หลินฟู่อินไม่อยากให้หลี่อี้เป็กังวลกับเื่ไม่เป็เื่มากขนาดนั้น
จึงหันไปมองเขาตรงๆ “เ้าบ้านวังน่ะทำถูกแล้ว หากมิใช่เพราะท่านหมอหลี่ไปเรียกข้ามาทำคลอดให้นายหญิงวัง นายหญิงวังกับลูกก็คงไม่รอดไปแล้ว”
หลินฟู่อินกล่าวพร้อมทำสัญญาณมือ
สัญญาณที่แปลว่าไม่มีทางรอด
หลี่อี้ตะลึงไป
เขาคาดไม่ถึงว่ามันจะเป็สถานการณ์อันตรายเช่นที่อาจารย์คาดเดาเอาไว้จริงๆ แต่ก็ซาบซึ้งใจขึ้นมาที่ในเวลาวิกฤตินั้น
ทั้งสองกลับได้มาพบกับหลินฟู่อินจนมีชีวิตรอดมาได้เช่นนี้
เขาจึงมีความสุขมาก
เมื่อเห็นเ้าบ้านวังเชิญหมอหลี่ออกไปข้างนอกแล้ว หลี่อี้จึงลูบหัวพลางกล่าวกับนางเสียงค่อย “ฟู่อิน ท่านอย่าได้โกรธไปเลย! อาจารย์เองก็หมดหนทางแล้วเช่นกัน อย่างที่ท่านเห็น
ท่านอาจารย์เองก็พยายามบอกเ้าบ้านวังหลายครั้งแล้วว่าคนที่ช่วยสะใภ้กับหลานชายไว้ก็คือท่าน…”
“หยุดเลย ท่านกล่าวเกินขอบเขตไปแล้ว”
หลินฟู่อินหยุดเดินแล้วหันมามองเขา
เมื่อถูกั์ตาสีดำขลับคู่นั้นมองอย่างไม่ทันตั้งตัว หลี่อี้จึงเผลออ้าปาก ใบหน้าสุกเป็ลูกตำลึงทันที
ก่อนจะรีบผงกหัวให้โดยไม่กล่าวอะไรอีก
คำใดๆ ที่คิดไว้ต่างก็ถูกกลืนลงท้องไปหมด
เมื่อหลินฟู่อินเห็นท่าทีเช่นนั้นของเขาแล้ว
จึงยิ้มแล้วส่ายหน้า
การที่หลินฟู่อินมาทำคลอดครั้งนี้ เ้าบ้านวังได้ให้อั่งเปานางมาเป็เงินห้าตำลึงเงิน ทั้งยังให้ผ้าไหมเจียงหนานชั้นดีมาอีกสองผืนด้วย หลินฟู่อินรับผ้าทั้งสองผืนมาด้วยความขอบคุณ
ก่อนจะนำไปไว้ที่รถม้าของหลี่อี้แล้วขอตัวมาก่อน
แต่นายหญิงวังก็ได้แอบสั่งให้สาวใช้ไล่ตามมาด้วยรถม้าของตระกูลวัง เพื่อส่งเงินสิบตำลึงเงินให้กับนาง
โดยที่สาวใช้ได้กล่าวไม่หยุดว่านายหญิงวังรู้สึกขอบคุณนางมากจริงๆ ที่ช่วยชีวิตนางและลูกเอาไว้ แต่หลินฟู่อินไม่อยากรับผลงานไว้เพียงคนเดียว จึงได้ปฏิเสธไป
แต่เพราะสาวใช้แทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นหลินฟู่อินปฏิเสธ
หมอหลี่จึงยิ้มแล้วกล่าวกับหลินฟู่อิน “ท่านหญิงวังเพียงอยากตอบแทนที่เ้าช่วยนางและลูกไว้เท่านั้น ฟู่อินรับเอาไว้เถอะ ถือเสียว่าเป็การตอบแทนของนายหญิงวังและเ้าบ้านวังด้วย”
แคว้นต้าเว่ยนับถือศาสนาพุทธ และคนที่เชื่อในศาสนาพุทธจะให้ความสำคัญกับการทดแทนบุญคุณ
ดังที่นายหญิงวังพยายามตอบแทนให้หลินฟู่อินที่เป็ผู้มีพระคุณในการช่วยลูกของนางไว้
ความเมตตานั้นต้องได้รับการตอบแทน ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็กรรมไปแทน
ได้ยินหมอหลี่กล่าวเช่นนั้น นางจึงเข้าใจว่านางต้องรับเงินสิบตำลึงเงินนี้เอาไว้
เสียงของรถม้าดังขึ้นไม่หยุด
โดยที่หมอหลี่มองหลินฟู่อินราวกับมีบางอย่างที่อยากจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลินฟู่อินรู้สึกแปลกๆ จึงถามเขาด้วยรอยยิ้ม
“ท่านหมอหลี่ มีปัญหาอันใดหรือเ้าคะ?”
แต่เดิมแล้วหมอหลี่คิดไว้ว่าเด็กสาวเช่นหลินฟู่อินอาจไม่รู้เื่นรีเวชศาสตร์
แต่เมื่อคิดพิเคราะห์ดูแล้ว เขาจึงตัดสินใจถามนาง
“แม่นางหลิน ท่านรู้นรีเวชศาสตร์หรือไม่?”
สุดท้ายหมอหลี่ก็ถามหลินฟู่อินอย่างอับจนหนทาง
เพราะสภาพร่างกายของภรรยาเขาย่ำแย่ลงทุกวัน
และเขาเองก็ไม่เชี่ยวชาญในด้านนรีเวชศาสตร์นัก
แม้ว่าตระกูลหลี่ของเขาจะมีพี่น้องที่เชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่
แต่เพราะเขาทิ้งตระกูลเพื่อมาอยู่กับภรรยาที่เมืองชายขอบ เหล่าผู้าุโจึงโกรธมากและห้ามไม่ให้เขากลับไป
ตอนนี้เขาจึงทำไม่ได้แม้กระทั่งการพาครอบครัวกลับไปเยี่ยมผู้าุโ…
หลินฟู่อินได้ยินหมอหลี่ถามเช่นนี้ ก็คิดได้ว่าเขาคงมีคนไข้คนอื่นอยู่อีก
จึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้าพอจะรู้เื่นรีเวชศาสตร์อยู่บ้าง
แต่มิได้เชี่ยวชาญเ้าค่ะ”
“แค่พอรู้บ้างก็เกินพอแล้ว
แม่นางหลินช่างถ่อมตัวนัก และมักมีเื่ให้ตื่นตะลึงได้อยู่เสมอจริงๆ” หมอหลี่มีสีหน้ายินดีมาก
หลี่อี้มองอาจารย์ของเขาอย่างงุนงงว่าเหตุใดถึงถามหลินฟู่อินเื่นรีเวชศาสตร์…
เขาพยายามคิดย้อนดู
แต่ก็จำไม่ได้ว่าได้เห็นคนไข้นรีเวชที่ไหนใน่นี้
ความจริงแล้ว บรรดาหมอในแดนต้าเว่ยต่างก็เป็บุรุษ สตรีคนใด เมื่อเป็โรคเกี่ยวกับนรีเวชแล้วก็มีแต่ต้องอดทนไม่ยอมไปหาหมอ หรือหากโชคดีหน่อยก็อาจได้พบกับหมอยาหญิงที่พอจะรู้เื่ยาอยู่บ้าง…
โดยทั่วไป หากจะขอความช่วยเหลือก็จะไปขอจากเหล่าหมอตำแยแทน หากโชคดีก็อาจรักษาได้ด้วยสูตรยาพื้นบ้าน
แต่ถึงจะมีสูตรพวกนั้นก็ยังต้องใช้ชีวิตอย่างเ็ปต่อไปอยู่ดี
เมื่อเห็นหลี่อี้กำลังเบิกตามองเขาอยู่ หมอหลี่จึงไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าหลานชายนัก ว่าภรรยาของเขาป่วยเป็โรคเกี่ยวกับสตรีอยู่ จึงมองหลินฟู่อิน
“เช่นนั้นแล้ว ข้าอยากให้แม่นางหลินตามข้ากลับไปที่โรงหมอของข้าด้วย”
เมื่อเห็นว่าเขาอายที่จะให้หลานรู้ว่าต้องไปพบใคร
หลินฟู่อินจึงพยักหน้ารับ
โรงหมอของหมอหลี่และบ้านของเขาในเมืองถูกเชื่อมไว้ด้วยกัน และหลินฟู่อินก็ได้รับการต้อนรับอย่างสุภาพ ก่อนจะถูกพาไปยังสวนด้านหลัง
ส่วนหลี่อี้ถูกทิ้งไว้กับศิษย์คนอื่นเพื่อดูคนไข้
หลินฟู่อินเดินตามหมอหลี่เข้าไปในห้องโถง แล้วจึงได้พบกับหลี่ฮูหยินที่ออกมาพร้อมกับเด็กหญิงร่างเล็กวัยประมาณสิบขวบ ผู้ทำผมทรงซาลาเปาสองลูก
เด็กหญิงคนนี้ทั้งร่าเริงและน่ารัก นางส่งเสียงเรียก “ท่านพ่อ!” เป็ผลให้หมอหลี่ต้องเผยรอยยิ้มออกมา แล้วนางจึงหันมามองหลินฟู่อินอย่างใคร่รู้
“ท่านสามีกลับมาแล้วหรือ” หลี่ฮูหยินสวมชุดผ้าไหมสีฟ้าน้ำทะเล
บนศีรษะทำทรงผมเป็ซาลาเปาประดับด้วยเครื่องประดับรูปม้าและปิ่นโมรา
ที่หูประดับด้วยต่างหูไข่มุกขนาดเท่านิ้วโป้งสีเขียวเข้ม “อ้าว แม่นางหลินมิใช่หรือนี่?”
เมื่อถามจบ นางจึงหันไปมองหมอหลี่ด้วยดวงตาอันงดงามคู่นั้น “ท่านสามีไปพบแม่นางหลินแล้วพามาที่นี่ได้ยังไงหรือ?” นางรอให้หมอหลี่อธิบายด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงกล่าวกับหลินฟู่อิน
“แม่นางหลิน ไข่ที่เ้าทำเมื่อคราวก่อนอร่อยมาก ลูกๆ ของพวกข้าทานไปจนหมดแล้ว ข้ากำลังคิดจะบอกให้สามีและหลี่อี้ไปซื้อเพิ่มจากเ้าอยู่เลย!”
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มบาง แล้วจึงกล่าว “ขอบคุณฮูหยินและคุณหนู
แต่แผงปัจจุบันนั้นขายหมดแล้ว และแผงที่สองจะพร้อมทานในอีกสิบวัน
เมื่อพร้อมแล้วข้าจะส่งมาให้เ้าค่ะ”
หลี่ฮูหยินหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบังริมฝีปากแล้วยิ้ม “ข้าอยากทานขนมของเ้าอยู่ตลอดเลยจริงๆ
คราวหน้าเ้าต้องเก็บเงินด้วยนะ!”
หลินฟู่อินเพียงยิ้มเงียบๆ นางพินิจใบหน้าของหลี่ฮูหยินอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าใบหน้าจะตบแต่งไว้อย่างดี แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะปกปิดสีหน้าที่อ่อนเพลียนั้นได้
ดูต่างจากใบหน้าที่เปี่ยมด้วยพลังใจในตอนที่มาเยือนบ้านนางเพื่อซื้อสมุนไพรมากนัก
ดังนั้นนางจึงเดาได้ว่าหมอหลี่เรียกนางมาเพื่อดูอาการของภรรยาเขา
หมอหลี่เห็นพวกนางคุยกันภายใต้แสงแดด จึงผายมือส่งสัญญาณพลางกล่าว
“เข้าไปคุยกันในห้องดีกว่า” ก่อนจะเดินนำโดยจับไหล่ของภรรยาเพื่อพาเดินไปด้วยช้าๆ “ขอบคุณแม่นางหลินที่รีบมาในวันนี้ นายหญิงวังของตระกูลวังนั้นมีเวลาไม่มาก
หากไม่ทันการณ์ก็คงเสียเด็กในท้องไปแล้ว”
“อย่าพูดอะไรน่ากลัวเช่นนั้นสิ
ไม่ใช่ท่านบอกข้าว่านายหญิงวังของตระกูลวังแข็งแรงดี กินนอนได้ปกติหรอกหรือ? แล้วเหตุใดนางจึงเกือบตายได้อีก?”
ได้ยินที่สามีพูด หลี่ฮูหยินจึงกลัวขึ้นมาแล้วจับแขนของหมอหลี่แน่น