“เช่นนั้นก็ได้ พวกเราเก็บเงินไว้” คำพูดของเจินจูทำให้หวังซื่ออารมณ์สงบลง
เมื่อกล่าวจบจึงควักเงินเปลือยหนักสิบเหลียงสองอันออกมาจากถุงเงิน ใส่เข้าในถุงเงินของตัวนางเอง
“นี่เป็สามสิบเหลียงที่เหลืออยู่ อีกเดี๋ยวเ้าเอามันให้ท่านแม่ของเ้าเก็บไว้ ย่าน่ะจะเก็บยี่สิบเหลียงนี้ไว้ ปีหน้าพวกเราสองบ้านก็ปรับปรุงซ่อมแซมสักรอบด้วยกันเถิด” หวังซื่อยินดีปรีดานัก วางแผนอย่างยิ้มตาหยี “เ้ากับผิงอันก็โตแล้ว เสริมห้องเพิ่มสองห้อง พอดีพวกเ้าหนึ่งคนหนึ่งห้อง”
เจินจูยิ้ม ไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ หากตามความเห็นของนาง คือคิดจะรื้อห้องทั้งหมดและวางแผนค่อยสร้างใหม่ ห้องของที่บ้านเก่าเกินไปแล้ว ผนังลายพร้อยและชำรุดมานาน รื้อและสร้างขึ้นใหม่ ใช้ที่ดินให้เป็ประโยชน์กว่านี้ได้
แต่กล่าวเช่นนี้ตอนนี้ยังเร็วไป รอจนถึงเวลาค่อยปรึกษากันอีกครั้งแล้วกัน
ยามบ่ายพากันเอาเนื้อที่หมักไว้เรียบร้อยแล้วของเมื่อวานมากรอกเป็กุนเชียงและแขวนผึ่งแดด ใบสั่งสินค้ารุ่นแรกของสือหลี่เซียงโดยรวมก็นับว่าทำสำเร็จ
น่าเสียดาย ์ไม่ช่วยให้สมหวัง [1]
วันถัดมาท้องฟ้าที่มืดครึ้มมีเมฆมากมาหนึ่งวัน ก็ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะในอากาศลอยกระจัดกระจาย และติดต่อกันไม่หยุด
หิมะฤดูหนาวครั้งนี้ ตกๆ หยุดๆ ลงมาห้าวันแล้ว ทำเอาป่าเขาล้วนปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว มองออกไปเป็ผืนขาวโพลนทั่วทั้งหมด
“หง่าว” หน้าห้องบนกองหิมะขาว เสี่ยวเฮยกำลังเดินเข้ามาจากพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ เกิดเป็รอยเท้าทีละก้าวๆ พื้นหิมะสีขาวขับให้ร่างสีดำโดดเด่น ปรากฏให้เห็นความน่ารักยิ่งขึ้น
“เสี่ยวเฮย อย่าไปย่ำหิมะ อีกเดี๋ยวเท้าเ้าเปียกแล้วจะเป็หวัดเอาได้” วันนี้หิมะหยุด ท้องฟ้ามีเค้าลางว่าจะเปิด ทุกคนจึงเริ่มวิ่งเต้นโกยหิมะใหม่หนึ่งรอบ ทั้งบนหลังคาบ้าน หน้าประตู ถนนเล็กๆ ล้วนต้องชำระล้าง
“เหมียว” เสี่ยวเฮยวิ่งมาใกล้เจินจู ถูขากางเกงของนางอย่างออดอ้อน
“ไปเล่นข้างๆ ข้ากำลังทำงานอยู่ ระวังจะเหยียบโดนเ้า” ใช้เท้าเขี่ยหนึ่งที เอามันออกไปด้านข้าง
“หง่าว” เสี่ยวเฮยร้องหนึ่งเสียงอย่างไม่พอใจ แล้วจึงเดินเอ้อระเหยไปด้วยท่าทางสง่างาม
“เจินจู” เสียงแหบของหลี่ซื่อะโเรียกเบาๆ “ที่บ้านไม่มีเกลือละเอียด ข้าให้ท่านพ่อเ้าไปหมู่บ้านต้าวันสักรอบ เ้ายังมีอะไรต้องซื้อหรือไม่?”
กรอกกุนเชียงครั้งก่อน ซื้อเกลือมาไม่พอจึงใช้เกลือของที่บ้านเสริมไปเล็กน้อย
“มีเ้าค่ะ!” เจินจูตอบกลับทันที หลังจากนั้นเงยหน้าขึ้นกล่าวกับหูฉางกุ้ยที่อยู่บนหลังคา “ท่านพ่อ ท่านอย่าลืมซื้อปลากินหญ้าตัวใหญ่กลับมาสองตัวนะเ้าคะ เย็นนี้พวกเราจะทานหม่าล่าต้มปลาผักกาดดอง ถือโอกาสซื้อเนื้อมาอีกนิดหน่อยด้วยนะเ้าคะ”
หิมะตกไม่กี่วันนี้ อาหารการกินที่บ้านซ้ำซาก เจินจูอยากเปลี่ยนรสชาตินานแล้ว
“หม่าล่าต้มปลาผักกาดดอง? ท่านพี่ ฟังแล้วน้ำลายไหลเลย ต้องอร่อยแน่นอนกระมัง” ผิงอันวิ่งออกมาจากหลังบ้าน พอได้ยินว่ามีของอร่อย ดวงตาสองข้างก็สว่างวาบขึ้นทันที
“ฮิๆ ได้ทานแล้วเ้าก็จะรู้เอง” เจินจูหัวเราะแล้วอุบไว้ “ท่านแม่ ท่านไปหมู่บ้านต้าวันด้วยกันกับท่านพ่อหรือไม่เ้าคะ?”
“เอ่อ... ข้าไม่ต้องไปหรอกกระมัง…” หลี่ซื่อสองจิตสองใจ
“ท่านแม่ ท่านกับท่านพ่อไปด้วยกันเถิด นานแล้วที่ท่านไม่ได้ออกจากบ้านเลย หมู่บ้านต้าวันใกล้ๆ อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องกังวลใจ ไปเถิดเ้าค่ะ” เจินจูให้กำลังใจนาง หลุดออกจากสังคมนานแล้ว ขณะนี้กล่องเสียงของนางดีขึ้นมาก เป็เวลาเหมาะสมที่จะเดินเข้ากลุ่มคน จึงจะสามารถหลอมรวมเข้ากับสังคมใหม่ได้
“นี่…” หลี่ซื่อยังคงลังเล สองมือพันเข้าด้วยกันอย่างตึงเครียดเล็กน้อย
“ท่านแม่ ท่านไปช่วยข้าซื้อผ้าป่านหนาสีเข้มสักสามฉื่อ [2] กลับมา ผ้าฝ้ายขาวเนื้อละเอียดนิ่มเล็กน้อยซื้อมาหนึ่งพับ พวกเราล้วนต้องทำชุดข้างในกันแล้ว ท่านเองก็นานแล้วที่ไม่ได้ทำเสื้อผ้าใหม่ ดูว่าผ้าแบบไหนเหมาะสมก็ซื้อมามากหน่อยนะเ้าคะ ท่านไม่ต้องกลัวการจ่ายเงิน” ก่อนหน้านี้หวังซื่อก็เย็บเสื้อนวมให้หนึ่งตัว สีชมพูเข้มแบบสีลูกท้อลายดอกไม้ สีชมพูลูกท้อสีสันสดใสฉูดฉาดทำให้เจินจูพูดไม่ออกอย่างมาก แต่อย่างไรเสียก็เป็น้ำใจของผู้สูงอายุ นางทำได้เพียงสวมใส่อย่างช่วยไม่ได้
เสื้อผ้าใหม่ตัวนอกมีอยู่สองชิ้น แต่เสื้อผ้าด้านในยังคงเป็ชุดที่ซักจนเหลืองและยังมีรอยปะอีกด้วย
“อื้ม แม่รู้แล้ว” หลี่ซื่อคิดเล็กน้อย กัดฟันแล้วตอบตกลง
ยามนี้ หูฉางกุ้ยค่อยๆ ลงมาจากหลังคาบ้าน เดินไปเบื้องหน้าของหลี่ซื่อ ยิ้มเอียงอาย “หรงเหนียง ข้าไปกับเ้า ไม่ต้องกังวล”
“อื้ม” หลี่ซื่อยิ้มอ่อนโยน ชีวิตความเป็อยู่่นี้ผ่านการใช้น้ำแร่จิติญญาค่อยๆ ช่วยบำรุงอย่างระมัดระวังของเจินจู ทำให้ใบหน้าของหลี่ซื่อที่เดิมทีผอมแห้งและซีดเซียว เปลี่ยนไปจนมีน้ำมีนวลและสะอาดหมดจด แม้แต่รอยตีนกาเล็กๆ ที่หางตาก็จางไปจนมองแทบไม่ออก
หลี่ซื่อในปัจจุบันนี้ผิวขาวเกลี้ยงเกลา ดวงตานุ่มนวลอ่อนโยนและมีความสุขอย่างมาก
หูฉางกุ้ยมองใจลอยไปชั่วขณะ สายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าอ่อนหวานของหลี่ซื่ออยู่นาน
“แค่ก…” เจินจูทำลายบรรยากาศการจ้องมองกันอย่างอ่อนโยนเงียบๆ ของสองคน ที่สำคัญคือมีคนจ้องดูมากเกินไปแล้ว ไม่เพียงแต่ผิงอันที่กำลังจ้องมองตาโต หลัวจิ่งที่อยู่ไม่ไกลก็กำลังมองมาทางนี้
หูฉางกุ้ยย้ายสายตาแล้วหมุนกายกลับเข้าห้องทันทีทันใด หลี่ซื่อแก้มสองข้างแดงเล็กน้อยแล้วหันกายกลับเข้าไปในห้องครัวเช่นกัน
เมื่อส่งสองสามีภรรยาไปแล้ว เจินจูก็ปีนกลับขึ้นไปบนเตียง หยิบแผ่นกระดานหินออกมา เริ่มขีดเขียนบนพื้นผิว นางกำลังวาดรูปแบบกระเป๋าหนึ่งใบ หลังจากนี้ไปอีกหนึ่งหรือสองเดือน ผิงอันกับผิงซุ่นจะต้องเตรียมไปเล่าเรียนที่โรงเรียนส่วนตัวกันแล้ว ต้องเตรียมกระเป๋าหนังสือที่เหมาะสมก่อน เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ต้องแบกตะกร้าไผ่สานใส่หนังสือ แบบนั้นมันช่างไม่สะดวกสบายเอาเสียเลย
ไม่กี่วันนี้ เพราะอากาศหนาวมากนัก ภายนอกยังมีหิมะปกคลุมหนาลึก ห้องเรียนเล็กของสกุลหูจึงหยุดมาสองวันสองคาบเรียนแล้ว วันนี้หิมะหยุดตกแต่ทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับการกวาดหิมะ เป็ธรรมดาที่ต้องหยุดคาบเรียนไว้
แม้ห้องเรียนเล็กจะหยุดไปสองสามวัน แต่ผิงอันน้อยที่ขยันหมั่นเพียรยังคงหยิบแผ่นกระดานหินเล็กไปในห้องหลัวจิ่งทุกวัน ฝึกตัวอักษรในหนังสือ ‘ตำราเกษตรสี่ฤดู’ นั่นขึ้นมา เมื่อพบเจอตรงที่ไม่เข้าใจและเขียนไม่ได้ก็จับหลัวจิ่งไว้แล้วถามอย่างละเอียด ความกระตือรือร้นที่ขยันหมั่นเพียรและไม่ละความพยายามนั้นทำให้หลัวจิ่งจ้องมองด้วยความตะลึง [3]
เวลาพริบตาเดียวก็มาถึงเที่ยงวัน
เจินจูอยู่ในห้องครัว ตั้งใจจะก่อไฟทำอาหารเอง นางช่วยเป็ลูกมืออยู่เป็เวลานาน ตอนนี้จึงสามารถใช้เตาดินหม้อใหญ่ผัดผักทำกับข้าวได้แล้ว แต่นางยังคงไม่ชอบงานในครัวอยู่เช่นเดิม ดังนั้น นี่จึงเป็ครั้งแรกที่ผัดผักทำกับข้าวอย่างเป็ทางการ
ใส่ข้าวสารลงหม้อแล้วหุงข้าวก่อน ให้ผิงอันดูระดับความร้อนของแท่นเตา ส่วนนางก็รื้อหาวัตถุดิบในบ้านที่เอามาทำกับข้าวได้ ผักกาดขาว ฟักทอง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง อีกทั้งแตงกวาที่เ้าของร้านหลิวมอบให้ล้วนเป็วัตถุดิบผักทั้งหมด
“…”
เจินจูมองอยู่ครึ่งค่อนวัน จึงกล่าวหนึ่งประโยคที่กลั้นเอาไว้ออกมา “หญิงสาวมีฝีมือยากจะทำการหุงหาอาหาร [4]”
คิดๆ แล้ว ที่บ้านยังเหลือเนื้อหัวหมูที่ตากแห้งแล้วครึ่งชิ้น จึงหยิบมันลงมาวางเข้าไปในหม้ออีกใบ เริ่มต้มน้ำและหลังจากเดือดพล่านอยู่สองนาที ก็หยิบขึ้นมาหั่นเป็แผ่นบางๆ
ตบมีดลงบนกลีบกระเทียมกับพริก หั่นผักกาดขาวเรียบร้อย ใส่น้ำมันลงไปในหม้อ ไม่นานกลิ่นหอมของเนื้อหัวหมูตากแห้งผัดกับผักกาดขาวก็โชยออกจากหม้อมาเข้าจมูก
นำกับข้าวที่ผัดเสร็จแล้ววางข้างเตาคลุมไว้ หยิบฟักทองที่เป็ผลผลิตในมิติช่องว่างออกมา ตัดแบ่งส่วนที่จะใช้ออกมาและปอกเปลือกหั่นเป็ชิ้น เอาลงหม้อใส่น้ำต้มให้สุก
ไม่นานอาหารกลางวันง่ายๆ หนึ่งมื้อก็ทำเสร็จแล้ว
เก็บกับข้าวไว้ในหม้อหนึ่งชาม หลังจากนั้นเรียกผิงอันกับหลัวจิ่งมาทานข้าว
“ท่านพี่ ตอนท่านต้มฟักทองใส่น้ำตาลหรือ? ทั้งหวานทั้งละเอียด อร่อยนัก” ฟักทองเต็มปากผิงอัน จึงกล่าวถามเสียงไม่ชัด
“เปล่า อาจจะเป็ฟักทองค่อนข้างหวานกระมัง” คีบหนึ่งชิ้นขึ้นใส่ปาก ทั้งหวานทั้งละเอียดจริงๆ อืม... อร่อยมาก
หลัวจิ่งมองท่าทางของสองคน จึงคีบขึ้นมาหนึ่งตะเกียบไม่ได้เอ่ยออกเสียง แล้วเคี้ยวด้วยความเงียบสงบ แม้ตลอดเวลาที่ทานข้าวเขาจะไม่เอ่ยปาก แต่กลับคีบฟักทองไม่หยุด
ไม่นานฟักทองนึ่งหนึ่งถาดใหญ่ก็ถูกสามคนกวาดเรียบ แม้แต่ผักผัดเนื้อหัวหมูก็ถูกจัดการจนเกลี้ยงเกลา
“เอิ้ก อิ่มชะมัด” ผิงอันลูบพุงกลมดิกแล้วเรอออกมาหนึ่งที
“ทานอิ่มแล้วไปเดินเล่นสักรอบ ระวังจะอิ่มมากเกินไป” เจินจูกล่าวอย่างขบขัน
“อื้ม เช่นนั้นข้าไปดูกระต่ายหน่อย” ผิงอันหัวเราะ แล้ววิ่งหายวับไปกับตา
หลัวจิ่งช่วยเจินจูเก็บกวาดถ้วยและตะเกียบเงียบๆ ผ่านการพักฟื้น่นี้มา รอยแผลบนใบหน้าของเด็กชายค่อยๆ หายไปจนเกือบไม่ทิ้งรอยไว้แล้ว ใบหน้ารูปงามแจ่มใสเป็ที่สะดุดตายิ่งขึ้น แต่เดิมแก้มที่ดูเป็เด็กๆ มาตอนนี้ราวกับถูกความเป็จริงที่โหดร้ายทำให้ตกตะกอนจนเหลือไว้เพียงความเ็าทั่วใบหน้าและปิดบังซ่อนอยู่ลึกๆ ในลูกตาดำ
“พอแล้ว วางไว้เถิด” เจินจูเก็บถ้วยและตะเกียบเสร็จก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนกับเขา “ยู่เซิง ขาของเ้าเป็อย่างไรแล้ว? ยังเจ็บอยู่หรือไม่? ต้องให้ท่านหมอในหมู่บ้านตรวจอีกสักหน่อยหรือไม่? ท่านหมอชราหลินในหมู่บ้านพวกเราก็ไม่เลวนะ ให้เขาเขียนใบสั่งยาให้เ้าสักสองสามชุด น่าจะดีขึ้นได้เร็วหน่อย”
“ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้ไม่เจ็บอะไร าแก็ไม่บวม” หลัวจิ่งส่ายหน้า ตอนนี้หากไม่เคลื่อนไหวหนักๆ ขาส่วนที่หักก็ไม่เจ็บแล้ว
“อืม... ไม่เจ็บก็ดี เปลี่ยนยาอีกไม่กี่ครั้งก็น่าจะดีขึ้นพอสมควรแล้ว เอาล่ะ เ้าไปพักเสียหน่อยเถิด อากาศหนาวเย็น เ้าเติมถ่านเข้ากระถางไฟเองได้เลย เติมให้มากหน่อยนะ ไม่ต้องประหยัด ถ่านในบ้านยังมีอีกมาก” เจินจูหันไปยิ้มทางเขา แล้วยกถ้วยกับตะเกียบไปล้าง
หลัวจิ่งมองภาพด้านหลังของเจินจูที่จากไป วันนี้เด็กสาวสวมชุดสีชมพูเข้ม สีฉูดฉาดเช่นนี้ เมื่อสวมอยู่บนกายนางกลับไม่ได้รู้สึกเด่นจนเกินไป ด้วยรูปร่างที่บอบบาง ผิวขาวดั่งหยก แววตาปราดเปรียวว่องไวมีความเ้าเล่ห์อยู่ด้วย เสื้อหนาวลายดอกสีชมพูเข้มจึงขับให้เ้าของร่างนั้นเด่นยิ่งขึ้น ทั้งตัวคนสดใสมีชีวิตชีวาและงดงามมากขึ้นอย่างไม่คาดคิด
บนใบหน้าเ็าของหลัวจิ่งยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ผ่านมื้อกลางวันไปนานแล้ว สองสามีภรรยาหูฉางกุ้ยและหลี่ซื่อจึงแบกของสองตะกร้าใหญ่กลับมาในบ้าน
“โอ้ว...” เจินจูส่งเสียงร้องประหลาดใจหนึ่งเสียง ตะลึงตาค้างเล็กน้อย
ดูไม่ออกเลยว่ามารดาของนางผู้นี้เป็นักจับจ่ายตัวยง มองดูของที่เต็มสองตะกร้านี้ ของตรงหน้าละลานตาเต็มไปหมด
ผ้าป่านหนาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ผ้าฝ้ายละเอียดสีเหลืองอ่อน ผ้าฝ้ายละเอียดลายดอกไม้สีม่วงจางๆ และผ้าสีฟ้าน้ำทะเลเรียบๆ แล้วยังมีเศษผ้ากระจุกกระจิก ด้ายกับเข็ม ดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์อีกเล็กน้อย
ในตะกร้าอีกหนึ่งใบล้วนเป็อาหาร ปลา เนื้อ เกลือ ขนมผลไม้เชื่อม... ซื้อมาเต็มหนึ่งตะกร้า
หลี่ซื่อไม่เป็ธรรมชาติอยู่บ้าง มองใบหน้าของเจินจูที่มีความแปลกใจเล็กน้อย นางกล่าวเสียงเบา “เจินจู แม่ซื้อของมาเยอะเกินไปหรือไม่?”
“ไม่เลย เยอะที่ไหนกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้ ไม่มากเลยเ้าค่ะ” เจินจูปฏิเสธทันที หาได้ยากที่หลี่ซื่อจะออกจากบ้านสักครั้ง ซื้อเท่าไรก็ไม่นับว่ามาก
หลี่ซื่อยิ้มผ่อนคลายลง ดึงเจินจูไว้แล้วกล่าวอย่างละเอียด “เดิมทีข้าไม่คิดจะซื้อของมากเกินไป แต่นานแล้วที่ไม่ได้ออกจากบ้าน ของมากมายบนถนนล้วนไม่ค่อยคุ้นชิน เลยลากพ่อเ้าเดินเล่นอยู่นาน ตะวันออกซื้อเล็กน้อยตะวันตกซื้อเล็กน้อย ของก็เยอะขึ้นมาแล้ว” กล่าวจบนางก็ยิ้มหน้าเหยเกด้วยความเขินอายนิดหน่อย
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ต่อไปท่านแม่ออกไปหลายครั้งเข้า ย่อมคุ้นชินไปตามธรรมชาติ พวกเราค่อยๆ พัฒนากันไป ไม่ต้องรีบร้อน” ตบมือมารดาเบาๆ เจินจูยิ้มพลางกล่าวไปด้วย
“อื้ม…” น้ำตารื้นขึ้นมาเล็กน้อยในดวงตาของหลี่ซื่อ นานหลายปีแล้ว ในที่สุดก็สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้เสียที
เชิงอรรถ
[1] ์ไม่ช่วยให้สมหวัง หมายถึง เื่ราวไม่ราบรื่นอย่างมาก
[2] ฉื่อ เป็หน่วยวัดของจีน โดย 1 ฉื่อ = 10 นิ้วจีน = 22.7 - 23.1 เิเ
[3] จ้องมองด้วยความตะลึง ใช้เปรียบเปรยการชื่นชมคนคนหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในเวลาอันสั้น หรือจากกันไม่กี่วันกลับมีความก้าวหน้าไปมากมาย หรือไม่เจอกันเดี๋ยวเดียวก็เก่งขึ้นเป็กอง
[4] หญิงสาวมีฝีมือยากจะทำการหุงหาอาหาร อุปมาว่า ถ้าไม่มีเงื่อนไขด้านวัตถุก็ไม่อาจที่จะทำงานได้ดี