ค่ำคืนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว รถม้าเริ่มออกเดินทาง โคมไฟบนถนนสว่างไสว คนเดินบนถนนเริ่มหลั่งไหลเหมือนสายน้ำ ความคึกคักค่อยๆ คืบคลานเข้าหาหอจุ้ยฮวน
หญิงสาวผู้อ่อนหวานบางคนมาที่ห้องโถงเพื่อต้อนรับแขก ชายหนุ่มผู้มีฐานะหลายคนมาหาหญิงสาวที่ตนเองสนิทสนม
ซูเจินเป็หนึ่งในชายหนุ่มเหล่านี้ หญิงสาวส่วนใหญ่ในหอจุ้ยฮวนรู้จักเขาเป็อย่างดี ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้ามาก็ถูกหญิงสาวรุมล้อมและพาไปส่งถึงห้องของม่านอู่
ม่านอู่ที่แต่งตัวงดงามให้การต้อนรับเขาเป็อย่างดี
ซูเจินยิ้มบางๆ และกล่าวชมว่า “วันนี้เ้าสวยมาก แต่น่าเสียดายที่คืนนี้ข้าต้องไปหาปี้เหยียน”
หญิงสาวผู้งดงามอารมณ์เสียเล็กน้อย นางบ่นพึมพำก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า
“คุณชายไม่ได้มาหาข้าหนึ่งเดือนแล้ว ไม่คิดจะชมข้าร่ายรำสักหน่อยหรือเ้าคะ?”
ซูเจินกล่าวเบาๆ ว่า “คงไม่ได้ ข้าต้องไปหาปี้เหยียนเพราะข้ามีบางอย่างต้องทำ”
จากนั้นเขาก็ออกจากห้องของม่านอู่และตรงดิ่งไปยังห้องส่วนตัวของอวิ๋นจื่อที่ศาลาฉีอวิ๋น
อวิ๋นจื่อนั่งคัดอักษรั้แ่่บ่าย
นางรู้สึกว่ามีจุดสีดำแห่งความเกลียดชังซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของนาง อาจเป็เพราะความเศร้าโศกจากเหตุการณ์ในวันนั้นและนางก็ไม่เหลือใครเลย นางพยายามให้กำลังใจตัวเองและเลิกจมปลักอยู่กับอดีต
ตอนแรกนางคัดอักษรด้วยความเร่งรีบจนพู่กันในมือร่วงลงบนกระดาษ สีขาวของกระดาษเปื้อนหมึกสีดำเป็ดวงๆ เปรียบได้กับหัวใจของนางที่ถูกแต่งแต้มด้วยความเกลียดชัง
นับั้แ่นางก้าวเท้าออกจากตำหนักเหวินฮวา ความเกลียดชังในใจของนางก็แผ่ขยายและเพิ่มมากขึ้น
นางเร่งมือคัดอักษรติดต่อกันเป็เวลานานจนเริ่มรู้สึกปวดข้อมือ จึงเปลี่ยนมาคัดให้ช้าลงเพื่อสงบสติอารมณ์
ตอนนี้นางยังมีโอกาสอยู่ใช่หรือไม่? อย่างน้อยเซียวเหยียนย่อมเป็พันธมิตรกับนางเพราะความสัมพันธ์ที่เขามีต่อเสด็จอา นอกจากนี้ราชวงศ์ใหม่ของตระกูลเย่ก็ยังไม่มั่นคงนัก ในอดีตตระกูลอวิ๋นใช้เวลาหลายร้อยปีในการก่อตั้งแคว้น อีกทั้งบรรดาตระกูลขุนนางและคหบดีล้วนมีความเกี่ยวพันกัน นี่หมายความว่าไม่ใช่ใครคิดจะเป็ฮ่องเต้ก็ได้ การที่คนสกุลเดียวปกครองแคว้นมาเป็เวลานานย่อมก่อให้เกิดรากฐานที่หยั่งรากลึก และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำลายได้ในเวลาสั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นเื้ัของนางยังมีการสนับสนุนจากตระกูลมู่
อย่างที่เสด็จพ่อบอกไว้ ไม่มีอะไรต้องกลัว
ตอนนี้นางไม่จำเป็ต้องกลัวสิ่งใด
ขุนนางทรยศและพวกฏจะถูกลงโทษในที่สุด
อารมณ์ของนางสงบลงอย่างช้าๆ
นางต้องก้าวเดินไปทีละก้าว
เมื่ออวิ๋นจื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นซูเจินยืนอยู่
ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่ามืดแล้ว ส่วนสาวรับใช้ที่อยู่รอบตัวนางล้วนหายตัวไปหมด
ซูเจินถามว่า “เ้าคัดอักษรมานานหรือยัง?”
อวิ๋นจื่อยิ้มเล็กน้อย “ข้าเพิ่งคัดได้สักครู่ คุณชายมาเร็วเกินไปหรือไม่?”
ซูเจินพูดด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “เล่นเพลงซิงฮวาเทียนให้ข้าฟังหน่อย”
อวิ๋นจื่อตอบรับ นางนำกู่ฉินมาวางบนตักและเริ่มเล่นทันที
“ดอกโบตั๋นเพิ่งบานเมื่อคืนนี้
เพราะเป็วันฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิของปี
แต่ดอกชา[1]กลับชูช่อ
นกนางแอ่นไม่ว่าง นกขมิ้นี้เี[2]
ความเจ็บป่วยเหนื่อยล้า กลิ่นหอมสุราและเสียงเพลงกระจายไป
มองเห็นก๋วยเตี๋ยวและถ้วยชา เช่นนั้นก็เอามาให้ไว”
อันที่จริงซูเจินอยากฟังท่อนอื่น เขาจึงถามขึ้นว่า “เหตุใดเ้าถึงเล่นท่อนนี้?”
อวิ๋นจื่อหัวเราะและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าท่อนนี้น่าจะสอดคล้องกับความปรารถนาของคุณชายมากกว่า แม้ว่าเราจะพบกันโดยบังเอิญ แต่คนที่อยู่ในสถานการณ์คล้ายคลึงกันมักเห็นอกเห็นใจกัน”
ซูเจินไม่ตอบ
หลังจากนั่งดื่มชาสักพักเขาก็กล่าวว่า “คืนนี้เ้าเตรียมเพลงอะไรไว้?”
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ “เพลงเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียง[3]เ้าค่ะ ไม่ทราบว่าคุณชายคิดเห็นอย่างไร?”
ซูเจินรู้ว่าเพลงนี้บรรเลงค่อนข้างยาก เขามองอวิ๋นจื่อด้วยสายตาครุ่นคิด
อวิ๋นจื่อกล่าวต่อด้วยท่าทีเฉยเมย “คนที่รู้ว่าข้ารู้จักเพลงนี้คงตายไปแล้ว นี่เป็เพลงที่ท่านแม่สอนข้าั้แ่ข้ายังเด็ก คุณชายไม่ต้องกังวล”
ซูเจินกล่าวว่า “ข้าจะขอให้ม่านอู่ช่วยเ้า”
“ม่านอู่น่ะหรือ?”
“ใช่”
หลังจากกล่าวจบเขาก็จากไปทันที
เสียงเพลงในหอจุ้ยฮวนดังขึ้น ห้องโถงเต็มไปด้วยความคึกคัก อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของเครื่องประทินผิวและเครื่องหอมที่ใช้บ่มผ้า แสดงให้เห็นถึงความคึกคักของสถานที่แห่งนี้
แต่ห้องของอวิ๋นจื่อเงียบมาก นางสั่งให้หงหลิงนำกู่ฉินมาเตรียมไว้ และเรียกไป๋จื่อให้เข้ามาช่วยแต่งตัว
ในค่ำคืนที่มืดมิด ดวงตาของนางดำสนิทราวกับน้ำหมึก และไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งจิตใจของนางได้
เมื่อไป๋จื่อและหงหลิงเห็นว่าอวิ๋นจื่อมีท่าทางไม่สบายใจก็ไม่กล้าพูดอะไร อวิ๋นจื่อมองไปที่สาวใช้สองคนที่ดูเหมือนจะพูดแต่ไม่กล้าพูดก็ตระหนักว่าทั้งหมดนี้ช่างไร้สาระเสียจริง ในสถานที่เช่นนี้ไม่มีใครสูงส่งกว่าใคร อันที่จริงนางไม่้าให้สาวใช้ของนางปฏิบัติกับนางเหมือนองค์หญิง
นางกล่าวเบาๆ ว่า “เหตุใดพวกเ้าถึงไม่พูดอะไรสักคำ? ความขี้เล่นช่างหยอกล้อของพวกเ้าหายไปไหนหมดแล้ว?”
ไป๋จื่อตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณหนูดูไม่มีความสุข พวกเราจึงไม่มีความสุขเช่นกันเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวอวิ๋นจื่อก็รู้สึกว่าความขุ่นมัวในใจบรรเทาลง ครั้งหนึ่งจินเหนียงก็เคยพูดเช่นนี้กับนาง กระแสความอบอุ่นผุดขึ้นในใจนางทันที นางจึงกล่าวไปว่า “ข้าไม่มีความสุข แต่ข้ามีอารมณ์ขัน”
จากนั้นอวิ๋นจื่อก็มองตัวเองในกระจก วันนี้นางแต่งหน้างดงามอ่อนหวาน แตกต่างจากการแต่งหน้าที่เคร่งขรึมและเคร่งครัดเหมือนสมัยที่อยู่ในวัง ตัวตนที่มีเสน่ห์และมีสีสันนั้นค่อนข้างแปลกตาจริงๆ
นางมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “พวกเ้าว่าเป็อย่างไรบ้าง? ข้าดูดีหรือไม่?”
สาวใช้สองคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าคุณหนูของเรางดงามที่สุดเ้าค่ะ”
นายบ่าวหยอกล้อกันอยู่พักหนึ่ง ไม่นานอวิ๋นจื่อก็นั่งลงหน้ากู่ฉินและเริ่มเล่นเพลงช้าๆ
เมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียงเป็เพลงที่นางฝึกฝนมาั้แ่ยังเด็ก ั้แ่เสด็จแม่จากไป นางก็ไม่เคยเล่นเพลงนี้อีกเลย เมื่อไม่ได้เล่นนานนางก็ไม่แน่ใจว่ายังเล่นได้ดีเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่
ในใจของนางรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วนางเป็ดรุณีน้อยที่มีอายุเพียงสิบห้า แต่ความโศกเศร้าของนางก็บรรเทาลงและถูกแทนที่ด้วยความสุขจากการที่จะได้ออกจากสถานที่แห่งนี้ นางเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่เดือน แต่นางเบื่อชีวิตแบบนี้แล้ว เล่ห์เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยชั้นเชิง ความอิจฉาริษยาที่ปลิวว่อนเหมือนใบไม้ และการทะเลาะเบาะแว้งอันไร้สาระล้วนทำให้นางเกลียดที่นี่
ทันใดนั้นเสียงเพลงที่ไพเราะก็ดังขึ้น
ไปจื่อกล่าวเบาๆ “คุณหนูเ้าคะ พิธีประชันสาวงามได้เริ่มขึ้นแล้ว”
------------------------
[1] ดอกชาเป็ที่รู้จักกันในชื่อถูหมี่ มีลักษณะเป็ไม้พุ่ม ตั้งตรงหรือเลื้อยได้ ดอกมีกลิ่นหอม กิ่งของดอกชามีความหนาแน่นและมีกลิ่นหอม และสีจะเปลี่ยนเป็สีแดงหลังจากฤดูใบไม้ร่วง ชาเป็ดอกไม้ที่บานท้ายสุดในฤดูใบไม้ผลิ และเมื่อดอกชาบานก็หมายถึงการสิ้นสุดของฤดูใบไม้ผลิ
[2] นกนางแอ่นไม่ว่างนกขมิ้นี้เี หมายถึง นกนางแอ่นกำลังยุ่งอยู่กับการสร้างรัง ส่วนนกกระจิบก็ี้เีเกินกว่าที่จะร้องเพลง สองสิ่งนี้เป็สัญญาณบ่งบอกว่านี่คือปลายฤดูใบไม้ผลิ
[3] เพลงเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียนหรือเมฆเอื่อยเหนือกระแสน้ำเชี่ยว เพลงนี้ปรากฎโน้ตฉบับเก่าแก่ที่สุดในตำราเสินฉีมี่ผู่ในสมัยราชวงศ์ิ ในตำราดังกล่าวได้ระบุไว้ว่า “เพลงนี้แต่งโดยกัวเหมี่ยนผู้มีฉายาฉู่วั่งและเป็คนหย่งเจีย ทุกครั้งที่มองไปทีู่เาจิ่วอี๋ ก็จะเห็นเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียงบดบังทิวทัศน์ ทำให้เกิดจินตนาการต่างๆ นานา เขาจึงนำเอาลำน้ำและเมฆมาบรรเลงเป็เพลง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้