เป็เวลากว่าหนึ่งเดือนที่หลิวฉีซื่อออกจากบ้านไป สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงไม่ได้ไปเกี่ยวหญ้าอาหารหมูแต่อย่างใด ทุกครั้งจะกลับมาเอามันเทศในหลุมดินผสมกับรำข้าวเพื่อให้อาหารหมู โดยที่หลิวต้าฟู่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
ดังนั้นสองพี่น้องมีเวลาฝึกเขียนในยามว่าง ให้อาหารไก่แล้วก็แกล้งหลิวชุนเซียง หลิวชิวเซียงยังได้ฝึกงานเย็บปักกับป้าหลี่ด้วย ตอนนี้นางเย็บกระเป๋าเงินและถุงหอมเป็แล้ว เนื่องจากมีเวลาว่างมากเกินไปใน่หนึ่งเดือนกว่าๆ นี้ นางจึงเย็บกระเป๋าเงินและถุงหอมได้ไม่น้อย
หลิวเต้าเซียงเคยได้ยินนางบ่นว่า อีกราวหนึ่งเดือนกว่านางจะทำได้ยี่สิบกว่าอัน แลกเงินมาได้สามร้อยอีแปะ ทำให้หลิวชิวเซียงมีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้
่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงนั้นค่อนข้างยุ่ง นายช่างเหล็กหลี่พาบุตรชายหลี่ต้าฉุยกลับมาพร้อมกัน หลิวซานกุ้ยกับหลิวต้าฟู่ไปช่วยเกี่ยวข้าวบ้านนายช่างเหล็กหลี่กับตงจื่อก่อน ที่นาของสองบ้านนี้น้อยกว่า ใช้เวลาเก็บเกี่ยวสองวันก็เสร็จเรียบร้อย อีกทั้งอากาศยังแจ่มใส ส่วนที่นาของตระกูลหลิวใช้เวลาสี่ถึงห้าวันก็จัดการเสร็จ จึงต้องเลี้ยงอาหารครอบครัวนายช่างเหล็กหลี่กับครอบครัวตงจื่อเป็อย่างดี
หลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงก็เริ่มมีเวลาว่าง หลิวซานกุ้ยยังคงได้ยินมารดาของตนเองพูดว่า อาศัย่บ่ายที่อากาศแจ่มแจ้ง ให้เขาไปจับปลาในแม่น้ำหน้าหมู่บ้าน ซึ่งเื่นี้เขาทำได้อย่างคล่องแคล่ว
ไม่รู้ว่าเพราะฤดูร้อนปีนี้เขาจับปลาได้มากเกินไปหรืออย่างไร ตอนนี้ปลาที่จับได้จึงมีไม่มาก
“เหตุใดได้ปลาเพียงแค่นี้?” หลิวฉีซื่อไม่พอใจเล็กน้อย “ตอนนี้น้ำในแม่น้ำกำลังลด การจับปลาก็น่าจะง่ายกว่าฤดูร้อนไม่ใช่หรือ?”
“ท่านแม่ ปีนี้ไม่รู้เพราะอะไร ปลาถึงมีน้อย” หลิวซานกุ้ยเองพอรู้อยู่แก่ใจ แต่เขาไม่อยากพูดให้หลิวฉีซื่อรู้
จนถึงตอนนี้หลิวฉีซื่อก็ยังไม่รู้เื่ที่เขาแอบไปเล่าเรียนในตำบล เพราะเขายังคงระมัดระวังอย่างมาก
หลิวฉีซื่อเห็นว่าปลามีน้อยเกินไป จึงบอกให้หลิวซานกุ้ยไปจับปลาอีกหนึ่งวัน น่าหน่ายใจ หลิวซานกุ้ยได้แต่แอบให้หลิวเต้าเซียงส่งจดหมายให้กัวซิวฝาน บอกว่ามีธุระไม่อาจไปเรียนได้ในวันนี้
สำหรับนักเรียนเช่นนี้ กัวซิวฝานชื่นชอบยิ่งนัก เขาคิดว่าฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า หลังจากที่หลิวซานกุ้ยสอบเสร็จ เขาไม่อาจสอนหลิวซานกุ้ยได้อีกจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว หลิวฉีซื่อนับวันก็มีงานมากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะออกไปสอนงานเย็บปัก และถูกฮูหยินเซียงเซินเชิญไปดื่มน้ำดูงิ้ว นางได้พาหลิวเสี่ยวหลันกับเด็กรับใช้ที่ชื่ออิงเอ๋อร์ออกไปด้วย
หลิวเต้าเซียงชอบใจกับเื่นี้ เพราะมักจะมีน้ำแกงกระดูกปรากฏอยู่บนโต๊ะอาหาร เนื้อปลาเค็มกับหมูเค็มยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หลิวต้าฟู่ไม่เคยสงสัยมาก่อน ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงไม่เคยบอกเื่นี้กับหลิวฉีซื่อ นี่คือครั้งที่สองั้แ่ได้แต่งงานกันมาที่เขาเลือกนิ่งเงียบ ครั้งแรกเป็เพราะหญิงสาวที่สวยสดและหอมหวนดุจดอกแพร์ ทำให้เขาไม่อาจลืมเลือนได้
คล้อยกับเวลาที่เคลื่อนผ่าน หลิวเต้าเซียงมัวแต่ยุ่งกับการหาเงินจนลืมนึกถึงซูจื่อเยี่ย
ที่แม่น้ำอันแสนเยือกเย็น หิมะปกคลุมต้นหลิว สวยงามดุจหยกที่แกะสลัก
ณ บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงชานเมืองของเมืองหลวง
ใต้หลังคากระเบื้องเคลือบ ซูจื่อเยี่ยกำลังเดินวนอยู่ใต้ระเบียงกับจิ้นเซี่ยว เดินผ่านศาลาน้ำ แต่มองเห็นชุดลายงูหลามสีทองปักเมฆมงคล สวมผ้าคลุมสีฟ้าครามลายชวดสีเทาฟ้า รองเท้าปักลายเมฆมงคล กำลังมีท่าทางร้อนรน
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน จึงชะลอฝีเท้าแล้วค่อยๆ เดิน
“เป็อย่างไรบ้าง? ข้าได้ยินว่าเขาได้รับโทษหนักตอนอยู่ในห้องขัง”
จิ้นเซี่ยวไม่กล้าปิดบังและตอบว่า “หมอได้ทำการรักษาเขาแล้ว บอกว่ามีแต่าแภายนอก เนื่องจากเราไปถึงเร็ว กระดูกเส้นเอ็นจึงไม่ได้าเ็ มีคนจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ผู้พิพากษาทางนั้น และคิดหาวิธีให้เขารับผิดโดยไม่ได้ทำความผิด หรือไม่ก็…”
หรือไม่ก็อะไร ซูจื่อเยี่ยเข้าใจได้เองทันที ก็เพียงแค่จำนวนมนุษย์บนโลกใบนี้ลดลงไปอีกหนึ่งชีวิต
“โจวจื่อทงจัดการเื่นี้ได้ไม่เลว เดาว่าเขาคงพอใจกับการทำงานเช่นนี้” ท่าทีร้อนใจของซูจื่อเยี่ยเริ่มผ่อนคลายลง
“ใต้เท้าโจวขอบพระคุณนายท่านเป็อย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นเซี่ยวตอบอย่างจริงจัง
การที่ซูจื่อเยี่ยได้สานสัมพันธ์กับโจวจื่อทงนี้ สามารถทำให้โจวจื่อทงมีความมั่นคงมากขึ้นในเขตฝูโจว เขาคือพันธมิตรของโจวจื่อทง ต่อไปย่อมมีโอกาสได้ตอบแทนกัน
“หมอบอกหรือไม่ว่าเขาจะหายเมื่อไร?”
“หากพักรักษาตัวให้ดี ฤดูร้อนปีหน้าก็น่าจะหายดีพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นเซี่ยวนึกถึงคำพูดของหมอแล้วเอ่ย “ห้ามบำรุงมากเกินไป แต่ก็ต้องมีสารอาหารบำรุงบ้าง อาหารต้องกินรสจืด และห้ามใช้ของที่บำรุงมากๆ”
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้า เขาเข้าใจจางอวี้เต๋อพอสมควร จึงยิ่ง้าเก็บคนมีพร์เช่นนี้ไว้
เมื่อเดินผ่านลานหน้าบ้านและประตูดวงจันทร์จะเห็นหน้าต่างสีแดงสดตรงเรือนกลาง ด้านหน้าเรือนหลางมีสนามหญ้า ทางซ้ายประดับด้วยหินปะการังหลายก้อน และมีต้นกล้วยหลายต้น ส่วนทางขวามีบึงดอกไม้ขนาดเล็ก ตอนนี้ถูกกลบด้วยกองหิมะ มีเพียงทางเดินที่เป็หินที่ไม่ได้กว้างมากนัก ปูเป็ทางคดเคี้ยวไปยังบันไดเรือนกลาง
ที่บันไดมีสาวรับใช้ยืนอยู่สองคน เมื่อเห็นซูจื่อเยี่ยเดินมาจากที่ไกลๆ ก็ย่อเข่าคำนับ
ซูจื่อเยี่ยไม่สนใจ เขาเพียงแต่พาจิ้นเซี่ยวผลักประตูเข้าไปด้านใน จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่นานก็คลายออก
เขาส่งสัญญาณให้จิ้นเซี่ยวปิดประตู จากนั้นเดินทะลุผ่านม่านและฉากกั้นลม แล้วจึงพบกับจางอวี้เต๋อที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
เขามีคิ้วที่เรียวบางและโค้งเล็กน้อย ริมฝีปากบางเล็ก ไม่มีเครา ในใจของซูจื่อเยี่ยเผยคำพูดออกมาว่า หนุ่มผู้มีโฉมงามดุจหญิง!
มิน่าถึงได้มีแต่คนหาเื่
เกิดมารูปงามเกินไป
จางอวี้เต๋อไม่ได้นอนหลับสนิท ขณะอยู่ในภวังค์แห่งฝันก็รู้สึกว่ามีคนมาอยู่หน้าเตียง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นและมองผู้มาเยือนด้วยความสงสัย
“องค์ชาย?”
เขาไม่เคยซูจื่อเยี่ยมาก่อน แต่ตัดสินจากการแต่งกาย
ระหว่างทางมายังเมืองหลวง เขาได้ยินจิ้นเซี่ยวเอ่ยถึงซูจื่อเยี่ย จึงรู้ว่าตนเองได้รับการช่วยเหลือจากคนตรงหน้า
“เ้ารักษาตัวอย่างสบายใจเถอะ!”
เพียงคำพูดเดียวของซูจื่อเยี่ย จางอวี้เต๋อก็เข้าใจว่าตนเองมีเพียงแต่ต้องขึ้นเรือลำนี้เท่านั้น
หลายปีมานี้จางอวี้เต๋อเผชิญกับคลื่นลมสารพัดนับไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็เข้าใจหลักอันยิ่งใหญ่หนึ่งข้อ นั่นคือใต้ต้นไม้ใหญ่ช่างร่มรื่นเย็นสบาย!
“รับทราบ ข้าจะพักรักษาตัวให้ดี จะได้ตอบแทนบุญคุณขององค์ชาย แม้จะต้องบุกน้ำลุยไฟก็จะไม่ล่าถอย”
เขากล่าวบทพูดอย่างที่คนถูกช่วยชีวิตทุกคนย่อมต้องกล่าว
ซูจื่อเยี่ยโบกมือปัดและตอบว่า “ที่ข้าช่วยเ้าย่อมไม่ได้้าเอาชีวิตของเ้า หาก้าชีวิตเ้าแล้วจะมีความจำเป็อันใดที่ต้องช่วยเ้า”
จิ้นเซี่ยวเข้าใจความคิดของเ้านายตนเอง จึงก้าวขึ้นหน้าพร้อมกับโก่งหลัง แล้วเอ่ยเสียงค่อย “คุณชายจาง ไม่ทราบว่ารู้จักกับจางกุ้ยฮัวหรือไม่?”
จางกุ้ยฮัว?!
ั์ตาของจางอวี้เต๋อหดเล็กลง เขามองไปยังคนทั้งสองด้วยความหวาดหวั่น ภายในห้องเงียบกริบกระทั่งได้ยินเสียงหายใจ
“พี่สาวของข้าเอง!” พี่สาวเพียงคนเดียวของเขา
จางอวี้เต๋อพินิจเื่นี้อย่างละเอียด พี่สาวของตนเป็เพียงสะใภ้ของบ้านคนยากจน สองคนนี้ไม่น่ามีจุดประสงค์อะไรกับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงตอบคำถามของจิ้นเซี่ยวอย่างเปิดเผยเช่นนั้น
จิ้นเซี่ยวกล่าวว่า “นายท่านของข้าเคยพักอาศัยอยู่ที่บ้านของพี่สาวท่าน่หนึ่ง ได้ยินหลานสาวสองคนมักจะเอ่ยถึงท่าน เห็นทีคนในครอบครัวท่านจะคิดถึงท่านยิ่งนัก”
จางอวี้เต๋อจึงเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงยอมออกโรงช่วยเหลือตนเอง จากนั้นจึงกล่าวขอบคุณอีกรอบ
เขานึกเสียใจที่ตอนนั้นเมื่อเริ่มมีเงินเล็กน้อย ตนเองน่าจะกลับบ้านสักครา เพียงแต่คิดว่าอยากหาให้ได้มากกว่านั้นอีกสักนิด แล้วจะได้กลับบ้านเกิด เพียงแต่ใครจะคิดว่าทุกครั้งมันจะ…
ซูจื่อเยี่ยมองไปที่เขาและพูดว่า “ครอบครัวของพี่สาวเ้าทั้งใสซื่อบริสุทธิ์และเรียบง่าย ได้ยินมาว่าเ้านั้นมากความสามารถ ข้าจึงนึกเสียดายคนที่มีพร์และให้คนออกสืบข่าวคราว คิดไม่ถึงว่าเื่ราวจะมีก้นบึ้งเช่นนี้”
คำพูดของเขา จางอวี้เต๋อฟังไม่ค่อยเข้าใจ เขาเบนสายตาไปที่จิ้นเซี่ยวราวกับขอให้ช่วยอธิบายให้เขากระจ่างหน่อยได้หรือไม่?
“หลานสาวคนรองของคุณชายจางนั้นมีนิสัยคล้ายกับท่าน ทั้งมีหัวด้านการค้า ครอบครัวของพี่สาวท่านก็พึ่งพาสมองของนาง ชีวิตดีขึ้นกว่าสมัยก่อนมากนัก แน่นอนว่า นายท่านของข้าเองก็ช่วยเหลือนางลับหลังไม่น้อย”
จิ้นเซี่ยวเหมือนกำลังบอกกับจางอวี้เต๋อว่า หลิวเต้าเซียงนั้นหลักแหลมมีไหวพริบเหมือนเขายิ่งนัก แล้วก็บอกเขากลายๆ ว่า ที่นางสามารถทำการค้าขายได้อย่างราบรื่นเช่นนั้นเพราะได้รับการปกปักษ์ดูแลจากนายท่านของตนอย่างลับๆ
ตามที่เขาปรารถนา จางอวี้เต๋อมองมาที่ซูจื่อเยี่ยด้วยแววตาปลาบปลื้ม
ตระกูลหลิวไม่ใช่ที่ที่สมควรไป ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเขา มารดาก็คงไม่ปล่อยให้พี่สาวของตนถูกส่งไปยังหลุมพรางของตระกูลหลิว
แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงหลิวซานกุ้ยนั้นดีกับพี่สาวของตนหรือไม่
เขาเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถบรรลุอะไรได้จนถึงตอนนี้ ทั้งยังไม่สามารถช่วยพี่สาวระบายความอัดอั้นได้แม้แต่นิดเดียว!
“ข้าอยากขอให้เ้าช่วยงานข้า”
ซูจื่อเยี่ยพูดอย่างสุภาพและจริงจัง ทำให้คนที่มองไปรับรู้ว่าเขากำลังพูดเื่สำคัญ
“ข้าทำเป็เพียงเื่บัญชี” จางอวี้เต๋อคิดไม่ออกว่าซูจื่อเยี่ยถูกชะตาเขาที่เื่ใด
ซูจื่อเยี่ยชี้ไปที่ศีรษะของเขาและตอบว่า “พร์ที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ ข้า้าสิ่งนี้จากเ้า”
จิ้นเซี่ยวอธิบายอยู่ด้านข้าง “คุณชายจาง นายท่านของข้าหมายความว่าอยากขอให้ท่านช่วยเื่กิจการ นายท่านของข้าไม่สะดวกที่จะออกหน้า แต่สามารถมอบเงินให้ท่านหนึ่งก้อน แน่นอนว่าย่อมมีค่าตอบแทนให้ท่านด้วย”
“ทำกิจการ? ข้าก็เพียงแค่ทำการค้าเล็กน้อยเท่านั้น” จางอวี้เต๋อรู้ว่าที่จิ้นเซี่ยวพูดนั้นหมายถึงกิจการขนาดใหญ่ ซึ่งคนทั่วไปไม่อาจทำได้
ซูจื่อเยี่ยโบกมือและพูดว่า “ถ่อมตัวเกินไปแล้ว คิดได้ในสิ่งที่คนทั่วไปนึกไม่ถึง นับว่าเป็เื่ดี ข้าเชื่อในตัวท่าน ภายใต้การวางแผนของข้า จำต้องสร้างผลประโยชน์มหาศาลแก่ข้าได้แน่ ท่านไม่้าให้พี่สาวท่านมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือ? ไม่้ากลับบ้านเกิดอย่างน่าภาคภูมิ? ไม่้าระบายความอัดอั้น? ไม่้าใช้ชีวิตโดยไม่นึกเสียใจทีหลังหรือ?”
อันที่จริง ถึงแม้ไม่ต้องให้เขาทำอะไร แม่สาวน้อยคนนั้นก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่ซูจื่อเยี่ยไม่มีทางพูดออกมา เขาเพียง้าได้จางอวี้เต๋อมาอยู่ในมือ มันคือความจริงที่ต้องแสร้งทำเป็เื่เท็จ และต้องทำเื่เท็จให้กลายเป็จริง!
คำว่า ‘ไม่้า’ ที่ซูจื่อเยี่ยเน้นทุกประโยคนั้นทำให้จางอวี้เต๋ออึ้งไป
ใช่ว่าเขาไม่้า แต่ในราชวงศ์โจวที่ราชสำนักมีอำนาจเหนือฟ้า เขาที่ไร้ซึ่งูเาที่พึ่งพิงได้ ไยจะสามารถเฝ้าสมบัติของตัวเองไว้ได้
“ข้าตกลง!”
จางอวี้เต๋อไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขารู้ว่านี่คือโอกาสที่จะได้ะโเข้าประตูัดุจมัจฉา เขาจำต้องหัดเรียนรู้ที่จะก้มศีรษะ!
ใบหน้าที่เ็าของซูจื่อเยี่ยเผยรอยยิ้ม ช่างยากที่จะหาชมได้!
“เรียกข้าว่าใต้เท้าก็พอ”
เขาไม่ชอบได้ยินคนอื่นเรียกตนเองว่า ‘องค์ชาย’ และเขาเองก็ไม่ได้เหลียวแลตำแหน่ง ‘ซื่อจื่อ’ แม้แต่น้อย
“คนเรียกขานว่าแม่ทัพอู่อี้”
จางอวี้เต๋อเพิ่งเข้าใจว่า ที่แท้ซูจื่อเยี่ยนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็แม่ทัพอู่อี้ขั้นห้า
แม่ทัพอู่อี้คือสรรพนามของขุนนางอิสระ ไม่ได้มีอำนาจแท้จริงแต่ก็ได้รับเงินเดือน
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็เื่ธรรมดามากในราชวงศ์
จิ้นจงเข้ามาพร้อมกับห่อผ้าใบเล็กในขณะนี้ “นายท่าน ของอยู่ในนี้แล้ว”
เขาไม่ได้มอบห่อผ้าให้ซูจื่อเยี่ย เพียงแต่ยืนรอการสั่งการขั้นตอนถัดไปอยู่ด้านข้าง
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้าและพูดกับจางอวี้เต๋อซึ่งนอนอยู่บนเตียง “นี่คือสมบัติของเ้า อืม รวมถึงส่วนที่เถ้าแก่โกงของเ้าไปด้วย เห็นทีเ้าคงไม่ได้กลับไปยังอำเภอนั้นแล้ว จึงให้คนแลกเป็เงินตรามา ทั้งหมดรวมแล้วเป็เงินแปดร้อยกว่าตำลึง อยู่ในนี้ทั้งหมด”
สำหรับเขา เื่เหล่านี้ก็เป็เพียงการช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโจวจื่อทงที่อยู่ในเขตฝูโจว เขายังไม่ทันได้พูด โจวจื่อทงก็จัดการเื่ราวให้เสร็จสรรพ และตามเอาสมบัติของจางอวี้เต๋อกลับมาทั้งหมด
-----
