กล่าวถึงโลกเมื่อ2000ปีก่อนของอารยธรรมจีน เทพเซียน ภูตผี ปีศาจ เื่ปรัมปรา สิ่งเหล่านี้เปรียบดั่งแก่นกระดูกที่สลักความเป็ไปไม่มีวันจาง สืบทอดอยู่ในสายเื มันหล่อหลอมผู้คนให้เป็ปึกแผ่น แม้จางจื่ออี๋จะเกิดมาในยุคสมัยที่เื่ราวเหล่านี้กลายเป็เื่งมงาย หรือเื่เล่าหลอกเด็ก แต่ในส่วนลึกๆ ที่กักเก็บความทรงจำในวัยเด็กยากจะลบเลือน คอยย้ำเตือนนางอยู่เสมอว่าผีมีอยู่จริง!
พระเ้าทรงรับรู้ว่านางไม่อาจสลัดความกลัวที่ฝักอยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกไปได้ แต่ว่าโชคดีที่นางไม่ได้กลัวผีจนขึ้นสมอง ยิ่งการเดินทางข้ามเวลามาอยู่ในยุคสมัยที่ไม่ว่าจะซ้ำขวา หน้าหลัง เหนือหัวหรือใต้ฝ่าเท้า ต่างก็มีสิ่งลี้ลับเกินจินตนาการอยู่เต็มไปหมด
แค่คิดก็ขนลุกเกรียวทั่วร่าง
“ท่านผู้นำกล่าวว่า อุดมการณ์อันเที่ยงตรงต้องยืนหยัดโดยไม่หวั่นเกรง จงก้าวเท้าอย่างมั่นคง! สิ่งที่มองไม่เห็นล้วนเป็จิตปรุงแต่ง! อย่าให้จิตใจที่ไม่มั่นคงขัดขวางอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่!”
“ท่านผู้นำกล่าวว่า ผู้จะทำเื่ที่ยิ่งใหญ่ต้องเริ่มจากการก้าวเท่าหนึ่งก้าวเสมอ เมื่อมีจุดเริ่มต้นย่อมมองเห็นปลายทาง”
ท่ามกลางหุบเขาลำเนาไพรอันไร้แสงวาทะปลุกจากท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ล่องลอยไปตามสายลม ผู้ที่เกิดใต้ธงแดงย่อมไม่หวั่นเกรง ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเพียงใดก็ตาม นี่คือหนึ่งในวิธีกลบเกลื่อนความกลัวที่จางจื่ออี๋มักจะหยิบออกมาใช้อยู่บ่อยครั้ง มีครั้งหนึ่งที่อาจารย์เฒ่าที่นางให้ความเคารพล่วงรู้พฤติกรรมเช่นนี้ของนาง จำได้ว่าตอนนั้นตาเฒ่านั่นมองนางอย่างเหยียดๆ แค่นเสียงเย็นแล้วสะบัดก้นจากไปอย่างไม่ไว้หน้ากันสักนิดๆ แค่กลัวผีเองไม่รู้ว่าตาเฒ่าจะดูถูกกันไปถึงไหน ทุกครั้งที่ดื่มจนเมาไม่วายจะยกเื่นี้ขึ้นมาตอกย้ำทุกครั้งไป
ความทรงจำอันล้ำค่าสลักลึกอยู่ในใจ ถึงแม้ว่าอาจารย์จะจากไปตอนนางอายุ30 นี่ก็ผ่านมานับ10ปี ความเศร้าโศกเลือนหายไปตามกาลเวลา หลงเหลือเพียง่เวลาดีๆ ที่มีร่วมกัน ชีวิตเด็กกำพร้าอย่างนางได้แต่แอบนับอาจารย์เป็คนในครอบครัวอยู่ในใจเงียบๆ ต่างก็เป็คนที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะมีหรือว่าอาจารย์จะไม่รับรู้ถึงความคิดของนาง คอยถามไถ่ความเป็อยู่ วันเทศกาลร่วมฉลองกันอย่างเรียบง่าย มีครั้งหนึ่งในวันเกิดครอบรอบ85ปีของท่าน ชายชราผมขาวโพลนนั่งเอนกายบนเก้าอี้บุนวมอยู่ตรงระเบียงบ้านในชนบทที่เป็บ้านเกิดของท่าน จางจื่ออี๋ยังจดจำบทสนทนาระหว่างทั้งสองได้ขึ้นใจ
‘เ้าเด็กหน้าเหม็น กลับมาจากนอกโลกคราวนี้ยังอยากจะไปอยู่อีกไหม’
‘ไม่ล่ะ 60เดือนไม่ใช่เดือนสองเดือนเสียเมื่อไหร่ หนูรู้สึกเต็มอิ่มว่าจะเกษียณมานอนตีพุงให้อาจารย์เลี้ยงไปจนตายเลยดีไหมฮ่าๆๆ’
‘เพ้ย! เป็สาวเป็นางพูดคำสองคำจะเกษียนอะไรกัน หาผู้ชายตาบอดสักคนมาแต่งงานคลอดหลานสักคนให้ฉันเลี้ยงเล่นๆ ไม่ได้รึ’
‘ผู้ชายตาบอดหรอ! ตาเฒ่าดูถูกกันเกินไปแล้ว อยากเลี้ยงหลานก็บอกมาดีๆ ทำไมต้องไล่ไปแต่งงานด้วยล่ะ ทุกวันนี้อยากมีลูกแค่เดินไปตึกซีในศูนย์วิจัยก็ใช้ได้แล้ว’ตึกซีในศูนย์วิจัยที่จางจื่ออี๋พูดถึงก็คือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเฉพาะทางด้านครอบครัวและผู้มีบุตรยาก รับฝากไข่บริจาคสเปิร์ม ทำเด็กหลอดแก้ว อุ้มบุญ ปรึกษาวางแผนครอบครัวและปัญหาผู้มีบุตรยาก
‘หึ!’ท่านอาจารย์ได้แต่แค่นเสียงเย็นแล้วหลับตาลง บ่งบอกว่าไม่้าถกเถียงในเื่ไร้สาระเหล่านี้
จางจื่ออี๋ยังจำความเงียบในขณะนั้นได้ขึ้นใจ เพราะความตระหนักรู้ที่มีมากกว่าคนทั่วไปเธอจึงรับรู้อยู่ในใจเงียบๆ ว่าวันเวลาแห่งการจากลากำลังจะมาถึง สัญญาณบางอย่างเมื่อรับรู้แล้วถึงภายนอกจะสงบนิ่งมากเพียงใดทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยความเ็ป ชีวิตเด็กกำพร้าที่โหยหาที่สุดคือครอบครัว ที่อาวรณ์ที่สุดคือการสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป ท่านอาจารย์จากไปอย่างสงบในเช้าวันหนึ่งหลังจากวันเกิดท่านหนึ่งเดือน วันนั้นคือวันที่จางจื่ออี๋รับรู้ว่าคนเราสามารถร้องไห้ราวจะขาดใจมันเป็ยังไง
“อาจารย์ท่านเห็นไหมอย่างน้อยตอนนี้ข้าก็มีครอบครัวเล็กๆ กับเขาแล้วนะ ชาตินี้ข้าสัญญาจะหาชายหนุ่มที่ดูเข้าทีมาแต่งงานด้วย จะใช้ชีวิตไร้ทุกข์ไร้กังวล ท่านคอยดูเถิด”
เสียงรีดหริ่งเรไรดังระงมลมพัดใบไม้ไหวเสียดสีสวบสาบ บรรยากาศยามค่ำคืนกลางป่าลึกผู้ใดว่าเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจกัน นั่นไม่ใช่ความจริงสักนิด จางจื่ออี๋ปรือตามด้วยความง่วงงุนหลังตื่นนอนเวลาสองชั่วยามหรือสี่ชั่วโมง เพียงพอสำหรับการนอนพักผ่อน นางหยิบกระบอกบรรจุน้ำที่ห้อยอยู่ข้างเอวขึ้นมาดื่ม รถชาติหวานและความเย็นฉ่ำดื่มดับกระหายทำให้สมองแจ่มใส รู้สึกว่าร่างกายตื่นตัวเหมือนโด๊บเครื่องดื่มชูกำลังไม่มีผิด คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าของที่มาจากธรรมชาติแท้ไร้สารเจือปนสรรพคุณย่อมล้ำค่า เมื่อดื่มน้ำจนพอใจนางก็แก้ปมเชือกที่ผูกตัวเองให้ติดกับต้นไม้ไว้ เราก็ไม่รู้ว่านอนเพลินจนสะดุ้งตกลงไปรึเปล่า ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ดีที่สุด ร่างผอมบางบิดตัวขับไล่หนอนี้เีอยู่หลายกระบวนท่ากว่าร่างกายที่แสนหย่อนยานจะกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อย
หนังงูสองผืนถูกนำออกมาผึ่งลมไว้บนกิ่งไม้ก็พอบอกได้ว่าแห้งในระดับหนึ่งล่ะนะ สัมภาระถูกจัดเก็บ เตรียมพร้อมออกเดินทางอย่างรวดเร็ว แป้งจี่สองแผ่นกับเนื้อแห่งหนึ่งชิ้นช่วยเติมกระเพาะที่ว่าเปล่าให้เต็มได้ สะพายตะกร้าขึ้นหลังเสร็จแล้วก็ปีนลงมาจากต้นไม้ด้วยความคล่องแคล่วสองเท้าแตะพื้นดินอย่างมั่นคง นางมองหาพื้นที่ทำธุระส่วนตัว ผ่านไปสักพักเสียงย่ำใบไม้แห้งเป็จังหวะกรอบแกรบมุ่งตรงไปทางทิศที่ดวงดาวส่องแสงสว่างที่สุดบนฟ้า ดาวเหนือย่อมนำทางไปทางทิศเหนือ ใช้หลักการง่ายๆ ดีกว่าเดินสะเปะสะปะ
เดิน เดิน เดิน
สองเท้าย่ำลงบนพื้นจังหวะหนักแน่น ด้วยพละกำลังของนางถ้ามีตัวอะไรนอนอยู่บนพื้นเจอฝ่าเท้านี้เข้าไปได้มีไส้แตกกันบ้างล่ะ ความมืดปกคลุมไปทุกหนแห่งแสงจันทร์อันน้อยนิดสาดส่องลงมาตรงช่องว่างระหว่างต้นไม้ สำหรับคนทั่วไปถ้าไม่มีคบเพลิงหรือตะเกียงนำทางย่อมจับทิศทางหรือเดินต่อไปไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้เป็ปัญหาสำหรับจางจื่ออี๋ ระดับการมองเห็นในความมืดของนางอยู่ในขั้นสูงเทียบกับสัตว์นักล่าที่ออกหากินยามค่ำคืนนับว่าสูสี
เมื่อมีภารกิจหากไร้ซึ่งความรอบครอบและความแม่นยำสูง อัตราความล้มเหลวย่อมสูงตามไปด้วย ต่อให้เป็ดวงดาวรกร้างมองไปทางใดมีแต่ความเวิ้งว้างในครรลองสายตา นั่นก็ไม่ทำให้นางหย่อนยานในระเบียบอันพึงปฏิบัติ ยิ่งระยะทางเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ความเป็ไปได้ที่จะพบเจอศัตรูมีสูงมาก จากที่สังเกตรอยเท้าบนพื้น แม้จะปนเปกับรอยเท้าสัตว์แต่ก็พอแยกออกว่ามีรอยเท่ามนุษย์ปะปนอยู่ในนั้น จางจื่ออี้คิดว่านี่พึ่งผ่านูเามาสองลูกก็พบร่องรอยคนให้เห็น
เกรงว่าที่นางคาดการณ์ไว้คงไม่เกินจริงหุบเขาอู่หลิงเป็สวนหลังบ้านของพวกมันจริงๆ แต่ว่าจะเป็กลุ่มคนที่นางคิดเอาไว้หรือไม่นั้น ยังต้องไปดูให้เห็นกับตาจึงจะหาข้อสรุปได้
สองวันต่อมาบนต้นไม้โบราณลำต้นหนาขนาดสิบคนโอบรอบ ที่เรียกต้นไม้ตนนี้ว่าต้นไม้โบราณเพราะมนต์ขลังที่แผ่กระจายออกมาจนััได้ กิ่งก้านสาขาทอดยาวคงจะซักหนึ่งลี้กว่าๆ เห็นจะได้ ความอลังการงานสร้างนี้บรรยายออกมาเป็คำพูดไม่ได้จริงๆ สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เื่ลี้ลับจับต้องไม่ได้เ่าั้ แต่เป็บรรดาผ้าสีมงคลเชือกถักมงคลกระดิ่งทองคำที่ถูกนำมาผูกและแขวนรอบลำต้นของต้นไม้ต้นนี้นี่สิ ในบรรดาเชือกมงคลกระดิ่งทองคำมีทั้งเก่าทั้งใหม่ แสดงให้เห็นว่าต้นไม้ต้นนี้คือศูนย์รวมจิติญญามีผู้คนแวะเวียนมากราบไหว้บูชาไม่ขาด
จางจื่ออี๋เป่าปากด้วยความโล่งอก นับว่าการเดินทางไม่เสียเที่ยว
คุ้มค่าแล้ว!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้