ซวี่เฉินฟางแย้มยิ้ม พูดว่า “ถึงเวลานั้นพวกเขาคงต้องเลือกระหว่างซื้อยาปลอมจากหมอหยางต่อไป หรือยอมส่งสมุนไพรมาให้เ้าอย่างซื่อสัตย์ ใช่หรือไม่?”
จากนั้นเขาก็หรี่ตามองท้องฟ้านอกชายคา ถอนหายใจเบาๆ “อาอู่ การที่เ้าต้องอยู่ในหมู่บ้านเช่นนี้ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
ไม่ว่าจะเป็ในหมู่บ้านหรือในเมือง สำหรับเมิ่งอู่ดูคล้ายจะไม่ได้แสวงหาอันใดเป็พิเศษ
ภพก่อนนางต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ไม่มีเวลาแม้แต่วันเดียวที่จะได้ใช้ชีวิตดีๆ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วภพนี้จะต้องมีชีวิตที่ดีเสียก่อน แล้วค่อยทำเื่อื่นต่อ
ยามนี้เมิ่งอู่ยังคิดไม่ออกว่าในอนาคตจะทำอันใด ดังนั้นในหมู่บ้านหรือในเมืองก็เหมือนกัน
เมิ่งอู่เหลือบมองเขาผาดหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้านี่เหนือหล้า เ้าจะไปเข้าใจอันใด”
ซวี่เฉินฟางหันมองอินเหิง ถือโอกาสที่นางเซี่ยไม่อยู่เอ่ยถามนางกะทันหันว่า “หากวันหนึ่งเขาต้องกลับเข้าเมือง อาอู่ เ้าจะไปกับเขาหรือไม่?”
เมิ่งอู่อึ้งงัน นางเงยหน้ามองอินเหิง เห็นเขาในชุดขาวบริสุทธิ์ดั่งเซียนดั่งภาพวาด
ดูคล้ายว่านางยังไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน
ไม่รอให้เมิ่งอู่ตอบ อินเหิงมีมีสีหน้าเ็าขณะเอ่ย “ไม่ทำให้เ้าหนักใจหรอก ข้าจะพานางไปด้วยเอง”
ซวี่เฉินฟางแย้มยิ้มสบายๆ ทว่าั์ตาฉายแววเคร่งขรึมเลือนราง ถามว่า “ไปด้วยกัน? กลับไปยังโลกของเ้าน่ะหรือ? เ้าดูสภาพของตนเองสิกลายเป็แบบนี้ไปแล้ว คาดว่าโลกของเ้าจะต้องอันตรายและไม่ธรรมดากระมัง เ้ายังคิดจะลากอาอู่กับท่านแม่ของนางเข้าไปเสี่ยงอันตรายด้วยหรือ?”
ไม่อย่างนั้นจะพูดได้อย่างไรว่าซวี่เฉินฟางเก่งในการคาดคะเนจิตใจของผู้อื่นมาก เขาพูดเพียงประโยคเดียวก็ตรงเข้าประเด็นสำคัญแล้ว
เมิ่งอู่ไม่สนใจว่าสองขาของอินเหิงจะพิการ แต่พวกเขาไม่เคยอยู่ในโลกเดียวกัน
นางไม่เคยเข้าไปในโลกของอินเหิง นั่นอาจเต็มไปด้วยภยันตรายและความผันผวนครั้งแล้วครั้งเล่า
นางตระหนักถึงเื่นี้ดีนับแต่วันแรกที่นางช่วยชีวิตอินเหิงกลับมา
เพียงแต่หลังจากนั้นนางต้องวุ่นวายกับการใช้ชีวิตจึงละเลยเื่นี้ไป
ถ้อยคำของซวี่เฉินฟางเปรียบเสมือนการเอาอ่างน้ำเย็นสาดใส่ศีรษะของคนหุนหันพลันแล่นสองคนอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าเมิ่งอู่มิใช่คนที่กังวลในเื่ที่ไม่จำเป็ต้องกังวล เื่ที่ถึงเวลาก็รอให้ถึงเวลาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
นางชายตามองซวี่เฉินฟางก่อนเอ่ย “เ้าดูแลจัดการกว้างขวางขนาดนี้ ได้จัดการเื่ของตนเองแล้วกระมัง ถึงมายุ่งเื่ของผู้อื่น? เ้ายังต้องคิดก่อนว่าจะกลับเข้าเมืองไปเอาของของตนเองคืนมาได้อย่างไร”
ซวี่เฉินฟางไม่้าพูดถึงเื่นั้นอีก เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย “เ้าก็คิดว่าข้าสมควรจะไปแย่งชิงกลับคืนมาใช่หรือไม่”
ตกเย็น เมิ่งอู่ช่วยอินเหิงบริหารกล้ามเนื้อขาในลานเรือน
เมิ่งอู่กล่าว “รอจนกระทั่งกระดูกขาของเ้าหายสนิทแล้ว หากยังลุกขึ้นยืนไม่ได้ อาจเป็เพราะเส้นเือุดตัน ข้าจะช่วยเ้าบำบัดเอง”
ทันใดนั้นอินเหิงก็กล่าวเสียงต่ำ “อาอู่ ข้าไม่รีบร้อนแล้ว”
เมิ่งอู่ชะงักมือไว้ที่ขาของเขา นางเงยหน้ามองเขา
สีหน้าของเขาราบเรียบเยี่ยงนั้น ดวงตาทั้งคู่จ้องมองวงหน้าของนางอย่างลึกซึ้ง
เมิ่งอู่กล่าว “อาเหิง เ้าอย่าได้ท้อใจไป”
อินเหิงหยักริมฝีปากนิดๆ แล้วยิ้มให้นาง รอยยิ้มอ่อนโยน พูดว่า “สมควรดีก็ดี ปล่อยไปตามธรรมชาติ ข้ามิได้ท้อใจ ไม่แปลกที่เ้าจะไม่เข้าใจในชั่วขณะหนึ่ง”
ปลายนิ้วเย็นแล้วอุ่นของเขาค่อยๆ ปัดปอยผมข้างหูของเมิ่งอู่ที่ถูกลมพัดเบาๆ
นี่เป็โลกของนาง เหตุใดเขาต้องรีบร้อนจากไปด้วยเล่า? อยู่ต่ออีกสักพักไม่ดีตรงไหน?
ที่นี่ดาราดารดาษ ที่นี่ลมเย็นยามเย็น ยามราตรียังมีนาง เป็ทัศนียภาพที่งดงามที่สุดที่เขาเคยประสบพบเจอในชีวิต
เมิ่งอู่ถามหยั่งเชิง “อาเหิง คำพูดของซวี่เฉินฟางตอนกลางวันทำให้เ้าท้อใจหรือ?”
ซวี่เฉินฟางก็หวังให้อินเหิงท้อใจ
สุดท้ายไม่รอให้อินเหิงตอบ เมิ่งอู่ก็เอ่ยต่อ “เ้าอย่าท้อแท้หดหู่ไปก่อน ข้ายังไม่ได้ขบคิดเลยว่าจะไปเดินเล่นยังโลกของเ้าหรือไม่”
หากการไปครั้งนี้ต้องเผชิญกับภยันตราย มิต้องเสี่ยงมากหรอกหรือ? รูปงามก็จริง แต่จะเอาชีวิตไปทิ้งเพราะคนรูปงามได้อย่างไร!
ก่อนทะลุมิติก็เคยขาดทุนแบบนี้มาแล้ว เมิ่งอู่ยังจะพลาดซ้ำสองอีกหรือ?
อินเหิงมองเมิ่งอู่ครู่หนึ่ง ก่อนแหงนหน้าหัวเราะ ไม่มีความไม่พอใจเจือปนแม้แต่ครึ่งส่วน รอยยิ้มนั้นสดใสดุจสายลมจันทรา
นางชอบเขาก็จริง แต่ยังไม่ถึงขั้นชอบจนยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อเขา
อินเหิงกล่าว “อาอู่กล่าวถูกแล้ว ยามนี้ยังเร็วเกินไปที่จะคิดถึงเื่เ่าั้ รอวันที่อาอู่เต็มใจไปเดินเล่นในโลกของข้า ค่อยแก้ปัญหานี้กัน”
ผ่านไปครู่หนึ่งอินเหิงหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็พิษเป็ภัย “แต่เ้ามิได้บอกหรอกหรือว่าจะเลี้ยงดูข้าชั่วชีวิต?”
เมิ่งอู่กล่าว “จริงสิ หากเ้ากลับมา ข้าจะเลี้ยงดูเ้าเอง ในโลกของข้าคำพูดของข้าถือเป็เด็ดขาด”
...
หลังจากนั้นเมื่อเมิ่งอู่ออกไปทำงานที่ไร่นา หากเส้นทางสะดวก อินเหิงก็จะไปกับนาง ขณะซวี่เฉินฟางก็ออกไปด้วยเช่นกัน แต่กลับเดินไปคนละทางกับทั้งสองคน
คราแรกเมิ่งอู่มองแผ่นหลังสง่างามของซวี่เฉินฟาง แล้วอดถามไม่ได้ว่า “เ้าจะไปที่ใด?”
ซวี่เฉินฟางหันกลับมายิ้มอ่อน ไฝน้ำตาใต้หางตาสดใสเล็กน้อย “ข้าจะไปเดินดูรอบๆ อาอู่ทนแยกจากข้าไม่ไหวกระมัง เช่นนั้นข้าเดินไปกับพวกเ้าดีกว่า”
เมิ่งอู่กล่าว “ไสหัวไป”
ซวี่เฉินฟางจึงเดินเอ้อระเหยไปตามทางเดินเล็กๆ ท่ามกลางไร่นา
หลายครั้งที่เมิ่งอู่เห็นซวี่เฉินฟางไปคลุกคลีกับพวกอันธพาลในหมู่บ้าน และแอบหารือบางอย่างกันอย่างลับๆ ล่อๆ เมื่อเห็นเมิ่งอู่เดินมาแต่ไกล ไม่พูดสักสองสามประโยคก็รีบแยกย้ายกันไปแล้ว
เมื่อไรที่ซวี่เฉินฟางนี่สนิทสนมกับคนพวกนั้นขนาดนี้?
่หลังมานี้พวกอันธพาลกลุ่มนั้นมีเวลาว่างน้อยลง แต่มักจะมาที่หมู่บ้านซุ่ย ครั้งหนึ่งบังเอิญเจอเมิ่งอู่กับอินเหิง พวกอันธพาลยิ้มแหยก่อนเอ่ย “สวัสดีพี่ใหญ่! สวัสดีหัวหน้าใหญ่!”
เมิ่งอู่เอ่ยถามตรงๆ “่นี้พวกเ้าไปทำอันใดกับเฉินฟาง?”
พวกอันธพาลส่ายหน้า “ไม่มีอันใด!”
ดูจากปฏิกิริยาของพวกเขาแล้ว แน่นอนว่าซวี่เฉินฟางต้องสั่งห้ามพวกเขาไม่ให้บอกเื่นี้กับผู้ใด
อินเหิงมองพวกเขาอย่างไม่แยแส “เขาให้พวกเ้าทำธุระให้หรือ?”
พวกอันธพาลตะลึงลาน “พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไร?”
อินเหิงกล่าวต่อ “เป็เื่ซื้อขายหรือ? เฉินฟางเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว”
เมื่อพวกอันธพาลได้ยินดังนั้นก็ไม่ระแวดระวังอีกต่อไป รีบกล่าวอย่างมีเลศนัย “คราวนี้เป็การซื้อขายครั้งใหญ่!”
เมิ่งอู่ถาม “การซื้อขายครั้งใหญ่แบบใด?”
พวกอันธพาลกล่าว “ในสิบหลี่แปดหมู่บ้านนับว่าพวกเรามีข้าวฟ่างเยอะที่สุด ยามนี้ใกล้เก็บเกี่ยวข้าวฟ่างแล้ว เฉินฟางเขาซื้อข้าวฟ่างทั้งหมดไว้แล้ว”
เมิ่งอู่ใมาก นั่นต้องเป็อาหารขนาดไหนกัน!
ซวี่เฉินฟางนี่ช่างรู้จักเลือกคนมาช่วยงานจริงๆ พวกอันธพาลกลุ่มนี้รู้สึกว่าตนมีประโยชน์มากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หลายวันมานี้พวกเขาวิ่งวุ่นไปทั่ว เพื่อบอกชาวบ้านล่วงหน้าว่ามีผู้ซื้อ้าจะซื้อข้าวฟ่างของพวกเขาในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดในอดีตถึงสองส่วน หากกล้าขายให้ผู้อื่นก็ต้องให้พวกเขาดูก่อน!
พร้อมทั้งยังข่มขู่ชาวบ้านว่าห้ามแพร่งพรายเื่นี้ออกไป มิเช่นนั้นราคาจะลดลง ไม่มีผู้ใดได้ประโยชน์
ทั้งปลอบทั้งขู่ ทำเอาพวกชาวบ้านกลัวจนมิกล้าทำอันใดบุ่มบ่าม
หากราคาสูงกว่าราคาตลาดสองส่วนจริง นี่ก็นับว่าเป็เื่ดีสำหรับพวกเขา ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดอยากให้ราคาข้าวฟ่างตกต่ำลง ดังนั้นทุกคนจึงเก็บไว้เป็ความลับ
เมิ่งอู่เข็นอินเหิงกลับเรือน ระหว่างทางนางถึงเพิ่งตอบสนอง “ซวี่เฉินฟางปีศาจจิ้งจอกตนนี้จะใช้ชีวิตเรียบง่ายในหมู่บ้านได้อย่างไร ที่แท้ก็มาหาโอกาสค้าขายที่นี่! ข้าถามเขาว่าไฉนเขาถึงได้เอาแต่เดินเล่นรอบๆ หมู่บ้าน แท้จริงก็หมายตาข้าวฟ่างของที่นี่!”
ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้นางมักได้ยินซวี่เฉินฟางพูดถึงข้าวฟ่างในละแวกนี้ เวลานั้นนางไม่ได้นึกถึงมันเลย ยามนี้เมื่อนึกถึง ปรากฏว่าเขาคิดคำนวณไว้นานแล้ว