดยตรง ทำให้เขาหายใจไม่สะดวกนัก ช่างเป็อำนาจมีดที่แข็งแกร่งยิ่งนัก มิหนำซ้ำชายหนุ่มที่สวมหน้ากากทองแดงนั่นก็ยังบรรลุขอบเขตมีดอีกด้วย
“นำทางข้าไป”
ป้าเตากล่าวขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้คนผู้นั้นพลันแข็งทื่อไป แต่ยังคงเชื่อฟังคำพูดของป้าเตา และนับว่าโชคดีที่เขาพูดความจริง ไม่อย่างนั้นเขาต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน
“ได้สิ ได้เลย…”
คนผู้นั้นพยักหน้าอย่างเกร็งๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังบันได เห็นดังนั้นแล้วพวกหลินเฟิงก็ลุกขึ้นเดินตามเขาไป
หลังจากพวกหลินเฟิงออกไป ภัตตาคารก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
“คนผู้นั้นเป็ใครกันแน่ เจตจำนงมีดก็ช่างเหลือร้าย แล้วเขายังสนใจมีดเสี้ยวจันทราอีกด้วย”
“ใช่ ยังมีผู้ชายอีกคนและหญิงสาวด้วย แต่ดูไปแล้วพวกเขาน่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วๆ ไป แม้พวกเขาจะอ่อนแอกว่าคุณชายเตา แต่พวกเขาก็กล้าพูดว่า้ามีดเสี้ยวจันทรา ดูเหมือนว่าการแสดงครั้งยิ่งใหญ่คงเกิดขึ้นเร็วๆ นี้แน่นอน”
ความคิดเห็นต่างๆ กระจายในกลุ่มคนอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง จนถึงตอนนี้มีบางคนลุกขึ้นและเดินออกจากภัตตาคารเพื่อไปหอประมูลแห่งความฝันอย่างเร่งรีบ ว่ากันว่าในวันนี้หอประมูลแห่งความฝัน นอกเหนือจากมีดเสี้ยวจันทราแล้ว ยังมีสมบัติอื่นๆ อีก 2 อย่าง
หอประมูลแห่งความฝันมีพื้นที่หนึ่งในสามของเมืองเทียนลั้ว เรียกได้ว่าเป็ศูนย์กลางการประมูลที่ใหญ่ที่สุดก็ว่าได้
เมืองเทียนลั้วเป็เมืองที่มีอายุหลายพันปีมาแล้ว ซึ่งเก่าแก่ยิ่งกว่าอาณาจักรเสวี่ยเยว่เสียอีก
แต่ก็มีบางคนที่มีของที่พิเศษแล้วนำไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่หอการค้า หรือบางคนอาจมอบให้หอการค้านำไปประมูล
ในขณะนี้หลินเฟิงและสหายกำลังเดินเข้าไปในหอประมูลแห่งความฝัน ภายในเต็มไปด้วยฝูงคนและเสียงดังจอแจ
ด้านในนั้นมีทั้งชายหนุ่มที่หล่อเหลา หญิงสาวที่สวยงาม ชายชราในเสื้อผ้าขี้ริ้ว หรือแม้กระทั่งขอทานที่แต่งตัวสกปรก ราวกับว่าหอประมูลแห่งความฝันได้ดึงดูดคนทุกประเภทให้มารวมกันอย่างไรอย่างนั้น
คนเหล่านี้บางคนก็มาตั้งของขายบนพื้น หรือบางคนก็ตามหาของที่ตัวเอง้า
“นายท่านผู้นั้นที่มีทักษะลี้ลับระดับสูง ท่านสนใจมันไหม?”
ในขณะนั้น ได้มีชายวัยกลางคนเดินมาอยู่ข้างหลินเฟิงและกล่าวอย่างแ่เบา ทำให้หลินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยิ้มและส่ายหัว “ข้าไม่้ามัน”
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินหลินเฟิงพูดเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้วุ่นวายแต่อย่างใด เขาจากไปทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า?”
หลินเฟิงกล่าวขณะมองคนที่นำทาง
“นายท่าน นี่เป็ครั้งแรกที่ท่านมายังเมืองเทียนลั้วหรือ?”
“ใช่” หลินเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
“ไม่แปลกใจเลย” ผู้นำทางกล่าว “เมืองเทียนลั้วเป็เมืองการค้าที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ซึ่งมีการค้าหลากหลายรูปแบบ และสิ่งของที่อยู่บนพื้นล้วนเป็ของธรรมดาไม่มีค่าอะไร มันจึงกลายเป็ข้อยกเว้นสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง พวกเขามักไม่ค่อยสนใจพวกมันนัก ผู้ค้าจึงกล้าวางของเ่าั้ไว้บนพื้น แต่รู้อะไรมั้ย… ของพวกนั้นมันไม่เคยถูกขโมยไปเลยแม้แต่ชิ้นเดียว!”
“การค้าขายรูปแบบที่สองก็คือการค้นหาด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับชายผู้นั้น เขามีทักษะยุทธ์ที่้าแลกกับหินหยวน เขาจึงหาคนที่้าทักษะเพื่อแลกเปลี่ยนกับหินหยวนและตกลงทำการแลกเปลี่ยนกัน นอกจากนี้ยังมีรูปแบบที่สามก็คือการประมูล ท่านสามารถนำสมบัติให้กับหอประมูลแห่งความฝัน เพื่อให้เขาก็จะนำมันไปประมูล”
“ทำไมผู้คนถึงแลกเปลี่ยนสิ่งของต่างๆ กับคนอื่น แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่นำสิ่งของของพวกเขาไปประมูลเสียล่ะ?” หลินเฟิงถามอย่างสงสัย การประมูลนั้นไม่น่าจะมีค่าบริการที่แพงเกินเอื้อมนัก นอกจากนี้หากนำของลงประมูล ก็ยังสามารถประมูลของได้ในราคาที่สูงขึ้นอีกด้วย
“มันมีหลายเหตุผลมาก ประการแรกก็คือหอประมูลแห่งความฝัน ในทุกๆ วันจะมีการประมูลเพียงแค่สิบชิ้นเท่านั้น หากท่าน้านำสิ่งของไปประมูล ก็จำเป็ต้องรอสามวันในการคัดกรอง หลังจากนั้นสามวัน หากสิ่งของที่ท่านนำไปประมูลไม่มีใครประมูลก็ถูกตีกลับ ดังนั้นหลายคนจึงไม่เต็มใจทำตามขั้นตอนเหล่านี้ นอกจากนี้สิ่งของธรรมดาก็ไม่มีทางที่จะได้นำขึ้นไปประมูลอย่างแน่นอน”
“ประการที่สอง สำหรับบางคนที่จำเป็ต้องปิดบังตัวเอง จึงไม่อยากให้ใครรู้ถึงสิ่งของของพวกเขา เพราะมันอาจทำให้เขาเสี่ยงเจอปัญหาอื่นๆ ที่ตามมา นอกจากนี้การประมูลก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มใจค้นหาสิ่งของด้วยตัวเองราวกับงมเข็มในมหาสมุทร!”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็พยักหน้าเล็กน้อย ซึ่งที่เขาบอกมานั้นมันมีอยู่จริงและสมเหตุสมผล ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนสบายใจมากกว่าหากสมบัติล้ำค่าได้อยู่ในมือของตัวเอง นั่นเป็จิตสำนึกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนต่างมี
“ดูเหมือนว่า… ข้าต้องอยู่ที่หอประมูลแห่งความฝันสักสองสามวันแล้ว”
หลินเฟิงพึมพำเสียงแ่เบา การมาเมืองเทียนลั้วในครั้งนี้เขาต้องได้รับสิ่งของบางอย่างติดไม้ติดมือกลับไป
“นั่น... นั่นคือปิงหยวนจากหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานนี่”
ในขณะนั้นได้มีเสียงประหลาดใจดังขึ้น เรียกให้หลายคนต่างมองไปยังทิศทางเดียวกัน และตรงนั้นก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคนที่นำหน้านั้นทั้งเยือกเย็นและน่าเกรงขาม หลังจากที่คุณชายลั่วเสวี่ยได้เข้าสู่เมืองหลวง เขาก็กลายเป็ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน ปิงหยวน!