“อะไรม่าน เดี๋ยวก่อนม่าน! ม่านทำอะไร?!”
“...”
“ม่านหยี่ เดี๋ยวก่อนลากเราออกมาทำไม” ในขณะที่เขากำลังจะโอนเงินงวดแรกให้กับทางออร์แกไนเซอร์ ม่านหยี่ก็บอกว่าขอเวลาก่อนสักครู่จากนั้นก็ลากตัวเขาด้วยพลังอันล้นเหลือออกมายังลานจอดรถทันที อะไรของม่านกันนะ
“ไม่ได้!”
“อะไรไม่ได้?!”
“จะโอนไม่ได้!”
“ทำไมจะโอนไม่ได้?” หน้าจอเครื่องมือสื่อสารค้างอยู่ที่หน้าแอปพลิเคชันธนาคารที่สามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วทันใจ เพียงแค่รามสูรกดเข้าไปยังการโอนเงิน จากนั้นก็พิมพ์เลขบัญชีของออร์แกไนซ์เซอร์และจำนวนเงินงวดแรกลงไป แค่นั้นก็เท่ากับว่าเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่กดโอนเท่านั้น
“มัน...มันแพงมากเลยนะราม”
“ต้องโอนแล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ทันนะ” เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมม่านหยี่ถึงลากเขาออกมา
“สามแสนเลยนะราม งวดแรกสามแสนเลยนะ!”
“ก็ใช่ไง”
“แล้วเราต้องจ่ายอีกสองงวด” จำนวนตัวเลขรันขึ้นมาในหัวของเขาทันที สามงวดงวดละสามแสน เก้าแสนบาทนั่นเป็ราคาที่รามต้องจ่ายเพื่อจัดงานแต่งงานในครั้งนี้ มันมากเกินไป เกินไปจริง ๆ
“เก้าแสน ม่านไม่ต้องห่วง เราจ่ายเอง”
“ไม่ได้ราม!”
“ทำไมจะไม่ได้ เนี่ยเดี๋ยวโอนเลย”
“รามอย่า!!!” ม่านหยี่รีบคว้าโทรศัพท์ออกจากมือของคนรักแล้วล็อกหน้าจอมันเอาไว้ไม่ให้รามสูรได้ใช้มัน รามจะโอนไม่ได้ นี่คือค่ามัดจำ ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นทางเซลล์จะไม่คืนเงินมัดจำให้ เขาอยากให้รามสูรคิดให้ดี ๆ อีกสักที เพราะเงินสามแสนนี้ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลย
“รามอย่าพึ่งได้มั้ย”
“เอาโทรศัพท์เราคืนมาม่าน”
“ไม่ให้”
“ม่านหยี่ อย่าดื้อ ตอนนี้ไม่เล่นนะ” รามสูรทำเสียงเข้มกว่าที่เคย เขาจะต้องจัดการโอนเงินให้เซลล์ ไม่อย่างนั้นงานแต่งงานมันก็จะเริ่มไม่ได้สักที
“ม่านไม่ได้เล่นนะราม เงินสามแสนคิดก่อนได้มั้ย”
“รามคิดมานานแล้วม่าน”
“อย่างนั้นก็คิดให้นานกว่านี้อีกนิดสิ เงินรามตั้งสามแสน ถ้ามันเป็เงินเก็บของเราสองคนม่านจะไม่ว่าอะไรเลย นี่เป็แค่เงินรามคนเดียวเท่านั้น” ลำพังแค่มาอยู่กินที่นี่ไม่กี่วันต้องพึ่งพารามสูรทุกวันนั่นก็ทำให้ม่านหยี่ละอายแก่ใจแล้ว แล้วตอนนี้รามยังจะออกค่าใช้จ่ายงานแต่งงานคนเดียวทั้งหมด เงินตั้งเก้าแสนจะให้เขาไม่ละอายแก่ใจเลยคงเป็ไปไม่ได้
“รามรักม่าน รามจ่ายได้”
“รามสูร! คิดให้ดีกว่านี้ เราไม่...” อยากบอกเหลือเกินว่าม่านหยี่คนนี้ไม่คู่ควรกับเงินเก้าแสนเลยสักนิด ม่านหยี่ไม่คู่ควรกับรามสูร ไม่คู่ควรแม้กระทั่งความรักจากรามสูรด้วยซ้ำ
“ไม่อะไรม่าน รามรักม่านได้ยินมั้ย รามรักม่าน รามจ่ายได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย เอาโทรศัพท์รามคืนมาเถอะนะ”
ความรักทำให้คนตาบอด เขาพึ่งจะเข้าใจความหมายของมันก็วันนี้ รามสูรรั้นจะจ่ายเงินอีท่าเดียว รามไม่ฟังแม้กระทั่งความเห็นจากเขา
“แม่รามยังไม่อนุญาตเลยนะ” หรือบางทีเขาควรจะเอามารดาของรามเป็ข้ออ้างในการชะลอการแต่งงานในครั้งนี้
“รามก็บอกแล้วว่ารามไม่ได้ขออนุญาตแม่ รามแค่บอกให้แม่รับทราบและแม่ก็รับทราบแล้ว ถึงแม้แม่จะไม่เห็นด้วยรามก็ไม่สนใจ”
โอ...ให้ตายเถอะรามสูร ช่วยรักเขาอย่างมีสติกว่านี้จะได้ไหม รับรู้ว่ารามรักเขามากแค่ไหนเขาซึ้งใจในความรักของราม แต่บางทีรามสูรก็ควรมีขอบเขตในเื่นี้บ้าง รามสูรไม่ใช่คนโง่แต่กับเื่ความรัก รามก็ไม่ได้ฉลาดอย่างที่พี่อัสว่าจริง ๆ
“ราม รามเราคุยกันก่อน โอเคมั้ย...”
“คุยกันเื่?” ดูเหมือนว่ารามสูรยังไม่เข้าใจว่าตนเองทำตรงไหนผิดไป
“เงินสามแสนที่จะโอนตอนนี้อย่าพึ่งโอน เราแค่เข้ามาคุยและเราก็จะหาออร์แกไนซ์เ้าอื่นด้วย หรือไม่ถ้าอยากจัดจริง ๆ ก็จัดเองก็ได้ ไม่จำเป็ต้องจ่ายแพงขนาดนี้เลยราม”
“แต่ตรงนี้เขาก็มีครบนะม่าน วันหมั้น วันแต่ง ดอกไม้ สถานที่ ชุด ช่างกล้อง เนี่ยเขามีครบหมดเลย เราก็แค่ทำตัวสบาย ๆ แล้วถึงวันงานเราก็ไม่ต้องทำอะไรเลยไง เดี๋ยวเขาทำให้หมด”
“ราม...รามไม่เข้าใจที่ม่านจะบอก คือมันแพงเกินไป”
“แต่ม่าน...”
“รามสูรฟังนะ งานแต่งนี้มันคืองานของเราสองคน แต่ตอนนี้มีแค่รามคนเดียวเท่านั้นที่จะออกเงินทั้งหมด ซึ่งม่านคิดว่ามันไม่แฟร์ ถึงรามจะบอกว่าจ่ายได้จ่ายไหว แต่ถึงยังไงม่านก็เกรงใจอยู่ดี เงินไม่ใช่น้อย ๆ ถ้าเกิด...” ม่านหยี่ไม่อยากพูดว่าถ้าเกิดงานแต่งมีอันต้องยกเลิกไปอย่างนี้จะทำยังไง
“ถ้าเกิดเราทำเอง จัดเองเล็ก ๆ มันไม่ดีกว่าเหรอ ที่โรงแรมก็มีห้องบอลรูมหรือไม่เราก็จัดกันที่ริมทะเลเล็ก ๆ มีแค่เพื่อนเรากับครอบครัวของรามแค่นั้นก็ได้นี่” เขาสองคนไม่ได้มีเพื่อนเยอะแยะ และม่านหยี่ก็ไม่ได้มีครอบครัวที่จะต้องเชิญมาร่วมงานอยู่แล้ว การจัดงานแต่งงานใหญ่โตนั้นฟังดูเป็การสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ หรือรามกำลังเล่นาประสาทกับคุณนายรุ่งฤดีอยู่ เขาก็สุดจะรู้ได้
“แต่งานเรามันมีครั้งเดียวนะม่าน รามแค่อยากให้ม่านได้สิ่งที่ดีที่สุด รู้มั้ยม่านคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุดนะ” ถ้าหากใครได้เห็นสภาพรามสูรในตอนนี้ก็คงต้องบอกเป็เสียงเดียวกันว่ารามสูรถูกความรักบังตาหลงม่านหยี่จนโงหัวไม่ขึ้น
“ดีที่สุดไม่ได้หมายความว่าต้องแพงที่สุดนะ”
“...”
“เราแค่...เอาตรง ๆ มั้ย ม่านเกรงใจกับละอายใจ ม่านไม่อยากให้รามใช้เงินเกือบล้านนี่ไปกับการจัดงานแต่งงานที่สุดท้ายแล้วก็มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเรารักกันมากขนาดไหน คนอื่นเขาแค่มาร่วมงาน เขาเห็นแล้วเขาก็กลับไป ความตื่นตาตื่นใจจะอยู่กับเขาแค่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น เงินเกือบล้านนี่เราเอาไปทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เราเอาไปเที่ยวก็ได้ ไปเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ หรือลงทุนอะไรก็ได้ ไม่ใช่เอามาทุ่มกับงานแต่งงานที่สุดท้ายก็จะมีแค่รูปภาพ ม่านไม่รู้ว่ารามคิดยังไงแต่ม่านคิดอย่างนั้น” ม่านหยี่บอกความจริงในใจที่เขาคิดมาั้แ่รามสูรจูงมือเดินเข้าร้านแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายเขามันสวยงาม หรูหราและราคาแพงไปหมด แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็จะเป็ขยะ ชุดแต่งงานของเขาที่คนอื่นเคยสวมใส่ก็จะถูกเช่าต่อไปเรื่อย ๆ ดอกไม้สดหลายพันดอกจะกลายเป็ขยะ เครื่องเสียงแสงสีจะกลายเป็แค่สิ่งของประกอบฉากเพื่อที่จะทำให้รูปภาพงานแต่งดูมีชีวิตขึ้นมา แต่ก็นั่นแหละท้ายที่สุดแล้วแขกที่มาร่วมงานก็แค่อิ่มท้อง คนสนิทชิดเชื้ออาจร่วมยินดีด้วยใจจริงแต่ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงแค่เราสองคนที่ใช้ชีวิตด้วยกันอยู่ดี
“พูดซะรามไปไม่เป็เลยม่าน”
“ใช่ ม่านอยากให้รามไปไม่เป็และอย่าพึ่งโอนเงิน เราแค่มาคุย เข้าใจมั้ย ไม่ได้จะมาซื้อเลย”
“...ครับ”
“และถ้ารามยังยืนยันว่าอยากจ้างออร์แกไนซ์หรือจัดงานเราก็ค่อย ๆ หางานกันไป เราไม่ใช่คนมีเงินนะราม เราเป็แค่เด็กจบใหม่ที่ว่างงาน”
“แต่เราไม่-”
“เราต้องทำงาน เราไม่ทำงานไม่ได้ ถึงจะทำงานที่โรงแรมของตัวเองนั่นก็คืองานที่เราต้องทำ”
“ครับรามเข้าใจ”
“เนี่ย...กลายเป็เด็กชายรามสูรสามขวบ”
“ไม่ต้องเลย ได้ทีแล้วเอาใหญ่เชียวนะ”
“หึ ๆ ๆ ๆ ” ม่านหยี่หัวเราะในลำคอ เขาพูดผิดเสียที่ไหน
สุดท้ายแล้วเซลล์ขายโปรแกรมงานแต่งงานก็ต้องผิดหวังเมื่อเขาทั้งคู่บอกว่าครั้งนี้เป็แค่การเข้ามาคุยรายละเอียด ยังไม่ได้ตัดสินใจหรือตกลงกันเป็เื่เป็ราว พนักงานขายหญิงคนนั้นไม่อาจปิดบังสีหน้าผิดหวังของเธอเอาไว้ได้ เพราะคิดไว้แล้วไม่ว่าอย่างไรวันนี้เธอก็จะได้ค่าคอมมิชชันการขายเป็เงินก้อนโตแล้วแน่ ๆ แต่เมื่อลูกค้าทั้งสองท่านปฏิเสธฝันก็สลายไปในพริบตา
สองคนกลับมาตั้งหลักยังโรงแรมอีกครั้ง รามสูรยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการหาออร์แกไนเซอร์และธีมงานแต่งงาน ม่านหยี่ตัดสินใจว่าเขาไม่พูดเื่นี้จะดีกว่า ปล่อยให้รามทำอะไรที่สบายใจไปก่อนแล้วกัน เพราะอีกเดี๋ยวถ้าเหนื่อยก็คงจะเลิกไปเอง
“มึงอยู่ไหน กูมีเื่ให้ต้องทำ มาเจอกันที่ฟาร์มไข่มุกท้ายเกาะ พรุ่งนี้ตอนหกโมง”
ข้อความนั้นถูกส่งมาโดยเบอร์ปริศนา บุคคลปริศนา และไร้ที่มาที่ไป แต่ม่านหยี่รู้ดีว่าข้อความสั้น ๆ นั้นมาจากบิดาของตน ไม่รู้ว่าพ่อกำลังจะทำอะไร แต่ที่รู้แน่ ๆ คือสิ่งที่พ่อกำลังจะทำนั้นไม่ใช่เื่ดีและเขาก็คงถูกใช้เป็เครื่องมือในการทำเื่เลวร้ายอีกครั้ง ความไม่รู้ทำให้ม่านหยี่คิดหนัก ไม่รู้ว่าพ่อจะมาไม้ไหน ไม่รู้ว่าพ่อกำลังคิดจะทำอะไร ไม่รู้ว่าป่านนี้แม่เป็อย่างไรบ้าง
ติ๊งงง!!!
ราวกับว่าบิดามีเวทมนตร์อ่านใจคนได้ รูปถ่ายถูกส่งเข้ามาในกล่องข้อความ มันเป็รูปมารดาที่ตอนนี้กำลังนอนติดเตียงและสวมเครื่องช่วยหายใจเอาไว้ สภาพมารดาช่างดูน่าเวทนาและน่าสงสาร
ติ๊งงง!!!
คราวนี้เป็คลิปวิดีโอความยาวหนึ่งนาทีที่ถูกถ่ายโดยพ่อของเขา พ่อกำลังเดินไปข้าง ๆ เตียงซึ่งมีแม่ที่นอนหายใจรวยระรินจ้องมองมายังโทรศัพท์
“อย่าเล่นแง่ถ้าไม่อยากให้แม่มึงตาย”
แค่เพียงประโยคสั้น ๆ กลับทำเอาหัวใจดวงน้อย ๆ ถูกบีบรัดจนปวดหนึบแทบจะหายใจไม่ออก มือบางขยำเสื้อของตนเองเพื่อระบายความเ็ปแต่ก็พบว่ามันไม่เป็ผล พ่อฆ่าแม่แน่ถ้าหากพรุ่งนี้เขาไม่โผล่หัวไปตามนัด แต่ตอนนี้เขาอยู่บนฝั่งและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะกลับไปยังเกาะของรามได้
“ม่าน อยู่นี่เอง รามตามหาตั้งนาน”
“มีอะไรเหรอ” อยู่ ๆ คนที่ไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้กลับเดินเข้ามาหาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง เขาไม่รู้ว่ารามอยู่ตรงนี้นานหรือยัง ไม่รู้ว่ารามมาั้แ่ตอนไหน ไม่รู้ว่ารามได้ยินคลิปเสียงก่อนหน้านั้นหรือไม่ ถ้าหากรามได้ยินเขาจะทำยังไงดี
“เราจะกลับเกาะกัน”
“ฮึ?” ม่านหยี่ต้องเล่นตามน้ำไปทำทีท่าว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นถึงแม้จะอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมรามสูรถึงจะชวนกลับเกาะทั้ง ๆ ที่เราทั้งคู่พึ่งขึ้นฝั่งเมื่อคืนนี้เอง และจังหวะมันเหมาะสมกับคำสั่งของพ่อเขาพอดี
“ที่เกาะเกิดเื่นิดหน่อยน่ะ เรือที่อู่เสีย มันเป็ของราม แม่สั่งห้ามใครซ่อมนอกจากรามจะกลับไปซ่อมเอง”
“แม่หายโกรธแล้วเหรอ”
“ยังหรอก คงแค่อยากให้รามอยู่ในสายตามากกว่า” หรือนี่อาจเป็วิธีการง้อลูกชายก็สุดแสนจะรู้ คุณนายรุ่งฤดีเธอคงรู้สึกผิดที่ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุไป แต่ยามที่ตบเขาบิดาก็ไม่เคยสำนึกได้ว่าตนทำรุนแรงเกินกว่าเหตุนี่นะ มีแต่จะซ้ำให้ตายคามือ
“กลับตอนไหนล่ะ” อีกครั้งที่ม่านหยี่ต้องเก็บซ่อนความดีใจเอาไว้ ดีใจที่เขายังพอมีความโชคดีหลงเหลือในชีวิตแสนจะโชคร้ายนี้ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องโกหกรามอีกครั้งเพื่อที่จะหาเื่กลับเกาะ ครั้งนี้คงต้องขอบคุณความเอาแต่ใจของคุณนายรุ่งฤดีมารดาของรามสูรแล้วกันนะ
“บ่าย ๆ นี้แหละ ต้องถึงที่นู่นก่อนห้าโมงเย็นเพราะพายุจะเข้า”
“อ๋อ”
“เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินข้างล่างก่อนแล้วค่อยไปท่าเรือแล้วกัน”
“อื้อ”
เรือสปีดโบ๊ทลำใหญ่แล่นฝ่าคลื่นลมแรงสูงกลางทะเลกลับเกาะโดยที่มีรามสูรเป็คนขับเรือ และผู้โดยสารเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือม่านหยี่คนรัก คลื่นลมทะเลเริ่มสูงขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ลูกทะเลอย่างเขาก็ไม่หวั่น ห่วงก็แต่ม่านหยี่กลัวว่าจะเมาคลื่นจนอ้วกผัดไทยเมื่อตอนกลางวันออกมาจนหมด
“ไหวมั้ยม่าน” รามะโถามคนรักที่นั่งอยู่เบาะโดยสารของเรือลำใหญ่เพียงคนเดียว หน้าตาคล้ำเขียวนั่นบอกอาการได้เป็อย่างดีว่าถ้าหากเขาไม่ถึงเกาะภายในสิบนาทีนี้ม่านหยี่อ้วกแตกคาเรือแน่
“ทนหน่อยนะ” รามสูรขำกับตัวเองคนเดียว ทั้งเอ็นดูทั้งอดสงสารไม่ได้ ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่เขาพาม่านฝ่าคลื่นกลับมาตอนนี้
กว่าเรือจะถึงเกาะม่านหยี่ก็แทบจะกลั้นอ้วกเอาไว้ไม่ไหว
“อุบ...แหวะ!!!” ทันทีที่เรือลำใหญ่จอดเทียบท่า ร่างบางก็โก่งคอขย้อนเอาอาหารที่กินไปเมื่อตอนกลางวันออกมาจนหมด รามเห็นท่าไม่ดีจึงเดินไปลูบหลังคนรัก แต่ก่อนที่จะได้ยืนดูอาการกันก็ต้องรีบกลับบ้านเพราะพายุลูกโตกำลังก่อตัวอยู่เหนือหัวไม่ไกลไปจากพวกเขา เมฆดำทะมึนตั้งเค้าและเตรียมพร้อมพาห่าฝนและลูกเห็บเข้ามาจู่โจมแล้ว
“นายน้อยครับ นายหัวราม ทางนี้ครับ”
“ครับพี่พล” พี่พลคงได้รับคำสั่งจากแม่รามมาอีกทีว่าให้ลงมารอรับเราสองคนหรือไม่คุณนายรุ่งฤดีประสงค์จะรับแค่รามสูรกลับขึ้นไปเท่านั้นไม่เกี่ยวกับเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่แม่ที่ใจจืดใจดำเกินไปหรอกนะ
ซ่าาาาา!!!
ทันทีที่รถตุ๊ก ๆ จอดนิ่งสนิทที่หน้าบ้านห่าฝนก็เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว สองคนต้องรีบะโลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปหลบฝนที่ระเบียงบ้านใหญ่ทันที
“เปียกอย่างกับลูกหมาตกน้ำ”
“เธอก็เปียก อย่ามาว่าแต่เรา”
“ม่านเหมือนลูกหมากว่า”
“ใช่ เพราะรามเป็หมาแก่”
“จะยืนอยู่ตรงนั้นกันนานมั้ย!!!” เสียงะโดังออกมาจากภายในตัวบ้านทำให้ทั้งสองคนที่ยืนหยอกล้อคุยกันอยู่ข้างนอกต้องหุบปากและเดินเข้าไปหลบฝนข้างในโดยทันที ม่านหยี่เลือกที่จะเดินอยู่ข้างหลังรามสูรเหมือนอย่างเคยเพราะเขากลัวว่าถ้าหากแม่รามจำหน้าเขาได้ขึ้นมาเื่มันคงไปแย่ยิ่งกว่านี้ แค่เขาเป็ผู้ชายเธอก็มีอคติมากพอแล้ว ถ้าหากรู้ว่าม่านคือเด็กผู้ชายคนนั้นที่เคยโยนไอศกรีมใส่เธอ คุณนายรุ่งฤดีคงจะแปลงร่างเป็หมีกินผึ้งและเข้าจู่โจมเขาในทันที
“นี่ถ้าไม่สั่งให้กลับก็คงไม่กลับใช่มั้ย รามสูร...”
“ก็แม่ไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่อยู่แล้ว”
“ยังจะมาย้อน!”
“ผมพูดจริง”
“ราม...” ม่านหยิกแขนคนรักเอาไว้ไม่ให้พูดอะไรไปมากกว่านี้
“ถ้าจะนอนที่นี่ ต้องแยกห้องกันนอน”
“แม่!!!”
เขาอยากบอกกับแม่ผัวเหลือเกินว่าแยกตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ ในเมื่อเขากับรามอยู่ด้วยกันมาั้แ่ปีหนึ่งแล้ว รู้ไส้รู้พุง รู้กระทั่งไซส์กางเกงใน แยกกันนอนตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร แต่ก็นั่นแหละ คงทำเพื่อความสบายใจของเธอเท่านั้น
“ไม่รู้ละ ตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่นี่ เธอจะต้องนอนห้องนอนแขก”
“ไร้สาระชะมัดเลย”
“อย่าพูดแบบนั้นกับฉันนะราม ฉันเป็แม่เธอนะ!!!”
“ครับได้ครับ” ม่านหยี่รีบตอบตกลงในคำสั่งที่เขาต้องแยกห้องนอนกับรามสูร เพื่อไม่ให้าน้ำลายนี้ถูกจุดขึ้นมาอีกรอบ
“แพง ไปส่ง”
“ค่ะคุณนาย เชิญทางนี้ค่ะคุณ” ถึงแม้ว่ารามจะพยายามจับมือของเขาเอาไว้แต่สุดท้ายเราก็ต้องปล่อยมือกันอยู่ดี เพื่อที่ว่าครั้งนี้เราจะได้จับกันให้แน่นกว่านี้ มันเป็เพียงข้อแลกเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อความสบายใจของคนแก่อย่างนั้นเขาเลยยอมรับได้ ดีแค่ไหนแล้วที่เธออนุญาตให้เขานอนที่นี่ ไม่ได้จับผูกใส่เรือแล้วส่งกลับขึ้นฝั่ง อย่างน้อยตอนนี้เขากับรามก็มีเวลาอยู่ด้วยกันในตอนกลางวัน นั่นก็ดีแค่ไหนแล้ว ก็ถือเสียว่ายอมโอนอ่อนเอาใจคนแก่ไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไร
ห้องนอนแขกอยู่ปีกซ้ายของบ้าน ขนาดห้องเล็กกว่าห้องนอนของรามแต่ก็ยังกว้างใหญ่มากอยู่ดี ม่านหยี่เดินสำรวจไปทั่วก็พบว่าการออกแบบและตกแต่งมันเหมือนกันกับห้องรามทั้งหมด เขาคิดว่าห้องทุกห้องในบ้านหลังนี้คงถูกออกแบบมาให้เหมือนกันหมด
แต่เื่ที่น่ากังวลอีกเื่คือห้องนอนและห้องทำงานของคุณนายรุ่งฤดีอยู่ถัดจากเขาไปเพียงห้องพระกั้นกลางเอาไว้เท่านั้น กลัวเหลือเกินว่าเขาจะบังเอิญเปิดประตูออกมาเจอกับมารดาของรามที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“ค่อยหาทางเอาแล้วกันนะม่าน ถึงจะแย่แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงตายหรอก” ทำได้แค่ปลอบใจตัวเอง
เขานอนไม่หลับ...เข็มสั้นของนาฬิกาชี้บอกเวลาห้าทุ่ม ส่วนเข็มยาวชี้ไปที่เลขสี่ เกือบจะเที่ยงคืนแล้วที่เขาเอาแต่นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงหลังกว้าง คิดว่าทำไมมันถึงหนาวอย่างนี้ เตียงคิงไซส์ใหญ่เกินไปสำหรับนอนคนเดียว และม่านก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าคิดถึงััและอ้อมกอดอุ่น ๆ ของรามสูร ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้เรานอนด้วยกัน รามมักจะกอดเขาอยู่เสมอจนกลายเป็ว่าม่านติดกอดอุ่น ๆ ของรามไปแล้ว พอวันนี้มันไม่มีก็ยากที่จะข่มตาให้หลับลง
ครืดดดด~~~
เสียงประตูไม้ถูกเลื่อนออกจากนั้นก็ปิดลงอย่างเบามือ คนที่นอนอยู่บนเตียงเด้งตัวขึ้นมาทันทีด้วยเพราะรู้ว่าใครแอบย่องมาหาตนเองในตอนดึกเช่นนี้
“ราม!” น้ำเสียงดีใจจนปิดไม่มิดนี้มีไม่บ่อยครั้งนักหรอก แต่วันนี้ต้องยอมจริงเพราะถ้ารามไม่มาเขาคงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
“คิดถึงจัง” รามสูรตรงเข้ากอดคนรักแล้วเอนตัวล้มลงเตียงด้วยกันทั้งคู่ เขานอนไม่หลับ ม่านก็คงจะเหมือนกัน ห่างกันแค่นี้ก็จะเป็จะตายเสียให้ได้ อย่างนั้นเลยต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะมาเจอม่านหยี่ในตอนดึก กระทั่งดูลาดเลาว่ามารดาหลับแล้วจึงแอบเดินย่องมาด้วยวิชาตีนแมวให้เบาที่สุด
“นอนไม่หลับ”
“เพราะคิดถึงรามเหรอ”
“...อืม”
“ดีใจจัง ม่านคิดถึงราม” รามสูรฝังจูบลงไปยังขมับของคนรักก่อนที่จะตบผ้าห่มนวมผืนหนาขึ้นมาห่มทับกันออกจากความหนาวเย็นของเครื่องปรับอากาศ สองคนผล็อยหลับไปในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
พายุฝนยังคงกระหน่ำลงมาที่เกาะโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด วันนี้การทำงานทุกอย่างดูเหมือนว่าจะถูกชะลอเอาไว้ แเื่ที่มาพักที่โรงแรมทำเพียงแค่เดินออกมารับประทานอาหารและหยิบขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดไม้ติดมือกลับเข้าไปยังห้องพักตามเดิม ทางโรงแรมไม่แนะนำให้ออกเรือไปทำกิจกรรมในวันนี้ พรุ่งนี้ หรือกระทั่งวันมะรืน ด้วยเพราะพยากรณ์อากาศบอกว่าพายุจะเข้าติดต่อกันเป็เวลาหลายวัน เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง...
ท้องฟ้าสีหม่นทำให้ไม่สามารถคาดคะเนได้ว่าตอนนี้เป็เวลากี่โมงแล้ว ม่านหยี่ยืนมองฝนที่ตกสาดซัดกระเซ็นเข้ามายังพื้นห้องจากการที่เขาเปิดหน้าต่างบานใหญ่เอาไว้รับลม ม่านกำลังคิด คิดอย่างหนักว่าหาดฝนตกขนาดนี้บิดาคงไม่ดั้นด้นขับเรือฝ่าฝนมาเพื่อพบเขาหรอก แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าตนเองนั้นประเมินบิดาต่ำเกินไป ถ้าหากว่าพ่อมีแผนในใจอยู่แล้ว แค่เพียงพายุฝนคงไม่คณามือพ่อหรอก
แต่เขานี่สิฝนตกแบบนี้จะหาทางออกไปอย่างไรดี มันออกจะผิดแปลกเกินไปหน่อยไหมหากรามสูรรู้เข้าว่าม่านหยี่ขับรถไปยังท้ายเกาะท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนักแบบนี้ เขาพยายามคิดหาข้ออ้างบอกกับรามว่าอย่างไรดี แต่สุดท้ายแล้วก็คิดไม่ออก เขาไม่มีธุระกับคนบนเกาะนี้ ม่านหยี่ไม่รู้จักใครเลยสักคน ั์ตาโศกเหลือบมองนาฬิกาบนผนังอีกครั้งและตัดสินใจตอนนั้นว่าเขาต้องไปแล้ว ข้ออ้างค่อยคิดเอาตอนรามถามแล้วกัน
ร่างบางขึ้นควบรถ ATV คันใหญ่แล้วบึ่งออกมาจากบ้านของคนรักทันที ขับลัดเลาะไปตามถนนหนทางที่ชันและลื่น เม็ดฝนขนาดใหญ่สาดปะทะหน้าจนต้องหยีตาแต่เขาก็ยังฝ่ามันไป กว่าจะถึงจุดนัดหมายก็พบว่าเลยเวลานัดมาแล้วเกือบสิบนาที ม่านเดินตัวเปียกด้อม ๆ มอง ๆ หาผู้เป็พ่อใจหนึ่งก็กลัวว่าคนของรามจะมาเห็นเข้าและสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่ฟาร์มไข่มุกในตอนที่ฝนตกหนักอย่างนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังกลับไม่ได้
“ตามมาทางนี้” ชายร่างสูงโผล่ออกมาจากป่าไม้บริเวณตีนเขา มันเป็คนเดียวกันกับที่รามสูรเกือบจะมีเื่ด้วยเมื่อหลายวันก่อน ม่านเดินตามทางเดินเล็กแคบเข้าไปจนกระทั่งไปโผล่ยังหน้าหาดทรายอีกฟากหนึ่งของเกาะ หาดบริเวณนี้เหมือนถูกทิ้งร้างและไม่มีใครเข้ามาใช้งาน ที่ไกลออกไปนั้นคือเกาะของบิดาเขา
“แม่เป็ยังไงบ้าง ทำไมต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ”
“กูอนุญาตให้มึงถามกูั้แ่เมื่อไหร่” าน้ำลายระหว่างม่านหยี่และนายหัวศิลาเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำลงมา
“้าอะไร”
“ไหนรายงานสถานการณ์มาหน่อยซิ” เม็ดฝนไม่ได้ช่วยปิดบังความเกลียดชังในสายตาม่านหยี่ที่มีต่อบิดาได้เลย เขาเกลียดที่บิดาทำทีท่าเหมือนว่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เกลียดที่บิดากำลังจะกลายเป็ผู้ชนะในเกมนี้โดยมีม่านหยี่เป็เครื่องมือเอาชนะทุกคน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้
“แม่ของรามไม่เห็นด้วยที่จะแต่งงานกัน”
“กูว่าแล้ว มันก็เป็ของมันแบบนั้นมาั้แ่ไหนแต่ไร พวกมึงฝันไปเถอะว่าจะได้แต่ง”
“...แต่รามไม่ยอมยังไงก็จะแต่ง”
“มันก็ดูพยายามดีเนอะ”
ตาโตเหลือบมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนไปเป็สีน้ำหมึก
“ก็แค่นั้น”
“แค่นั้นเหรอ...ก็ดี ดีแล้ว อยู่ไป แต่งงานกับมันให้ได้ แล้วทำยังไงก็ได้ให้มันขายที่ให้กู”
ม่านหยี่ส่ายหน้า บิดาเขารู้อยู่แล้วไม่ว่าอย่างไรรามสูรก็ไม่มีวันขายที่ให้ เห็นได้จากวันนั้นที่รามพยายามจะพุ่งตัวเข้าใส่พ่อของเขาแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติสองคนคงไม่มีวันได้ญาติดีกันแน่
“เขาไม่ขายพ่อก็รู้”
“ไม่รู้ มึงทำยังไงก็ได้ให้มันขาย หรือถ้าจะให้ดี ยกให้เปล่า ๆ เลยก็ดีนะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ” นั่นยิ่งทำให้ม่านหยี่ระอาในตัวผู้เป็พ่อมากขึ้นไปอีก
“แม่เป็ยังไงบ้าง”
“ก็ดี”
“...ก็ดีแล้วยังไงอีก”
“ก็ไม่ยังไง กินอิ่มนอนหลับ ตามประสาคนป่วย”
“งั้นให้ม่านกลับไปดูแม่ด้วย”
“ไม่ได้!”
“ทำไมจะไม่ได้”
“ถ้ามึงไป แฟนมึงก็จะสงสัยว่ามึงหายตัวไปไหน เดี๋ยวแผนแตกกันพอดี”
“แล้วพ่อมาทำไม มาที่นี่ทำไม!”
“ก็มาคุมพฤติกรรมมึงไง มาดูว่ามึงยังอยู่ในคอกรึเปล่า ถ้ามึงนอกลู่นอกทางกูก็จะได้จัดการแม่มึงซะ”
“พ่อ!!!”
“อย่าเล่นลิ้นกับกู อย่าตุกติก มึงก็รู้ว่ากูทำแน่” นิ้วชี้โก่ง ๆ จิ้มแรง ๆ ลงมายังกลางหน้าผากของบุตรชาย และลงแรงผลักให้มันหงายหลังไป
“ให้ม่านกลับไปด้วย ไปเจอแม่แค่แป๊บเดียวก็ยังดี”
“ไม่ล่ะ แต่ถ้ามึงอยากเจอแม่มึง มึงทำงานนี้ให้สำเร็จ แล้วกูจะเก็บมาพิจารณาอีกรอบ”
“งานอะไร”
นายหัวศิลาไม่พูดทำเพียงแค่พยักพเยิดหน้าไปยังลูกน้อง จากนั้นผู้ชายร่างใหญ่ก็เดินเข้ามาแล้วยื่นขวดแก้วขนาดเล็กให้กับม่านหยี่
“นี่อะไร”
“อย่าถามมาก รับไปถ้ามึงยังอยากเจอแม่มึงอยู่”
“พ่อ...”
“ไม่ต้องมาเรียกกูว่าพ่อ รับไปอย่าลีลา” ม่านรับเอาขวดแก้วนั้นมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี มันคงจะเป็ยาอะไรซักอย่างที่ท้ายที่สุดแล้วก็คงจะหวังทำลายรามสูร
“งานง่าย ๆ แค่เทยานี่ลงไปที่ทะเล ไข่มุกมันก็จะตาย”
“พ่อ!!!”
“หรือมึงจะไม่ทำก็ได้ถ้าเห็นผัวสำคัญกว่าแม่ที่นอนพะงาบ ๆ รอวันตาย นี่หมอก็นัดทำคีโมอีกแล้ว กูมีทางเลือกอยู่สองทาง จะพาแม่มึงไปทำหรือไม่พาไป แต่ทางเลือกนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับมึงเองนะม่าน” เขารู้แล้วว่าวันนี้บิดาฝ่าพายุฝนมาเพื่ออะไร จุดประสงค์คืออยากเอาชนะ บิดาอยากเห็นแววตาคนพ่ายแพ้อย่างเขา คงสะใจที่บีบบังคับให้ม่านหยี่จนหนทางจนต้องลงมือทำอะไร ๆ ที่ตนเอง้า
“ให้ม่าน...”
“มึงไม่ต้องพูดแล้ว กูไม่อยากฟัง เอาเป็ว่ากูรอข่าวดีจากมึงนะ เื่ฟาร์มไข่มุกนี่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ” นายหัวศิลาหันหลังแล้วโบกมือของตนไปมาให้กับลูกชาย จากนั้นก็เดินไปขึ้นเรือสปีดโบ๊ทของตน เขายังไม่ลืมที่จะโบกมือให้ลูกชายอีกครั้งก่อนที่เรือลำนั้นจะแล่นออกห่างจากเกาะไป
ม่านกลับมาถึงบ้านของรามในเวลาเกือบสามทุ่ม ด้วยเพราะฝนที่เทลงมาอย่างหนักทำให้บดบังทัศนวิสัยจนไม่สามารถขับรถกลับบ้านได้ เขาจึงใช้เพิงที่พักคนงานที่ฟาร์มไข่มุกเป็ที่หลบฝนพลางนั่งมองกระชังที่แผ่ขยายออกไปในทะเล คนหนึ่งก็แม่ อีกคนก็คนรัก รามสูรทำดีกับเขามากกว่าที่พ่อทำทั้งชีวิต เพราะพ่อไม่เคยทำดีกับเขาเลย แล้วแม่ล่ะ ถ้าเขาไม่ทำตามคำสั่งพ่อ แม่คือคนแรกที่จะเดือดร้อน
“ม่านไปไหนมา”
“เอ่อ...เราไป ไปตามหารามไง รามไม่กลับบ้านไม่รู้ว่าไปไหน”
“อ๋อ รามอยู่โรงแรมข้างล่าง หลังคาห้องลูกค้ารั่วแล้วช่างก็กลับไปหมดแล้ว นี่เลยให้แขกย้ายออกมารออยู่ที่ล็อบบี้ รามเลยต้องปีนไปซ่อมหลังคาเอง ได้แผลมาด้วย” รามสูรอวดแผลที่ไหล่ มันเป็แผลถลอกขนาดใหญ่ที่ตอนนี้กำลังเริ่มบวมฉึ่ง
“เจ็บมั้ย”
“เจ็บนิดนึงแต่ซุ่มซ่ามเอง”
“มา เดี๋ยวทำแผลให้” เป็โชคดีอีกครั้งของม่านหยี่ แม้ว่าในใจของรามสูรจะสงสัยว่าคนรักหายไปไหนมา และไม่เพียงเท่านั้น คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดั้แ่ม่านหยี่ขับรถออกไปและกลับบ้านมาด้วยตัวเปียกโชกอย่างคุณนายรุ่งฤดีเองก็สงสัยเหมือนกัน