เล่มที่ 4 บทที่ 117
หมอเทวดาเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉิงด้วยสายตาเห็นชอบ แปลกใจ และประหลาดใจ อย่างไรก็ดี ภายใต้อารมณ์เ่าั้กลับมีแค่การถอนหายใจที่นางไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน “อีกหนึ่งชั่วยาม หลังจากเขากินใบไม้ครั้งที่สาม ข้าถึงจะสามารถสรุปได้”
หลังจากพูดจบ เขาก็กระดิกนิ้วมือเรียกจ้าวจื่อซิน “เ้าตามข้ามา ข้ามีอะไรจะบอกเ้า”
เห็นทั้งสองคนออกจากห้อง มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไรหรือ? แท้ที่จริงแล้ว เฉินเทียนหยูสามารถทนต่อยาพิษชนิดนี้ได้หรือไม่? หรือว่าไม่อาจทนได้? ทำไมท่านอาจารย์ถึงต้องพูดกับจ้าวจื่อซินคนเดียว? หรือว่าเป็เพราะท่านอาจารย์กลัวว่านางจะทนไม่ไหวเมื่อรู้ความจริงกระนั้นหรือ?
ครั้นเห็นสีหน้าของมู่หรงฉิงเปลี่ยนไปเป็อย่างมาก เป้ยหนิงก็รู้ว่านางกำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับเื่ของเฉินเทียนหยู นางปลอบโยนคนไม่เป็ ทว่าหลังจากเห็นสีหน้าและอากัปกิริยาของมู่หรงฉิง นางก็เข้าไปหาและพูดอะไรดีๆ
ในห้องปี้เอ๋อร์และเป้ยหนิงคอยปลอบมู่หรงฉิงที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทว่าในอีกห้องหนึ่งหมอเทวดามองไปที่จ้าวจื่อซินด้วยสีหน้าแปลกๆ “ทำไมเ้าถึงให้นางใช้พิณปีศาจ?”
แม้ว่าจะมีการคาดเดาอย่างคลุมเครือในใจ ถึงกระนั้นเขาก็ยังอยากที่จะได้ยินคำตอบจากปากของจ้าวจื่อซิน ท้ายที่สุดแล้วคำตอบนั้นคงเป็เื่ยากสำหรับเขาที่จะยอมรับได้
“ที่เรียกข้ามาเพื่อถามสิ่งนี้หรือ?” เลิกคิ้วขึ้นมองหมอเทวดาด้วยใบหน้าที่เ็า “ถ้าจะถามคำถามนี้ ข้าจะส่งคำหกคำให้เ้า ไม่อาจจะบอกเล่าได้ แต่ว่าถ้าเ้ากล้าที่จะพูดพล่ามแม้แต่คำเดียว ข้าจะไม่ออมมือจริงๆ ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่พูดเล่นเท่านั้น”
จบคำพูดข่มขู่ จ้าวจื่อซินก็ออกจากห้อง การอยู่กับตาเฒ่าคนนี้มีแต่ลดเวลาที่เขาจะได้อยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันกับมู่หรงฉิงก็เท่านั้น
หลังจากฟังคำพูดของจ้าวจื่อซิน สีหน้าของหมอเทวดาก็กลายเป็สีม่วงทันที หลังจากนั้นไม่นาน เขาถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “โธ่ บาปกรรม บาปกรรม อาจารย์ของเ้าเสียชีวิตด้วยคำว่ารัก และเ้าก็เป็ต้องตามรอยเขาให้ได้ใช่หรือไม่?”
-------------------------------
ที่จวนของอาจารย์องค์ชายรัชทายาท ดวงตาคู่หนึ่งของหลิงชิงป๋อหรี่เล็กลงเล็กน้อย ถ้วยหยกสีม่วงในมือของเขาโชยกลิ่นหอมอ่อนๆ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขายกขึ้นดื่มแต่อย่างใด “เ้ามั่นใจหรือว่านั่นคือพิณปีศาจ”
“ใช่แล้ว ใน่เวลานั้น ผู้น้อยยังเยาว์วัยกอปรกับทักษะการต่อสู้ของผู้น้อยยังอ่อนแอ ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า ได้แต่มองจากระยะไกล แต่เสียงพิณนั้นเป็เื่ยากที่ผู้น้อยจะลืมเลือนไปตลอดชีวิต” เงาคุกเข่าลง ก่อนพูดถึงสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินในคืนนี้ออกมา
หลังจากได้ยิน หลิงชิงป๋อก็ถามอีกหน หลังจากที่เงียบไปเป็เวลานานมาก “ผู้ที่เป็ขุนนาง ไม่มีคนที่ไม่อยากจะขึ้นไปที่ต้นน้ำให้ได้อยู่ภายใต้บุคคลนั้น และอยู่เหนือคนนับหมื่นคน ในยุทธภพไม่มีผู้ใดที่ไม่อยากเป็ที่หนึ่งในใต้หล้า เป็ที่หนึ่งในหวู่หลิน ใน่เวลานั้น หวางเซิงจื่อได้รับสมญานามว่าเป็ที่หนึ่งในยุทธภพ แต่เนื่องจากหลงทางเข้าสู่ลัทธิมาร เขาจึงถูกฝ่ายธรรมะปิดล้อมและปราบปราม และใน่เวลานั้น ปี้สุ่ยซานจวงไม่ได้มีส่วนร่วมในเื่นี้ หลังจากหวางเซิงจื่อเสียชีวิต หวู่หลินประสบกับความสูญเสียอย่างหนักหน่วงเพื่อป้องกันไม่ให้ราชสำนักฉวยประโยชน์จากความว่างเปล่าต่างๆ สำนักส่วนใหญ่ต่างแนะนำจ้าวมู่เหนียนแห่งปี้สุ่ยซานจวงขึ้นแท่นเป็ผู้นำแห่งหวู่หลิน”
ยามพูดถึงเื่ดังกล่าว ดวงตาของหลิงชิงป๋อถึงกับเป็ประกาย “จ้าวมู่เหนียนมีลูกชายสองคน ลูกชายคนโตมีความสุขุม มีลักษณะของการเป็ผู้นำหวู่หลินรุ่นต่อไป ดังนั้นแต่ละสำนักต่างก็กำลังสังเกตดูแนวโน้มของทิศทางลม ส่วนลูกชายคนที่สองไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมากนัก ได้ยินมาว่าเขาไม่เคยเผยหน้าตาที่แท้จริงต่อหน้าผู้คน ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว เขาจะปิดใบหน้าด้วยหน้ากากเงินทุกครั้ง ด้วยสาเหตุนั้น ผู้คนในโลกจึงไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาเป็เช่นไร แต่สิ่งที่ทราบนั้นคือลักษณะนิสัย เขาเป็คนที่มีนิสัยรุนแรง ชอบการต่อสู้ หากกลุ่มคนลัทธิชั่วร้ายมากมายในยุทธภพถูกเขาจับจ้อง มันก็จะเกิดการทำลายล้าง แม้การกระทำของเขาเกิดขึ้นเพราะ้ากำจัดสิ่งที่เป็ภัยต่อหวู่หลิน แต่วิธีการของเขานั้นโเี้จนเกินไป และฟังดูแล้ว ก็น่าสยดสยองเป็อย่างมาก”
คำพูดนั้นค่อนข้างธรรมดาทั่วไปเป็อย่างมาก แต่เงากลับเหมือนจะตื่นขึ้น และชั่วขณะหนึ่งเขาก็เข้าใจทันที “และกลุ่มคนลัทธิชั่วร้ายเ่าั้คือกลุ่มคนที่ฆ่าหวางเซิงจื่อในเวลานั้น”
หลิงชิงป๋อเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนอุทานคำว่า “โธ่” ก่อนที่จะดื่มสุราในถ้วยภายในอึกเดียว “แทนที่จะอยู่อย่างสันโดษ คุณชายรองจ้าวก็นะ เขาซ่อนตัวตรงแทบเท้าของฮ่องเต้ เมื่อต้นเดือนที่แล้ว เขาเพิ่งตัดชีวิตของผู้นำสำนักคนหนึ่งใช่หรือไม่? ซึ่งผู้นำสำนักผู้นั้นเป็ตัวการในการยุยงให้ทุกคนฆ่าและฉกชิงพิณของหวางเซิงจื่อ”
“จากที่เ้านายพูดนั้น ผู้น้อยก็นึกถึงข่าวคราวที่ไม่อาจรับรองได้ว่าถูกต้องและน่าเชื่อถือหรือไม่”
หลิงชิงป๋อเปล่งเสียง 'หือ?' จากนั้นโบกมือบอกเป็สัญญาณให้เงาพูดต่อไป พลางยกมือขึ้นเติมสุราจนเต็มถ้วยอีกหน เงาพูดต่อไปว่า “ใน่เวลานั้น มีข่าวลือบางข่าว โดยร่ำลือกันว่า คุณชายรองแห่งปี้สุ่ยซานจวงถูกหวางเซิงจื่อรับเป็ศิษย์ แต่สิ่งนี้ก็ดูเหมือนไม่สมจริง และมีบางคนบอกว่า เป็เพราะปี้สุ่ยซานจวงไม่ได้มีส่วนร่วมในการล้อมและปราบปราม ดังนั้นผู้คนจึงปล่อยข่าวลือ เพื่อไม่ให้จ้าวมู่เหนียนดำรงตำแหน่งผู้นำหวู่หลิน”
“เื่ของการพูดโดยไม่มีหลักฐานนั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็ข่าวลือเสียทั้งหมด บางทีคุณชายรองจ้าวอาจจะเป็ศิษย์คนโปรดของหวางเซิงจื่อจริงๆ และเวลานี้คุณชายรองคนนี้ก็อยู่ใต้บัญชาเฉินเทียนหยู”
คำพูดจบลงอย่างกะทันหัน ยามนึกถึงจ้าวจื่อซินที่ขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้มู่หรงฉิงในคืนนั้น และเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ จ้าวจื่อซินที่รีบเข้ามาในจวนของเขาเพื่อจับหมอเทวดาออกไป ความกระวนกระวายเช่นนั้น ความรักเช่นนั้น รังแต่ไม่ได้มีอันตรายต่อมู่หรงฉิงเท่านั้น ทว่ายังทำร้ายตัวของชายหนุ่มเองด้วย
-------------------------
หลังจากให้เฉินเทียนหยูกินใบไม้อีกหน คนหลายคนมองดูเฉินเทียนหยูที่เ็ป พวกเขาทั้งหมดเบี่ยงศีรษะไปทางอื่นอย่างสังเวช มีเพียงมู่หรงฉิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าเตียง คอยจับมือของเฉินเทียนหยูไว้เบาๆ และพูดข้างใบหูของเขาอย่างแ่เบา โดยพยายามบรรเทาความเ็ปของเขา
ความรักของมู่หรงฉิงที่มีต่อเฉินเทียนหยูมาจากการสะสมทีละนิดในวันปกติ คล้ายสายน้ำซึ่งไหลต่อเนื่องอย่างยาวนาน มันคือความรักที่จะไม่เปลี่ยนใจไปชั่วฟ้าดินสลาย หมอเทวดาเลื่อนสายตามองดูสีหน้าย่ำแย่ของจ้าวจื่อซิน ก่อนลอบถอนหายใจอีกหน
โธ่! บาปกรรม บาปกรรม เวลานี้ เขาอยากจะถามจ้าวจื่อซินจริงๆ ว่าทำไมเ้าถึงลืมไปแล้วว่าหวางเซิงจื่อตายด้วยสาเหตุใด? เ้าลืมสิ่งที่เขาพูดกับเ้าก่อนที่เขาจะตายแล้วหรือ?
หลังจากความเ็ปของเฉินเทียนหยูบรรเทาลงเล็กน้อย หมอเทวดาจึงส่งสัญญาณให้มู่หรงฉิงหลีกทาง และเขาก็ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกหน
หมอเทวดากลับมานั่งที่โต๊ะ เขาก็พยักหน้าด้วยความโล่งใจ “เขาได้ชีวิตนี้กลับมาแล้ว เป็พรของเขาที่ได้แต่งงานกับเ้า”
“ถ้าเขาปฏิบัติต่อเ้าไม่ดี หลังจากที่อาการของเขาดีขึ้น เ้าอย่าลังเลที่จะขอยืมดาบจากจ้าวจื่อซินและปาดคอสามีโง่งมคนนี้ หลังจากนั้นใครปฏิบัติดีต่อเ้า เ้าก็แต่งงานกับคนผู้นั้นอีกหน”
คำพูดของหมอเทวดาเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงร้องไห้ด้วยความดีใจ เมื่อนางรู้ว่าหญ้าชิงโยวสามารถช่วยชีวิตเฉินเทียนหยูได้ นางจึงวางใจ ส่วนคำพูดของหมอเทวดา นางได้แต่ยิ้มโดยไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยวาจาใด
“เ้าก็อย่ามีความสุขเร็วนักเลย สามวันนี้เป็่เวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับเขา วันนี้ปวดศีรษะ พรุ่งนี้คือส่วนอวัยวะภายใน วันถัดไปคือเส้นเืทั้งตัว วันถัดไปคือส่วนกระดูกและิั และวันถัดไปต่อจากนั้นก็จะดีกว่าอยู่หลายส่วน แต่ภายในหนึ่งเดือน จะต้องตัดเล็บของเขาให้สั้นที่สุด ไม่เช่นนั้นหลังจากยาออกฤทธิ์ เขาจะเกาเนื้อเต็มแรง สำหรับ่เวลาสามวันนี้คงไม่มีอะไรที่เ้าทำได้นอกจากเบิกตามองดูเขาทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้”
มู่หรงฉิงพอใจกับความสุขและความเศร้า ขอแค่สามารถช่วยชีวิตของเฉินเทียนหยู การที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานเล็กน้อย มันคงเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
“โธ่ พิณปีศาจทำให้ข้าลืมเื่สำคัญแล้ว” หลังจากตบหน้าผาก หมอเทวดาก็จำจุดประสงค์ที่มาที่นี่ในเวลากลางดึกได้ “เ้าเคยบอกว่าจะมีคนมารักษาฝ่ามือไม่ใช่หรือ? ไม่คาดคิดเลยว่าจะมาถึงในวันนี้”
มู่หรงฉิงตกตะลึงกับคำพูดของหมอเทวดา จากนั้นนางก็คิดถึงยวี้เอ๋อร์ “วันนี้หรือ? ข้าคิดว่านางจะมาในภายหลังเสียอีก”
ใช่แล้ว นางถูกลงโทษให้คุกเข่าในห้องโถงบรรพบุรุษซึ่งมีเวลาเพียงสามวันเท่านั้น คิดว่ายวี้เอ๋อร์คงจะรอไม่ไหวแล้ว ถึงได้หาโอกาสออกจากจวนเพื่อไปหาหมอเทวดาั้แ่ในวันแรก
“ข้าจะบอกความจริงกับเ้าให้ ฝ่ามือนั่นแตกหักแหลกเช่นนั้น ข้ารักษาไม่ได้จริงๆ เ้าให้ข้าบอกว่ามันรักษาได้ ข้าทำได้แค่กัดฟันและถ่ายทอดคำพูดของเ้า แต่ถ้านางหาใครสักคนที่มีชีวิตจริงๆ และขอให้ข้ากรีดฝ่ามือและต่อฝ่ามือให้ เ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไร?” ขณะนั้นเขาพูดด้วยความรู้สึกสำนึกผิดว่า จะต้องได้มือคู่กันที่คล้ายกัน ก็เหมือนงานเย็บปัก และถ้าฝ่ามือแตกหักแหลกแล้วต้องหามือคู่หนึ่งที่เหมือนๆ กันมาประกอบเข้าด้วยกัน
การเปรียบเทียบข้างต้น มู่หรงฉิงเป็คนบอกกับหมอเทวดา ยามนั้นหมอเทวดาพูดด้วยความเคร่งขรึมจริงจังเป็อย่างมาก และบอกซ้ำว่า การรักษาในคราวนี้ไม่อาจทำได้ แต่ก็มีความเป็ไปได้ และไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเชื่อหรือไม่?
“คนที่มาพร้อมกับนางมีหลายคนใช่หรือไม่?” ยวี้เอ๋อร์ลงมือแล้วซึ่งเป็การเริ่มต้นการเล่นทุกสนามอย่างเป็ทางการ เนื่องจากคนเ่าั้ชอบที่จะดูการแสดงจากเื้ั นางถึงได้ะโลงจากเวที จากนั้น ส่งอีกฝ่ายขึ้นเวที และคอยเฝ้าดูคนทั้งหลายทำการแสดงที่ตัดสินใจเลือกได้ยาก รวมถึงฉากที่เ้านายและบ่าวมีความแค้นเคืองต่อกัน
“ผู้หญิงสองคน ถึงแม้จะสวมหมวกคลุมหน้าทั้งคู่ ถึงกระนั้นก็ยังสามารถเห็นเค้าโครงหน้าของพวกนางได้ ผู้หญิงสองคนนั้นเรียกอีกคนว่าเ้านาย”
“เ้านายหรือ? เฮอะ เฮอะ... บางคนช่างคิดว่าตนเป็เ้านายจริงๆ แล้ว” มู่หรงฉิงยิ้มอย่างเ็า นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ ผู้หญิงสองคนนั้นจะต้องเป็แม่นมจิ่นและแม่นมฟางอย่างแน่นอน
ตามที่หมอเทวดากล่าว เวลานี้แม่นมทั้งสองคนไม่สามารถช่วยไว้ได้แล้ว แต่มู่หรงฉิงกลับไม่เคยคิดที่จะทำอะไรต่อแม่นมทั้งสองคนหลังจากเื่ทั้งหมดจบลง นางจะส่งแม่นมทั้งสองคนไปยังชนบท พร้อมมอบผืนนาให้หนึ่งแปลงกับมอบไร่ผลไม้ให้หนึ่งที่ จากนั้นปล่อยให้พวกนางใช้ชีวิตบั้นปลายในวัยชราอย่างสงบสุข
“แต่ว่า…” หลังจากพูดสองคำ หมอเทวดาก็มองไปทางจ้าวจื่อซินอย่างสงสัย “เ้าใส่ยาไร้หน้าให้ผู้หญิงคนนั้นใช่หรือไม่? สิ่งนั้นขโมยมาจากหุบเขาของข้าคราวล่าสุดใช่หรือไม่?”
“ยาไร้หน้าหรือ?” มู่หรงฉิงมองไปทางหมอเทวดาอย่างฉงน นางรู้ว่าจ้าวจื่อซินได้ใส่อะไรบางอย่างไว้ในขี้ผึ้ง ส่วนมันคืออะไร นางไม่ได้ถามเลยแม้แต่น้อย คราวนี้เมื่อหมอเทวดาพูดถึงยาไร้หน้า นางก็เริ่มสงสัยขึ้นมา “ไม่ทราบว่ายาไร้หน้าคือสิ่งใดหรือ?”
“โธ่ เ้าไม่รู้จักยาไร้หน้าหรือ” เห็นว่าในที่สุดก็มีโอกาสได้พูดแล้ว เป้ยหนิงจึงนั่งลงด้านข้างมู่หรงฉิง พร้อมพูดโอ้อวดในสิ่งที่นางรู้ไม่มากนัก “ยาไร้หน้าก็เป็ไปตามชื่อของมัน นั่นคือยาไร้หน้า มีเพียงท่านอาจารย์เท่านั้นที่ปรุงยาได้ ยานั้นน่ะนะเป็ยาชนิดหนึ่งที่ทำให้เสียโฉม ขณะเริ่มใช้ใน่เวลาแรก ผิวของเ้าจะกลายเป็ผิวที่ดีมาก มันสวยมากกว่าหยกและสวยมากกว่าหิมะในฤดูหนาวเสียอีก แต่หลังจากใช้ไปเป็เวลานาน ผิวจะกลายเป็หนองจากภายในสู่ภายนอก เนื่องจากพิษจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ไขกระดูกอย่างช้าๆ ดังนั้นผู้ที่ใช้จะไม่สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ ผิวก่อนที่พิษออกฤทธิ์นั้นจะขาว นุ่ม และลื่นกว่าไข่ขาวเสียอีก”