ชั้นหนังสือสูง กลิ่นหมึกคละคลุ้ง
กลิ่นหอมของกระดาษใหม่อบอวลรวมกัน ระหว่างชั้นหนังสือทั้งสอง มีเด็กชายและเด็กหญิงกำลังยืนประจันหน้ากัน
รูปร่างของทั้งสองไม่ได้สูงโปร่ง
คนหนึ่งเป็เณรน้อย ศีรษะล้านไร้เส้นผมนั้นสะท้อนแวววาว ปรากฏรอยแผลเป็ อีกคนหนึ่งเป็เด็กหญิง ผมสั้นๆ นั้นชี้โด่ชี้เด่ไปคนละทิศละทาง
“ข้ารู้ความลับของท่าน ท่านรู้ความลับของข้า ความลับระหว่างเราทั้งสองไม่ว่าใครก็ห้ามแพร่งพรายออกไป” เฉินโย่วชี้ไปยังดวงตาของเณรน้อยแล้วกล่าวขึ้น
เณรน้อยพยักหน้าเบาๆ
ทว่าความสงสัยของเขาก็ยังไม่คลาย จึงยกมือขึ้นลูบศีรษะล้านๆ ของตนแล้วกล่าวขึ้น “หากเจ็บเช่นนั้น ไฉนจึงยังกินจนอ้วนได้เล่า”
เฉินโย่วเมื่อได้ยินเณรน้อยกล่าวว่าตนอ้วนก็ไม่ชอบใจนัก ทว่าก็ยังคงอธิบายให้เขาฟัง “ข้ากินเก่ง ทั้งยังกินได้มาก พออ้วนเข้า พี่ชายกับน้าสาวก็ดีใจนัก”
“โยมมีนามว่าอะไร” เณรน้อยเอ่ยถามขึ้น
“ข้ามีนามว่าเฉินโย่ว ลู่เฉินโย่ว พี่ชายข้าบอกว่าข้าเป็เด็กที่ได้รับการคุ้มครองจากเทพยดา” เฉินโย่วยามกล่าวไปก็ยื่นเมล็ดอ่อนของผลไม้ให้
“เ้าเมล็ดนี้กินแล้วจะฉลาด ท่านเล่ามีนามว่าอะไร”
เณรน้อยรับเมล็ดอ่อนใส่เข้าปาก กินจนแหลกอยู่พักหนึ่งก็ไม่รู้สึกถึงรสหวานอันใด ทว่ากลับมีกลิ่นหอมซ่านออกมาจนในปากนั้นอวลไปด้วยกลิ่นหอม
“ฉายานามอาตมาคือสือชี ส่วนนามเดิมที่ครอบครัวตั้งให้นั้น ท่านอาจารย์ไม่เคยบอกว่ามีนามว่าอย่างไร ทว่าพี่ชายของโยมนั้นโกหกโยมแล้ว ปวงเทพมิได้คุ้มครองใครง่ายดายหรอก” เณรน้อยกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง
เฉินโย่วไม่ชอบยามใครกล่าวว่าพี่ชายโกหกตนนัก
นางไม่เบิกบานใจเลย
“พี่ชายไม่มีทางโกหกข้า”
นางไม่อยากสนทนากับเณรน้อยแล้ว เพิ่งสนทนากันได้ครู่เดียว เขากลับทำนางอารมณ์เสียตั้งหลายครั้ง
ช่างเป็เณรน้อยที่น่ารังเกียจนัก
นางเห็นว่ายามพี่ชายให้คนทำอะไรให้ เขาก็จะมอบเงินให้ นางคิดไปคิดมา จึงยื่นลูกปัดเม็ดสีฟ้าอ่อนให้เณรน้อย
“ให้ท่าน แต่ท่านต้องช่วยข้ารักษาความลับ”
แม้เณรน้อยจะกล่าวว่าเขานั้นไม่มีทางเล่าเื่นี้ให้ใครฟัง ทว่าเขาก็ยังยื่นมือมารับลูกปัดไปอยู่ดี
“อาตมาจะช่วยรักษาความลับให้ กระทั่งกับท่านอาจารย์ อาตมาก็จะไม่เล่า โยมวางใจเถิด”
เขาเองก็อยากจะหาของมามอบให้เด็กหญิงตรงหน้าตนเช่นกัน ทว่าบนร่างตนนั้นเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเลย ไม่มีทั้งของกิน ลูกปัด และเงิน
มีเพียงเชือกสีแดงที่ห้อยคอไว้
เขาเองก็ไม่อยากรับของจากเด็กหญิงมาเปล่าๆ ทั้งลูกปัดเม็ดสีฟ้านี้ก็ช่างงดงามเหลือเกิน เขาจึงปลดเชือกสีแดงบนคอ ยกให้นางเช่นกัน
“สิ่งนี้ให้โยม”
เฉินโย่วมองแล้วก็เห็นเป็หินสีเขียวดูเย็นตาก้อนหนึ่ง
ดูแล้วก็สวยดี
เมื่อนางรับมาก็สวมใส่บนคอตนทันที
ทว่านางนั้นอ้วนกว่าเณรน้อย ศีรษะก็ใหญ่ เชือกก็สั้นนัก ยามจะใส่ก็พาลรั้งอยู่บนใบหน้าของนาง
เณรน้อยเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกออกมา เขาจึงยื่นมือออกไปช่วยดึงเชือกให้ค่อยๆ เลื่อนลงมาด้านล่าง
เมื่อััโดนหน้าของนางก็รู้สึกได้ถึงความร้อน
เขามองสร้อยที่ตนเคยสวมใส่ไปอยู่บนคอของเด็กอีกคน ในใจก็เกิดรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา
ท่านอาจารย์ไม่เคยกล่าวอะไร เห็นทีมอบของให้ผู้อื่นเช่นนี้ก็คงไม่เป็ไรกระมัง
เณรน้อยประนมมือทั้งสองขึ้น ก่อนกล่าวลาเด็กหญิงตรงหน้า
ท่านอาจารย์ยังคงอ่านตำราอยู่ เพียงแค่เปลี่ยนเป็อีกเล่มหนึ่ง เขาจึงเลือกตำราขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วลองตั้งใจอ่านเช่นกัน
สีหน้าของเณรน้อยดูแล้วช่างคล้ายกับอาจารย์ของตนนัก ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าจริงจังนั้นยังคงแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
แสงในร้านหนังสือสว่างนัก ทั้งยังมีหน้าต่างสูงอีกมากมาย
บัดนี้แสงตะวันค่อยๆ สาดส่องลงมาบนเล่มตำรา รวมทั้งอาบร่างทั้งสองที่กำลังยืนอ่านตำราอยู่ หน้ากระดาษยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหมึก ยามอยู่ใต้แสงตะวันจึงทำให้มันยิ่งดูงดงามเป็พิเศษ ราวกับทุกตัวอักษรนั้นกำลังร่ายรำ
ภิกษุชรายังคงตกอยู่ในภวังค์
เณรน้อยเองก็อ่านได้รวดเร็วเช่นกัน ด้วยยามที่อยู่บนูเาหิมะนั้น การอ่านตำรานับเป็เื่ยากเข็ญสำหรับเขา ตำราไม้ไผ่ช่างหนักอึ้งราวกับหิน ลำพังเขาก็แทบจะยกมันขึ้นมาไม่ไหว ยามอ่านทุกครั้งนั้นเขารู้สึกอยากจะนอนราบอ่านกับพื้นเสียเหลือเกิน ทว่าหากถูกท่านอาจารย์พบเข้า เขาคงได้ก้นลายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะยามอ่านตำรานั้นสิ่งที่ท่านอาจารย์ไม่อนุญาตอย่างเด็ดขาดคือท่าทางที่ไม่สำรวม
มือน้อยๆ ของเขาจึงจำต้องยกตำราไม้ไผ่หนักๆ พวกนั้น สำหรับเขาแล้วการอ่านตำราพวกนั้นเพียงหนึ่งวันยังเหนื่อยยิ่งกว่าการทำงานหนักตลอดทั้งวันอีก
เมื่อเทียบกันแล้วตำราหนังแพะนั้นเบากว่าตำราไม้ไผ่มากนัก เพียงแต่หนังแพะใน่แรกๆ นั้นส่งกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนเกินทน
กลิ่นแปลกๆ ของมันยามอ่านตำรานั้น ชวนให้สมองมึนงงไปหมด
ทว่าตำราในมือเขานี้ช่างให้ความรู้สึกดีกว่ากันมากโข ทั้งเบาและไม่มีกลิ่นประหลาด กลับกันยังมีกลิ่นหอมน่าดมโชยมา
เณรน้อยจึงตั้งใจอ่านตำราในมือตน
เพียงแต่เมื่ออ่านไปได้ครู่เดียวก็ฟุ้งซ่านขึ้นมา ด้วยเพราะเด็กหญิงผมชี้นั้นเดินผ่านมา
แม้ว่าสายตาเขาจะยังจับจ้องไปที่ตำรา และไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่เขาก็ยังคงััได้
ความจริงแล้วก็เพราะเด็กหญิงนั้นตัวหอมนัก อืม ตัวนางหอมอวลไปด้วยกลิ่นอาหาร น่าจะเป็เพราะกระเป๋าของนางอัดแน่นไปด้วยอาหารอร่อยมากมาย
เณรน้อยจึงค่อยๆ ลอบเงยหน้าขึ้นมา เป็จริงดังคาด เด็กหญิงยืนอยู่ไม่ไกลจากเขานัก
นางไม่ได้กำลังอ่านอันใดอยู่ แต่กำลังเขย่งเอื้อมไปหยิบตำราบนชั้นลงมา ทว่าตัวนางยังสูงไม่พอ ขาดอีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
เณรน้อยเห็นดังนั้นจึงวางตำราลง แล้วแอบย่องหนีไปอีกครั้ง
“อาตมาจะช่วยโยมเอง”
เฉินโย่วหันไปมองเณรน้อยที่รูปร่างสูงพอกับตน ในใจก็พลันเหยียดหยาม
“ท่านไม่ได้สูงกว่าข้าสักหน่อย”
เมื่อเณรน้อยลองวัดดูก็พบว่าเขากับนางนั้นสูงไล่เลี่ยกันจริงๆ เพียงแต่บนศีรษะนางนั้นมีจุกผมชี้อยู่ จึงทำให้ดูสูงกว่าตน
หากเขามีผม เขากับนางก็คงจะสูงพอๆ กัน
เณรน้อยนั้นได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ได้นึกโกรธ เพียงหันกายไปยกเก้าอี้มาทางเด็กหญิงตัวหนึ่ง
“เพียงแค่ขึ้นไปยืนบนนี้ก็ใช้ได้แล้ว” เณรน้อยกล่าวขึ้นพร้อมใบหน้ายิ้มแป้น
บนูเาไม่มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเฉินโย่ว ยามที่ได้พบเณรน้อยครั้งแรกนางจึงรู้สึกสนิทสนมขึ้นมา แม้ว่าเณรน้อยมักจะชอบพูดจาให้นางรู้สึกไม่เบิกบานใจ ทว่ายามกระทำการใดเขาก็นับว่าเป็คนเก่งทีเดียว
เมื่อเฉินโย่วขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ เณรน้อยก็เป็กังวลว่านางจะยืนไม่มั่นคง จึงขึ้นไปยืนด้วยเช่นกัน
ที่แท้ชั้นบนนี้ก็มีหนังสือภาพนี่เอง
ยามอยู่บนูเาหิมะเณรน้อยก็เคยเห็นหนังสือภาพมาบ้าง ทว่าหนังสือเ่าั้ล้วนเป็หนังสือบทกวี
ทุกภาพที่ปรากฏด้านหลังจะมีบทกลอนยาวยืดเขียนไว้ ทั้งบทกลอนเหล่านี้เขาล้วนต้องท่องจำให้ได้ทั้งหมด
ทว่าหนังสือภาพตรงหน้าเขานี้เหมือนจะเป็หนังสือรวมเคล็ดลับวรยุทธ์ล้ำค่า
บนหน้าปกยังมีภาพวาดใบหน้าหมดจดของชายหนุ่มและหญิงสาววาดไว้
ทว่าความหมายบนปกหนังสือนั้นเขากลับไม่ค่อยเข้าใจนัก เล่มแรกคือ ‘บัณฑิตและแม่นางสี่สิบแปดกระบวนท่า’ หรือ ‘เจ็ดสิบสองศิลปะในห้องหอ’ หรือ ‘สิบตำรับกำราบแม่ทัพ’
“โยมอยากได้หนังสือพวกนี้ไปฝึกวรยุทธ์หรือ”
“ข้าไม่ได้อยากฝึกวรยุทธ์ ข้าเพียงอยากซื้อตำราสักเล่มไปมอบให้ท่านอาจารย์ข้า ท่านอาจารย์ชอบเื่การศึกษา เขากล่าวว่าตำรามากมายล้วนอ่านจนหมดแล้ว เช่นนี้เขาย่อมจะต้องชอบหนังสือภาพอย่างแน่นอน”
“โอ้ เ้ามีอาจารย์ด้วยหรือ ข้าไม่มีท่านอาจารย์แบบเ้า มีแต่ท่านอาจารย์ที่เป็ภิกษุ ทั้งยังมีศิษย์พี่อีกมากมาย แล้วยังมีท่านอาจารย์อา”
เณรน้อยระหว่างกำลังสนทนาก็หยิบหนังสือภาพเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดดู
ผลลัพธ์คือเพียงแค่เปิดไปหน้าแรกก็เห็นคนสองคนที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ห่มกายกำลังต่อสู้กัน
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเณรน้อยพลันแดงซ่าน จากนั้นจึงรีบปิดหนังสือทันที
เมื่อเห็นว่าเฉินโย่วกำลังจะเปิดหนังสือ เขาก็พลันยื่นมือไปคว้ามือนางเอาไว้ไม่ให้เปิดดู
มืออ้วนๆ ของนางจึงถูกเขากดเอาไว้
“มีอะไรหรือ”
“โยมดูไม่ได้หรอก มันเป็ภาพมนุษย์กำลังก่อกรรมทำชั่วกันอยู่ เชื่ออาตมาเถิด อาตมาไม่ได้โกหกโยมอย่างแน่นอน”
เฉินโย่วพลันหน้านิ่วคิ้วขมวด นางเห็นว่าด้านข้างนั้นมีคำเตือนเขียนไว้ว่าไม่อนุญาตให้สตรีที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น และบุรุษที่ยังไม่ถึงวัยหนุ่มอ่าน เพราะเหตุนี้นางจึงได้คิดซื้อหนังสือเหล่านี้ให้อาจารย์
ท่านอาจารย์ของนางนับว่าเป็หนุ่มแล้ว
แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเณรน้อย นางก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ถึงแม้ว่าปกตินั้นนางจะแสนซนจนชวนให้ปวดหัวก็ตาม ทว่าข้อดีข้อหนึ่งของนางก็คือนางเป็เด็กที่เชื่อฟังคำสั่งสอนนัก
นางเห็นว่าเณรน้อยมีท่าทางเคร่งเครียดถึงเพียงนี้ แสดงว่าย่อมต้องมีปัญหาจริงๆ
“อาตมาช่วยโยมหาตำราให้ท่านอาจารย์ของโยมดีกว่า”
เณรน้อยก้าวลงจากเก้าอี้ก่อน แล้วจึงประคองเฉินโย่วให้ตามลงมา
จากนั้นเณรน้อยจึงย้ายเก้าอี้ไปวางอีกด้านหนึ่ง ประจวบเหมาะกับตอนที่เขาเหลือบไปเห็นคัมภีร์ซานไห่จิง
เณรน้อยจึงใช้ชายอาภรณ์ยาวที่ทั้งกว้างทั้งใหญ่ของตนเช็ดเก้าอี้นั้นสองสามที จากนั้นจึงนั่งเคียงข้างเฉินโย่วแล้วอ่านมันพร้อมกัน
เณรน้อยเพิ่งจะเคยได้อ่านเป็ครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นตะลึงยิ่งนัก
เด็กทั้งสองนั่งอ่านไปพร้อมกับกินของว่างไป
“เ้านกตัวนี้อาตมาเคยเห็น” เณรน้อยชี้ไปที่เ้านกั์ในหนังสือ
เฉินโย่วจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “เคยเห็นแล้วอย่างไรเล่า บ้านข้าก็เลี้ยงนกแบบนี้ไว้ตัวหนึ่ง ทั้งข้ายังเคยต่อยตีกับมันด้วย”
เณรน้อยหันหน้ามองเด็กหญิงผมจุกข้างตน จากนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ ในใจไม่ได้คิดว่าเด็กสาวกำลังคุยโม้โอ้อวดแม้แต่น้อย เพราะเมื่อครู่เขาเพิ่งจะได้เห็นว่าร่างวิหคของเด็กหญิงนั้นแท้จริงตัวใหญ่ยิ่งกว่าเ้าอินทรีศักดิ์สิทธิ์มากนัก
เวลาล่วงเลยราวกับสายน้ำ เพียงแต่บัดนี้สายน้ำนั้นช่างไหลเอื่อยเฉื่อยนัก ทั้งยังเต็มไปด้วยความตั้งใจ
“สือชี เมื่อท่านโตแล้วอยากทำอะไร” เฉินโย่วที่ยังมีลูกพลับเต็มปากถามขึ้นด้วยเสียงอู้อี้
“อาตมาอยากโปรดสัตว์ทั้งปวง” เณรน้อยตอบขึ้นอย่างขึงขัง
“แล้วสิ่งใดคือการโปรดสัตว์ทั้งปวงเล่า” เฉินโย่วถามขึ้นอย่างสงสัย
“เอ่อ ก็คือ้าช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์อย่างไรเล่า แล้วโยมอยากทำสิ่งใด”
“ข้าโตแล้วก็เป็สรรพสัตว์เสียก็สิ้นเื่!”
เณรน้อยรู้สึกว่าเื่นี้ออกจะทะแม่งๆ ทว่าก็รู้สึกว่าช่างสมบูรณ์แบบ จึงได้แต่พยักหน้าแรงๆ เป็การตกลง