เข้าสู่วันที่สิบห้า อากาศอบอุ่นขึ้น
ดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้าเหนือท้องนภา สาดให้ลมหนาวกลายเป็ลมอุ่น
คืนวันที่สิบห้ามีการจุดประทัดและดอกไม้ไฟ แม้แต่ใน่เช้าตรู่ก็ยังมีกลิ่นดินปืนพัดมาตามสายลม
ภายในห้องพักของตู้ซิวจู๋มีเสื้อผ้าสิบกว่าชุดตั้งเรียงราย บ่าวใช้ช่วยเปลี่ยนทีละชุดอยู่ด้านข้าง
ทั้งหมดเป็เสื้อคลุมวิจิตรบรรจง ทำจากวัสดุชั้นดี ฝีมือปักเย็บประณีต
ไม่ว่าจะสวมชุดใดล้วนดูดี แต่เขาลองสวมมาตลอดทั้งสายแล้วกลับยังเลือกไม่ได้ว่าจะสวมชุดใด
หานซิงนั่งเอนอยู่ที่เก้าอี้มีพนักพิงและที่วางแขน เขาแทะเมล็ดแตงโมพร้อมกับวิจารณ์ไปด้วยว่า “ลูกพี่ เ้าเอาแต่เลือกไปเลือกมาเช่นนี้ เลือกจนถึงปีหน้าก็คงยังไม่ได้ออกจากบ้านเป็แน่! อีกอย่าง เ้าแต่งตัวดีไปจะมีประโยชน์กระไร นางจะสนใจเ้าหรือ? นั่นภรรยาของคนอื่นนะ!”
ตู้ซิวจู๋เงยหน้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บรรยากาศรอบด้านเย็นลง บ่าวที่รับใช้พากันคุกเข่าทันที
“ออกไป”
“เ้าค่ะ!” สาวใช้หน้าตางดงามสองคนเหมือนได้ยกูเาออกจากอก รีบถอยออกไป
หลังจากสาวใช้ถอยออกไป จู่ๆ ตู้ซิวจู๋ก็เคลื่อนไปอยู่หน้าหานซิงพร้อมกับบีบคออีกฝ่าย
“อยากตาย?”
หานซิงไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย “เหอะๆ จะฆ่าข้าก็ต้องรอให้ข้าทำการแสดงให้จบเสียก่อน! ผู้ใดใช้ให้ข้าเป็คนในใจเ้ากันเล่า?”
เขาพูดประโยคนี้ได้แบบไม่มีความเกรงกลัว
มือของตู้ซิวจู๋หยุดอยู่บนคอเขา เขายังคงแทะเมล็ดแตงโมพลางส่งตาหวานให้ตู้ซิวจู๋
“จะอาเจียน!” ตู้ซิวจู๋คลายมือ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือแล้วโยนทิ้งด้วยความรังเกียจ
“เหอะ ข้าต่างหากที่ควรอาเจียน ถูกเ้าตีเครื่องหมายเ้าของ วันหน้าจะหาสตรีจากที่ใด?”
ตู้ซิวจู๋คว้าเสื้อคลุมสีดำลายดอกโบตั๋นมาสวม เปลี่ยนปิ่นปักผมเป็กวานหยกดำ เขาแต่งกายเช่นนี้แล้วดูสูงศักดิ์และหล่อเหลา ดอกโบตั๋นดิ้นทองบนเสื้อคลุมช่วยเสริมเสน่ห์
เสน่ห์นี้มีอย่างเหมาะเจาะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป มองแล้วรู้สึก…สง่างาม
หานซิงมุ่ยปากด้วยความอิจฉา เ้าหมอนี่หน้าตาดียิ่งนัก ต่อให้สวมเสื้อผ้ามีรอยปะก็หล่อเหลา
ออกไปเกี้ยวฟู่เหรินที่แต่งงานแล้วเช่นนี้เรียกว่าสง่างาม
แต่หากเป็ผู้อื่นเล่า?
คงเรียกว่าหน้าด้าน
ระหว่างคำว่าสง่างามกับหน้าด้านห่างกันแค่หนังหน้าบางๆ เท่านั้น…
ตู้ซิวจู๋เหลือบตามองหานซิง “แค่ตัดทิ้งก็ไม่ต้องใช้แล้ว”
สายตาเขาเคลื่อนลงด้านล่างเมื่อพูดจบ หานซิงโยนเมล็ดแตงโมทิ้งแล้วกุมจุดสำคัญของตัวเองไว้ ประหนึ่งว่าสายตาตู้ซิวจู๋คือมีดที่สามารถตอนให้เขาเป็ขันทีได้ทุกเมื่อ
“เอ่อคือ นี่ก็สายมากแล้ว ข้าไปคณะละครล่ะ!”
หานซิงวิ่งออกจากห้อง ตู้ซิวจู๋ไตร่ตรองอยู่นาน ท้ายที่สุดก็เลือกสวมชุดเสื้อคลุมสีดำลายดอกโบตั๋น เดินออกไปด้วยรอยยิ้ม
ขึ้นนั่งบนรถม้า เขาตรวจสอบการตกแต่งของรถม้า รู้สึกว่าหรูหราสะดวกสบาย
ตู้ซิวจู๋พึงพอใจมาก
จังหวะที่กำลังจะถึงโรงละคร จู่ๆ รถม้าก็หยุดนิ่ง
“เกิดกระไรขึ้น?” รอยยิ้มบนหน้าตู้ซิวจู๋หายไป
“คุณชาย…มีคนจากเมืองหลวงมาขอรับ”
‘โครม…’ ตู้ซิวจู๋ต่อยหมัดลงโต๊ะน้ำชา โต๊ะน้ำชาแตกออก เศษไม้ปักเข้าหลังมือ
“กลับ” เขาแทบจะกัดฟันพูด
“คุณชาย…บ่าวจะไป…” ทังหยวนที่อยู่ด้านนอกอยากบอกว่าจะช่วยไปแจ้งเถ้าแก่หลินให้ แต่ตู้ซิวจู๋กลับตัดบท
“ไม่ต้อง!” ตู้ซิวจู๋กัดฟันพูด เขาไม่ปิดบังความหงุดหงิดในแววตา โชคดีที่ในรถม้าไม่มีผู้อื่น มิเช่นนั้นคงได้ใตายเป็แน่
ถึงเวลานัดหมายแล้ว หลินหวั่นชิวที่แต่งกายเป็บุรุษเดินทางมาถึงโรงละคร เสี่ยวเอ้อร์เข้ามาต้อนรับ นางมอบตั๋วละครให้ เสี่ยวเอ้อร์รีบพานางไปยังห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดบนชั้นสองทันที
ตู้ซิวจู๋ยังไม่มา นางนั่งดื่มชาแทะเมล็ดแตงโมอย่างสบายใจ ท่าทีเหมือนลูกผู้ดีที่สำมะเลเทเมา
เสียงฆ้องดัง ‘เป้ง’ การแสดงเริ่มขึ้นแล้ว แต่ตู๋ซิวจู๋กลับยังไม่มา
เ้าหมอนี่เบี้ยวนัดรึ?
เบี้ยวก็เบี้ยวไปเถิด คงติดธุระกระไร อีกอย่าง ซื้อตั๋วเข้ามาแล้ว…นางไม่อยากทิ้งเปล่า ดูไปด้วยรอไปด้วยแล้วกัน
ที่สำคัญคือ นางอยากเห็นนักแสดงฉินที่ทำให้บุรุษหนุ่มรูปงามอย่างตู้ซิวจู๋หลงหัวปักหัวปำ
บอกตามตรง นางดูงิ้วไม่เป็ ฟังไม่ออกเช่นกันว่ากำลังร้องกระไร
แต่บรรยากาศดูครื้นเครง สนุกสนาน
ไม่นาน นักแสดงบทบู๊ชุดดำผู้หนึ่งก็ตีลังกาขึ้นเวที เสียงปรบมือกู่ร้องดังเกรียวกราว
“กรี๊ด…ท่านนักแสดงฉิน!”
“ท่านนักแสดงฉินออกมาแล้ว!”
“ยอดเยี่ยม!”
“ท่านนักแสดงฉิน…สู้ได้ดี! ร้องได้ดี!”
หลังจากที่หลินหวั่นชิวเห็นนักแสดงบทบู๊ชุดดำออกมา สตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าเวทีแถวแรกกอดหีบใส่เงิน ในนั้นมีเงินก้อน ดอกไม้ไข่มุก กำไลแบบต่างๆ…สตรีนางนั้นร้องเรียกชื่อนักแสดงฉินไปด้วย โยนอัญมณีขึ้นเวทีไปด้วย
นางเหมือนจะทำเช่นนี้เป็ประจำ โยนไปบริเวณขอบเวที ไม่กระทบการแสดงของนักแสดงฉินแม้แต่น้อย
นักแสดงฉินดูเหมือนจะรูปร่างไม่เลว หลินหวั่นชิวฟังไม่ออกว่าเขาร้องดีหรือแย่ ส่วนหน้าตา…นางไม่รู้เช่นกันว่าใบหน้าภายใต้การแต่งหน้าแบบงิ้วเป็เช่นไร
แต่ดูจากความคลุ้มคลั่งของผู้ชมแล้ว…
หลินหวั่นชิวกังวลแทนตู้ซิวจู๋…เกรงว่าเขาจะสู้สตรีนางนั้นไม่ไหว ลำพังแค่วิธีมอบของขวัญ ต่อให้ในบ้านมีสมบัติเป็ูเาก็คงถูกขนออกไปหมดในไม่ช้าก็เร็ว
มิน่าเล่า ตู้ซิวจู๋ถึงเร่งรีบที่จะหาเงิน
ความรู้สึกอันตราย…สามารถทำให้คนเราเครียดจนหัวล้าน
หลินหวั่นชิวกังวลแทนตู้ซิวจู๋อีกครั้งเมื่อนักแสดงฉินเหมือนจะเงยหน้ามองมาทางนาง ทั้งยังยิ้มให้นางด้วย
เห็นผีแล้ว!
แม้รอยยิ้มจะปรากฏเพียงแค่เสี้ยววิ แต่หลินหวั่นชิวรับรองว่านางไม่ได้ตาฝาดเป็แน่
สายตาคู่นั้นทำให้นางขวัญผวามากจริงๆ
นางรู้สึกว่าสายตาฉินเยวี่ยเจิงดูแปลกๆ รอยยิ้มก็แปลก ทว่านางอธิบายไม่ถูกว่าแปลกอย่างไร
การแสดงจบลงแล้ว ตู้ซิวจู๋ยังคงไม่มา
จังหวะที่ฉินเยวี่ยเจิงลงจากเวที สตรีหน้าเวทีนางนั้นเทสมบัติทั้งหมดลงบนเวทีและตามไปด้านหลัง
นอกจากนางแล้วยังมีผู้ชมหลายคนโยนดอกไม้และเงินขึ้นเวที
มีคนออกมาเก็บของมีค่าพวกนี้ทันทีที่จบการแสดง
หลินหวั่นชิวถอนหายใจ “เฮ้อ ไม่ว่ายุคใด นักแสดงที่มีชื่อเสียงล้วนร่ำรวยกันทั้งนั้น”
“คุณชาย เถ้าแก่ฉินขอพบขอรับ”
เสียงฆ้องเปิดการแสดงชุดที่สองเพิ่งดังขึ้นไม่นาน นอกประตูก็มีเสียงของเสี่ยวเอ้อร์ดังขึ้น
เถ้าแก่ฉิน?
“เถ้าแก่ฉิน?” นางไม่รู้จักเถ้าแก่คนใดที่แซ่ฉิน
จังหวะนี้เอง ม่านประตูถูกเลิกขึ้น บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดคลุมผ้าแพรสีฟ้าอ่อน ศีรษะสวมกวานหยก
“ข้าน้อยฉินเยวี่ยเจิง คุณชายท่านนี้คือสหายของคุณชายตู้หรือ?” หานซิงยิ้มเ้าเล่ห์ ท่าทีดูถูกเหยียดหยาม
ดูสำมะเลเทเมายิ่งกว่าตู้ซิวจู๋
แต่เขาชื่อเสียงโด่งดัง มีคนติดตามเอาใจเยอะ จะเย่อหยิ่งได้ใจก็ไม่แปลก
“เหมือนว่าข้าจะไม่ได้อนุญาตให้เข้ามานะ นี่คือกฎของโรงละครหรือ?” หลินหวั่นชิวยิ้มเยาะ ไม่ได้ไว้หน้าอีกฝ่ายเพราะเห็นว่าเป็คนที่ตู้ซิวจู๋แอบชอบ
บุกเข้ามาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต นิสัยเสีย!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้