หลิวเต้าเซียงคงไม่โง่นัก เพียงแต่พูดว่า “ป้ารองไม่ได้กินข้าวกลางวันดีๆ ข้าคิดว่าคงหิว อ้อ ย่า ข้าก็ได้ยินว่าอาเล็กก็หิว ยังเร่งให้แม่ทำกับข้าวเร็วๆ อีกด้วย”
เมื่อหลิวฉีซื่อได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ สะใภ้รองคนนี้นับวันยิ่งไม่เชื่อฟัง นางตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องสั่งสอนหลิวซุนซื่อให้ดี
“เอาเถิด ข้าจะไปดูอาเล็ก เ้ารีบจัดการให้เสร็จ แล้วไปเรียกปู่กับพ่อเ้ากลับมากินข้าว”
หลิวฉีซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าสะบัดตรงปลายจมูก พร้อมกับปรายตามองหลิวชุนเซียงด้วยความรังเกียจ จากนั้นจึงเดินจากไป
หลิวเต้าเซียงคำนวณได้อย่างแม่นยำว่าหลิวฉีซื่อจะไม่เอาเื่เล็กๆ แค่นี้หากแต่หันไปคิดบัญชีกับหลิวซุนซื่อ คำพูดของนางเป็การกระตุ้นหลิวฉีซื่ออย่างแรง
ยิ่งไปกว่านั้นหลิวซุนซื่อมั่นใจว่าหลิวฉีซื่อลำเอียง แล้วรู้สึกว่านางไม่ได้รับความยุติธรรม คนบ้านแซ่หลิว เหตุใดต้องให้อะไรมากมายกับหลิวเสี่ยวหลันตัวล้างผลาญ ให้เอาเงินไปให้บ้านอื่น ให้คนแซ่อื่นได้ผลประโยชน์
และหลิวเสี่ยวหลันก็ไม่พอใจเช่นกัน กระทั่งรู้สึกเคืองโกรธหลิวฉีซื่อ นางรู้สึกว่าชีวิตครอบครัวพี่คนโตที่เมืองหลวงนั้นอยู่ดีกินดี กระทั่งพี่สะใภ้นางยังมีเด็กรับใช้คอยปรนนิบัติ บอกว่าเป็ความเมตตาจากคนเป็นาย แต่หลิวเสี่ยวหลันนั้นถูกเงินตราครอบงำ มั่นใจว่าหลิวฉีซื่อแม้จะรู้สึกว่าหลิวสี่กุ้ยไม่ได้ลำบากดังที่เขียนมาในจดหมาย แต่ก็ยังมีความคิดที่จะแบ่งเงินให้บ้านพี่ชายคนโต หลิวเสี่ยวหลันเองก็ไม่ปลื้มนัก นางก็เป็คนแซ่หลิว เหตุใดสินเดิมตอนออกเรือนถึงไม่สามารถให้ได้มากกว่านี้?
หลิวเต้าเซียงอ่านนิสัยของคนสองคนนี้ได้ทะลุปรุโปร่ง เพียงแค่ยั่วยุเล็กน้อย ทั้งสองฝั่งก็อารมณ์เดือดดาล
หากผู้อื่นเป็เดือดเป็ร้อน นางก็จะเป็ฝ่ายสงบสุข
อารมณ์ของหลิวเต้าเซียงมีความสุข ฮัมเพลงหลงทำนอง แล้วเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลิวชุนเซียงอย่างอารมณ์ดี ประจวบเหมาะกับจังหวะที่หลิวชิวเซียงเข้ามาดู หลิวเต้าเซียงจึงยกหลิวชุนเซียงให้นางดูแลต่อ จากนั้นก็ไปเรียกปู่กับพ่อกลับมาทานข้าว
เวลาอาหารค่ำ ในห้องโถงนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงตะเกียบที่ััชามเบาๆ
หลิวเสี่ยวหลันนึกหวง รีบคว้าถ้วยข้าวตนเองอย่างรวดเร็ว ดวงตาสองข้างกวาดมองผู้ที่อายุน้อยกว่า ท่าทางหวงแหนของกินดูน่าเกลียดเล็กน้อย
หลิวเต้าเซียงแอบส่งสายตาให้หลิวชิวเซียง เหตุใดอาเล็กถึงได้ตะกละเช่นนี้?
เมื่อมองไปที่โจ๊กมันเทศของครอบครัวตนเอง หลิวชิวเซียงไม่พอใจอย่างหนัก แอบส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามให้น้องรอง แล้วอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่หลิวฉีซื่อสักที
มันจะเป็เพราะอะไรได้! ก็เพราะย่าลำเอียง คีบกับข้าวให้แต่อาเล็ก ลูกๆ หลานๆ เต็มบ้าน ไม่หัดคีบให้ลูกหลานคนอื่นบ้าง
หลิวฉีซื่อไม่ทันสังเกตเห็นท่าทีของหลิวชิวเซียง นางยังคิดในใจว่า จะหาข้ออ้างอย่างไรให้หลิวซุนซื่ออยู่ต่อได้
ส่วนหลิวซุนซื่อไม่มีอารมณ์กินข้าว หยิบตะเกียบอยู่สักพัก แล้วคนโจ๊กมันเทศในถ้วยไปมา คนในบ้านที่ได้กินข้าวขาวมีเพียงหลิวต้าฝู หลิวฉีซื่อและหลิวเสี่ยวหลัน
ขณะที่หลิวฉีซื่อยื่นตะเกียบไปคีบ สายตาก็เลื่อนมาอยู่ที่หลิวซุนซื่อพอดี เห็นนางถือตะเกียบเขี่ยโจ๊กมันเทศ แล้วนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของหลิวเต้าเซียง แววตาฉายความชิงชัง ตอนนั้นทำไมสายตาของตนช่างไม่เอาไหน เหตุใดจึงได้สะใภ้ที่ขี้คร้านทำมาหากินเช่นนี้ มีแต่นางแพศยาหน้าไม่อายทั้งนั้น
นางลืมอารมณ์ตอนที่เลือกหลิวซุนซื่อในตอนนั้น เพราะเห็นแก่ที่นาสี่แปลงของหลิวซุนซื่อ
“เ้าสาม ปุ๋ยที่ลงดินเป็อย่างไรบ้าง?” เมื่อเห็นหลิวซุนซื่อแล้วขัดหูขัดตา หลิวฉีซื่อจึงเบนไปถามเื่สวนกับหลิวซานกุ้ยแทน
หลิวซานกุ้ยตอบอย่างตรงไปตรงมาและบอกว่าปีนี้ซื้อมูลคนอีกหลายคันรถในตำบล เื่สวนไม่ต้องเป็กังวล ปีนี้ใยลินินคงมีให้เก็บเกี่ยวมาก
หลิวฉีซื่อคงได้ผลประโยชน์จากข้างนอกมาไม่เลวในวันนี้ บวกกับสอนการเย็บปักถักร้อยค่อนข้างเหนื่อยแม้จะมีหลิวเต้าเซียงที่คอยยั่วยุอย่างลับๆ แต่นางยังไม่วางแผนจะเปิดโปงหลิวซุนซื่อ เพียงแต่สายตาที่มองหลิวซุนซื่อนั้นเปลี่ยนไป
นางไม่อยากทรมานตนเอง ส่วนหลิวซุนซื่อนั้นสติสัมปชัญญะครบครัน ตอนบ่ายก็สั่งสมพลังงานไว้มากพอ คราวนี้จึงเป็จังหวะเหมาะที่จะเปิดศึก
“ท่านแม่ ข้าไม่้ากินสิ่งนี้ ข้า้ากินข้าวหอม!” หลิวจือเป่ามองดูข้าวมันเทศตรงหน้า วางตะเกียบลง ผลักชามออก แล้วเบะปากพร้อมกับทำสายตาน้อยใจ
หลิวซุนซื่อเอ็นดูลูกของตน แต่ก็ไม่อาจบอกว่าหลิวฉีซื่อนั้นตระหนี่เกินไป จึงเอ่ยตอบ “เป่าเอ๋อร์คนเก่ง รอกลับไปยังตำบล เราจะให้พ่อทำของอร่อยให้กินนะ”
“ย่าไม่รักข้า รักแต่อาเล็ก ยายต่างหากที่รักข้า ข้าจะไปกินข้าวบ้านยาย” เ้าก้อนเนื้อที่อ้วนพี บ่นความเบื่อหน่ายที่ไม่มีเนื้อให้กิน
เขาเกลียดการมาบ้านชนบท ทุกครั้งที่มาแล้วกลับไปในตำบล ไม่เพียงแค่ใบหน้าที่ซูบตอบ น้ำหนักก็ลงไปหลายกิโลกรัม
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นถึงกับควันออกหู นางมั่นใจว่าหลิวซุนซื่อเป็คนแอบไปสอนลับหลัง จงใจทำให้นางขายหน้าต่อหน้าทั้งครอบครัว ความน่าเกรงขามของนางถูกท้าทายอีกหน พลันวางตะเกียบลงบนโต๊ะแล้วปริปากด่า “พูดพล่ามอะไรกัน มีให้กินก็ควรพอใจได้แล้ว ยังจะมาเลือกนั่นนี่ อะไรดีๆ ไม่เคยหัด หัดแต่อะไรที่มันเลวทราม”
นางด่าด้วยความสาแก่ใจ แต่หลิวซุนซื่อนั้นไม่พอใจ การด่าหลิวจือเป่า เทียบเท่ากับควักหัวใจปอดตับไตของนาง จึงเกิดความไม่พอใจทันใด ปั้นสีหน้าบึ้งตึงแล้วตอบ “ท่านแม่ นี่ท่านพูดอะไรออกมา อาเล็กไม่ได้กินดีกว่าเป่าเอ๋อร์หรือ? ข้าว่า ท่านแม่เองก็เหลือเกิน ถึงอย่างไรอาเล็กก็ต้องแต่งออกเรือนไป เป๋าเอ๋อร์น่ะต่างกัน เขาเป็สายใยของตระกูลหลิว ต่อไปหากเกิดร่ำเรียนได้ดี เป็ขุนนาง ก็ต้องให้ความเคารพแก่ท่านแม่ที่เป็บรรพบุรุษไม่ใช่หรือ?”
หลิวเสี่ยวหลันที่กำลังกัดไส้ตากแห้งอย่างอิ่มเอม เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่พอใจขึ้นทันใด แล้วเอ่ยถามกลับ “พี่สะใภ้รองหมายความเช่นไร แม้ข้าจะออกเรือนไป แต่ข้าเป็บุตรสาวแท้ๆ ของพ่อกับแม่ หากข้าได้ดี แล้วจะไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ได้อย่างไร พี่สะใภ้ต่างหาก สมบัติบ้านตนเองกลับแอบซ่อนไว้ กลัวว่าพ่อแม่จะรู้ ใครจะรู้ว่าพี่สะใภ้แอบซ่อนเงินส่วนตัวไว้เท่าใด”
หลิวซุนซื่อกำลังเครียดว่าไม่รู้จะเข้าเื่อย่างไร คำพูดของหลิวเสี่ยวหลันจึงเป็สะพานเชื่อมได้เป็อย่างดีโดยไม่ต้องสงสัย พร้อมด้วยใบหน้าเดือดดาลจึงตอบกลับ “อาเล็ก ข้าพูดผิดหรือ? อย่าว่าแต่กับข้าวเย็นนี้เลย แม้กระทั่งมื้อเที่ยง เป่าเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้าก็ต้องทนหิว เ้ายังไม่มีใจแบ่งไส้ตากแห้งให้เขาได้ลิ้มรสแม้เพียงสักชิ้น”
หลิวเสี่ยวหลันโมโหกัดฟันกรอด แต่นางโต้ตอบกลับไม่ไหว เพราะหลิวซุนซื่อพูดความจริง
นางซุกศีรษะเข้าหาอ้อมกอดของหลิวฉีซื่อ แล้วออดอ้อน พลางสะอื้นไห้ “ท่านแม่ พี่สะใภ้รังแกข้า”
หลิวฉีซื่อพอใจกับคำพูดออดอ้อนนี้ของหลิวเสี่ยวหลัน และด้วยเหตุนี้จึงยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจหลิวซุนซื่อ เพียงแต่ก็รู้สึกว่าคำพูดของหลิวซุนซื่อมีเหตุผล เพราะหลิวจือเป่าก็เป็หลานแท้ๆ ของตน
นางหันไปหาจางกุ้ยฮัวซึ่งกำลังนั่งเงียบๆ ประหนึ่งเสาข้างกำแพง “พรุ่งนี้ทำไข่ตุ๋นเพิ่มสองใบ ให้เป่าเอ๋อร์กับหลันเอ๋อร์บำรุงร่างกายเสียหน่อย”
จางกุ้ยฮัวตอบรับ แต่ไม่ได้ดิ้นรนเพื่อให้บุตรสาวตนเองด้วย หนึ่งคือนางรู้ดีว่า หลิวฉีซื่อไม่มีทางยินยอม สองคือบ้านนางเพิ่มมื้อดึกโดยการทำน้ำแกงไข่ ไข่ตุ๋น หรือไม่ก็ไข่ดาวน้ำอยู่ทุกคืน
เมื่อนึกถึงเื่นี้ มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย บุตรสาวคนรองของนางพูดถูก นับประสาอะไรกับไข่ใบเดียว บ้านนางกินไข่จนจะมีกลิ่นมูลไก่แล้ว
ส่วนหลิวซานกุ้ยที่อยู่อีกฟากถึงกับหัวใจเยือกเย็นราวกับดำดิ่งสู่น้ำลึก นี่คือผลจากการที่เขากตัญญูแบบโง่เขลาต่อแม่ตนเองเป็เวลาหลายสิบปี เพียงแค่ไข่ตุ๋นไม่กี่ใบ กลับไม่มีแบ่งมาถึงบุตรสาวของตน เขารู้สึกโชคดีที่บุตรสาวคนรองนั้นฉลาดหลักแหลม ไม่ได้เอาไข่ของครอบครัวตนเองออกมา พลันรู้สึกว่าภาพตรงนี้ช่างเป็อะไรที่น่าหัวเราะเยาะ
เพียงแต่ความไม่ถูกต้องมากมายของบิดามารดา ก็ไม่ใช่อะไรที่บุตรชายอย่างเขาจะพูดได้
เขาแอบมองไปที่หลิวฉีซื่อ และแน่นอน นางไม่ได้คิดจะทำไข่ตุ๋นให้หลิวเต้าเซียงหรือหลิวชิวเซียงแม้แต่ถ้วยเดียว
แล้วเห็นเด็กสาวทั้งสองนั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างนิ่งสงบ คงเพราะพวกนางหาได้ใส่ใจกับเพียงแค่ไข่ตุ๋น
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฝั่งของหลิวซานกุ้ย หลิวซุนซื่อก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่อยู่เหนือความคาดหมายในส่วนของหลิวฉีซื่อ จึงพลิกมุมคิด คงเพราะว่ายังไม่ตัดใจจากคุณชายที่อยู่ห้องทิศตะวันตกสินะ
“ท่านแม่ ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ท่านได้ลูกศิษย์เพิ่มอีกหนึ่งคนหรือ?”
เปลือกตาของหลิวฉีซื่อไม่แม้แต่จะกระดิก เพียงแต่ตอบรับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
นางรู้ว่าหลิวซุนซื่อคิดจะทำอะไร เพียงแต่หลานสาวในบ้านมีมากมาย ต่อไปต้องแต่งไปบ้านอื่นก็กลายเป็คนแซ่อื่น นางไม่มีทางถ่ายทอดฝีมือให้แก่พวกนางแน่ เพราะถึงอย่างไร ในตำบลเหลียนซาน นางก็ต้องอาศัยสิ่งนี้ในการทำมาหากิน หากสอนศิษย์จนเป็งาน คนเป็อาจารย์ย่อมต้องอดตาย
“งานปักของจูเอ๋อร์ ข้าว่าก็ไม่เลว เพียงแต่ ที่นางเรียนมาไม่ใช่แบบเดียวกับข้า อีกอย่างหลานสาวบ้านข้าไม่ได้ทำมาหากินจากสิ่งนี้ เ้าควรสอนงานบ้านงานเรือนจะดีกว่า อีกอย่าง ข้าไม่ได้มีกำลังมากมายเช่นนั้น”
นี่เป็คําพูดที่ฟังดูดีแต่หาได้เป็เช่นนั้นไม่ หลิวซุนซื่อเบะปากไม่พอใจ ใครเล่าจะรู้เื่อนาคต หลิวจูเอ๋อร์เรียนการเย็บปัก ไม่ว่าบ้านสามีจะขึ้นหรือลง ในตอนท้ายนางอาจอาศัยการเย็บปักเพื่อดำรงชีพต่อไปก็เป็ได้
“ท่านแม่ ไม่ได้้าให้แม่จับมือสอน ขอเพียงแค่ท่านแม่มีเวลาก็ชี้แนะจูเอ๋อร์บ้าง งานปักของนางดีเยี่ยม ท่านแม่เองก็จะได้หน้าไปด้วย ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าจูเอ๋อร์คือหลานสาวแท้ๆ ของแม่”
คิ้วของหลิวฉีซื่อขมวดเล็กน้อย นี่คือใบหน้าที่กำลังจะนำไปสู่ความโมโห
“ไม่ใช่ว่าเ้าไม่รู้ ในบ้านมีค่าใช้จ่ายมากมาย อาสี่กับอาเล็กก็ยังไม่ได้วางเื่งานแต่งอย่างมั่นคง การกินอยู่ของทั้งครอบครัวตกอยู่ที่คนแก่อย่างเราสองคน”
หลิวซุนซื่อได้ยินถ้อยคํานั้น ลึกลงไปในดวงตานั้นฉายแววได้การ สิ่งที่นางรอก็คือคำพูดนี้ของหลิวฉีซื่อ
“ท่านแม่ ท่านทํางานหนักและประสบผลสําเร็จอย่างมาก เราทุกคนที่เป็บุตรหลานต่างก็ซาบซึ้งในใจ เพียงแต่ แม่ สะใภ้ไม่กระจ่างอยู่หนึ่งเื่!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางหยุดชะงักเล็กน้อย แอบมองไปทางหลิวฉีซื่อที่กำลังใช้สายตาถมึงทึงจ้องตนเอง
หลิวซุนซื่อเข้าใจทันทีว่า หลิวฉีซื่อกำลังสื่อให้นางอย่าก่อเื่
นางไม่ก่อเื่? ก็เท่ากับปล่อยผลประโยชน์ให้กับอาสี่และอาเล็กเปล่าๆ ไม่ใช่หรือ?
เมื่อเห็นว่าหลิวฉีซื่อไม่ได้ถามต่อ หลิวซุนซื่อก็ไม่ใส่ใจ ส่งสายตาให้หลิวจูเอ๋อร์
หลิวจูเอ๋อร์พยักหน้ารับเล็กน้อย หันศีรษะไปทางหลิวเสี่ยวหลันแล้วเอ่ยบางอย่าง
เดิมทีหลิวเสี่ยวหลันได้ยินคำพูดของหลิวฉีซื่อก็ดีใจยิ่งนัก ครั้นเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวจูเอ๋อร์ ก็แทบจะไม่ทันคิดแล้วหันไปบ่นกับหลิวฉีซื่อ “ท่านแม่ ร้านเครื่องเงินในอำเภอมีสินค้าออกใหม่ ข้า้าปิ่นปักผม ท่านแม่!”
เสียงของนางอ่อนหวานนัก หางเสียงก็สูงขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเผชิญหน้ากับการออดอ้อนของบุตรสาว หลิวฉีซื่อเองก็ชอบใจ เอื้อมมือออกไปลูบหลังของนางเบาๆ แล้วกล่าว “หลันเอ๋อร์คนเก่ง รอครึ่งปีหลังมีคนเลี้ยงหมูชิวเซียง แม่จะเลี้ยงเพิ่มสองตัว รอขายได้่ตรุษจีนปีหน้า ก็จะซื้อให้เ้าสักสองแบบ”
-----