หลิวเปียวเป็ทายาทสายตรงของตระกูลหลิว คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดโดยแท้ ใช้ชีวิตสุขสบายมาตลอด ไหนเลยจะเคยได้รับความเ็ปเช่นนี้ อีกทั้งไม่เคยต้องได้รับความอับอายขายหน้าเช่นนี้มาก่อน หลังถูกโบยยี่สิบครั้ง เ้าหน้าที่ก็หยุดโบย แต่ทว่ามันกลับยิ่งปลุกเร้าความหยิ่งทะนงในตัวของหลิวเปียว “แน่จริงก็โบยข้าอีกสิ! ตีเลย พวกเ้าตีนายน้อยจนตาย ดูสิว่าพวกเ้าจะแก้ตัวอย่างไร! นายอำเภอซานหยางอะไรกัน ก็แค่ลูกหลานคนชั้นต่ำ! แน่จริงก็โบยข้าให้ตายไปเลย!”
กล้าคุมตัวเขามา แถมยังกล้าโบยเขาอีก เอาสิ! กล้าโบยก็โบยเลย เ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่โบยทั้งสองรีบก้มหน้าเริ่มหวั่นใจ ในขณะที่นายอำเภอซานหยางยังคงนั่งนิ่ง “ทำตามความประสงค์ของเขา โบยต่อไป”
“เจิ้งก่วงอี้” นายอำเภอซานหยางเป็คนเ็าน่าเกรงขาม ภูมิหลังไม่ได้สวยหรู ไม่ได้อยู่ในจวนหลังใหญ่โต ไร้บ่าวรับใช้ล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่มีคนคอยอุ้มชูอยู่เื้ั ไม่กระทำการทุจริตรับสินบนใดๆ เขาจึงยังขัดสนจวบจนทุกวันนี้ แม้แต่ผู้ช่วยสักคนยังไม่มีปัญญาจ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นายอำเภอที่สามารถยืนหยัดท่ามกลางตระกูลร่ำรวยได้อย่างมั่นคง นั่นหมายความว่าเขาย่อมต้องมีดี
เขาไม่เคยปฏิบัติต่อลูกน้องอย่างหยาบคาย จำได้แม้กระทั่งวันเกิดของมารดาคนรับใช้ แม้เบี้ยหวัดจะน้อยนิด แต่หากลูกน้องคนใดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีปัญหา เขาก็จะหยิบยื่นน้ำใจให้โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องร้องขอ เ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอั้แ่ตำแหน่งใหญ่ไปจนถึงตำแหน่งเล็กๆ ล้วนซาบซึ้งในความมีน้ำใจ และเคารพนับถือเขามาก แม้แต่เ้าหน้าที่ใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่ถึงสามเดือนก็ยังมีคำพูดติดปากว่า “ท่านนายอำเภอของเราบอกว่า” ฉะนั้นอย่าว่าแต่หลิวเปียวเลย แม้แต่หลิวเวยเขาก็กล้าโบย
ยิ่งไปกว่านั้น เจิ้งก่วงอี้ปฏิบัติหน้าที่อย่างยุติธรรม เก่งทั้งเื่กฎหมายและกฎระเบียบ ชาวบ้านมาร้องเรียนเื่ใด เขาไม่เคยผัดวันประกันพรุ่งหรือเรียกเก็บเงินใดๆ รีบไต่สวน ใช้เวลาช้าสุดก็แค่สามถึงห้าวันก็ได้บทสรุปของคดี ทั้งยังตัดสินอย่างยุติธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ เป็เหตุให้ชาวบ้านในอำเภอซานหยางสนุกไปกับการเฝ้าดูผู้คนต่อสู้คดีกันจนกลายเป็เื่ปกติ
คดีที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด เห็นจะเป็คดีความเกี่ยวกับหัวไชเท้าสามหัวกับวัวหนึ่งตัว บัดนี้พึ่งมีคนใหญ่คนโตอย่างคุณชายใหญ่หลิวมาสู้คดีเป็คนแรก พอได้ข่าวคราว ชาวบ้านจึงชักชวนกันมาดู จนผู้คนล้นหลามล้อมรอบที่ว่าการอำเภอ
เห็นเขาถูกโบย ชาวบ้านก็พากันปรบมือและโห่ร้องพอใจ ยิ่งได้ยินเสียงจากชาวบ้าน นายอำเภอซานหยางก็ยิ่งฮึกเหิม ส่วนหลิวเปียวนั้นอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ตีกลองครั้งที่หนึ่งฮึกเหิม ตีครั้งที่สองขวัญกระเจิง [1] การถูกโบยก็เช่นกัน
หลังโบยครบหนึ่งยก หลิวเปียวก็สงบปากสงบคำ คนที่มารอเขาอยู่ข้างนอกถูกฝูงชนเบียดออกไป อยากรีบเข้าไปช่วย ทว่าขยับตัวไม่ได้เลย ได้ยินเสียงร้องเ็ปของนายน้อยค่อยๆ แ่ลงก็ยิ่งใจไม่ดี บัดนี้คุณชายนิสัยกร่างเอาแต่เรียกหาบิดามารดา “พอแล้ว หยุดตีเถิด ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว ท่านพ่อช่วยข้าด้วย ท่านแม่ช่วยข้าด้วย…”
นายอำเภอซานหยางโบกมือสั่งให้หยุดพลางหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาลุ่มลึก “เมื่อครู่เ้าว่าข้าว่าอย่างไรนะ?”
“หลิงจวิน! ข้าไม่กล้าพูดแล้ว! ข้าปากไม่ดีเอง! ท่านใต้เท้าผู้มีเมตตา! หยุดตีเถิด! หลิงจวินอยากรู้เื่อะไรถามมาได้เลย ข้าจะบอกทุกอย่าง หลิงจวินโปรดไว้ชีวิต...”
“ในเมื่อเ้ายืนยันเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอถามเ้า เ้าได้ขี่ม้าเหยียบชายสกุลิหรือไม่?”
“ข้าเอง! เป็ข้าเองขอรับ!”
“เ้าเป็คนพาพรรคพวกไปพังบ้านเรือนของพวกคนงานใช่หรือไม่?”
“เป็ข้าเอง ข้าเป็คนทำเื่ทั้งหมด ข้าเองขอรับ หยุดตีเถิด”
“มีผู้ใดไปกับเ้าบ้าง?”
หลิวเปียวเทถั่วหมดกระบอก [2] ไล่เรียงรายชื่อพรรคพวกทั้งหมด ล้วนเป็ชื่อเหล่าคุณชายไม่เอาถ่าน ขี่ม้าชนไก่ไปวันๆ บ้างก็เป็ลูกหลานตระกูลเดียวกัน เป็ชื่อแซ่ที่เขาไม่คุ้นชินมากกว่าครึ่ง แต่ไม่ว่าคนพวกนั้นจะเป็ผู้ใด นายอำเภอซานหยางก็หาได้สนใจ
ส่งหมายเรียกตัวคนทั้งหมดมาไต่สวน ก่อนจะหันมาถามหลิวเปียวอีกครั้ง “เ้าทำร้ายคนจนได้รับาเ็เพราะเื่บาดหมางเื่ที่ดินด้านหลังวัดใช่หรือไม่?”
“ใช่! ใช่ขอรับ” ตัวหลิวเปียวเต็มไปด้วยเื ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ยอมรับทุกข้อกล่าวหา ทว่าจู่ๆ เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบกลับคำทันที “ไม่ใช่สิหลิงจวิน! ไม่ใช่อย่างนั้น เื่นี้เป็เพียงเื่หยอกล้อระหว่างสหายร่วมสำนัก หลิงจวินโปรดทบทวนอีกที!”
“หยุดก่อน” นายอำเภอซานหยางขมวดคิ้วพลางลูบเคราแพะ “เล่าความจริงทั้งหมดมาให้ละเอียด หากเ้ากล้าโกหกแม้เพียงครึ่งประโยค ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี”
หลิวเปียวนอนฟุบหน้าอยู่บนแท่นโบย เริ่มเล่าั้แ่เื่งานเลี้ยงที่สวนจื่อหยวน ตนได้นัดแนะคำถามและคำตอบกับใต้เท้าจ้าว ตั้งใจชิงสิทธิ์ในการเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาหลวง แต่แผนการกลับถูกิเยี่ยและิหยวนขัดขวางจนเสียหน้า จึงถูกบิดาลงโทษ ตนเกิดความแค้นจึงตั้งใจพาพรรคพวกไปพังบ้านเรือนของพวกเป่ยเหล่าและครอบครัวิหยวน พอเจอคนเข้ามาขวางและต่อว่า เขาก็ขี่ม้าพุ่งเข้าใส่ ตอนนั้นหลิวเปียวเข้าใจว่าิเฉียวเป็แค่ชาวนาที่ตนขี่ม้าเหยียบ ไม่รู้ว่าชาวนาคนนั้นคือบิดาของิหยวน ทว่าเขาชอบรังแกผู้อื่นจนเป็นิสัย จึงไม่ได้ใส่ใจไม่ว่าคนที่ตนทำร้ายจะเป็ผู้ใดก็ตาม
นอกจากจะไม่สำนึกผิดแล้วยังเล่าอย่างภูมิใจ นายอำเภอซานหยางได้ยินคำแก้ตัวพวกนั้นก็ยิ่งโมโห เขาเกลียดพวกคนโง่อวดฉลาด แสดงอำนาจบาตรใหญ่ แม้เื่ที่ตระกูลหลิวขัดแย้งกับวัดจนทำให้ผู้คนาเ็นั้นจะมีความผิดจริง ทว่าก่อนเกิดผลย่อมต้องมีเหตุ แต่การเคียดแค้นที่สหายร่วมสำนักของตนได้หน้าได้รับความสนใจมากกว่า แล้วเอาความแค้นไปลงที่ผู้อื่น มันช่างเป็การกระทำที่เอาแต่ใจและไร้คุณธรรมสิ้นดี ทั้งยังมีเื่ทุจริต ติดสินบนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
ทุกวันนี้ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงพวกนี้ มักใช้วิธีการนี้ให้ได้มาซึ่งตำแหน่งราชการ ฉะนั้นการที่ขุนนางท้องถิ่นจะแนะนำผู้สมัครเข้ารับราชการ จะพิจารณาเพียงความกตัญญูและซื่อสัตย์ไม่ได้ ควรต้องพิจารณาคุณธรรมของคนผู้นั้นด้วย ซึ่งคุณชายหลิวผู้นี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าผู้มีคุณธรรมด้วยซ้ำ!
นายอำเภอซานหยางเรียกเ้าหน้าที่อาลักษณ์มาเขียนบันทึกคำให้การ คุมตัวผู้กระทำผิดไว้จนกว่าผู้สมรู้ร่วมคิดจะมาถึง
ทว่ามันกลับไม่เป็อย่างที่คิด
ตระกูลหลิวเป็ตระกูลเก่าแก่และร่ำรวย ย่อมต้องมีความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี หลิวเปียวถูกศาลคุมตัวไปไต่สวน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่านายอำเภอซานหยางจะกล้าลงโทษเขา พวกเขาคิดเพียงว่าแม้จะไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพ แต่ก็คงถามคำถามสองสามประโยคแล้วปล่อยตัว คนในจวนจึงตามมารออยู่หน้าที่ว่าการอำเภอ
คิดไม่ถึงว่าคนเข้าไปแล้วจะไม่ได้ออกมา มีเพียงเสียงร้องโหยหวนด้วยความเ็ป เหมือนมีคนถูกตีเืสาดอยู่ข้างใน จึงรีบกลับไปรายงานเ้านาย คราวนี้คงต้องพาคนไปด้วยเยอะหน่อย จะปล่อยให้คนถูกโบยต่อไปไม่ได้ คนตระกูลสวี่ที่มาหารือได้ยินเื่ที่เกิดขึ้นกับหลิวเปียวก็พลันใไปตามๆ กัน
“ข้าว่าพี่ใหญ่ไม่น่าทำอย่างนั้นเลย เฉินฝู่จวินผู้นั้นพึ่งมารับตำแหน่ง เรากับเขาไม่เคยมีเื่บาดหมางกันมาก่อน ทั้งเขายังปฏิบัติกับเราเยี่ยงมิตร ไยท่านต้องเที่ยวไปพูดใส่ร้ายให้เขาเสียหน้าด้วย!” ประมุขตระกูลสวี่ไม่มีใจจะดื่มชา เดินวนไปเวียนมาอยู่ในโถงรับแขก ตำหนิหลิวเวยเื่วันก่อน “คนในเมืองหลวงขุ่นเคืองเขาแล้วอย่างไร ยามนี้เขาเป็หัวหน้าเรา อยากทำให้เขาขุ่นเคืองไปเพื่อสิ่งใด ในเมื่อเราไม่ให้เกียรติเขา คิดว่าเขาจะไว้หน้าเราหรือ?”
หลิวเวยตบโต๊ะสุดแรง “เขาคิดว่าตนเองใหญ่โตมาจากไหน! เอาความกล้าที่ไหนมาลงไม้ลงมือกับลูกข้า!”
“เลิกด่าแล้วมาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำอย่างไร เราจะปล่อยให้คนที่เหลือถูกโบยไม่ได้”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตีกลองครั้งที่หนึ่งฮึกเหิม ตีครั้งที่สองขวัญกระเจิง (一鼓作气二鼓衰) หมายถึง จะทำสิ่งใดควรตั้งใจทำให้สำเร็จในคราวเดียว หากต้องเริ่มใหม่ครั้งที่สองที่สาม กำลังแรงใจก็จะถดถอยลง และอาจทำได้ไม่ดีเท่าครั้งแรก แต่ในที่นี้นำเปรียบกับการถูกโบย จึงเป็การสื่อว่าการที่หลิวเปียวถูกโบยครั้งแรกมันทำให้เขาฮึดสู้เพื่อต่อต้าน แต่พอถูกโบยอีกครั้ง ความเ็ปมันสะสมจนทนไม่ไหว และต้องยอมแพ้ในที่สุด
[2] เทถั่วหมดกระบอก (竹筒倒豆子) หมายถึง เผยความจริงจนหมดเปลือก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้