เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่คนประเภทเ้าคิดเ้าแค้น
การที่ใครทำให้รู้สึกขุ่นเคืองแล้วต้องแก้แค้นกลับเป็ร้อยเท่าพันเท่า ชีวิตเช่นนั้นมันเหนื่อยเกินไป แต่เธอก็ไม่ใช่พระแม่ผู้ตอบแทนความเกลียดชังด้วยความเมตตา คนอื่นตบแก้มเธอ คิดร้ายกับเธอ จะให้เธอแสร้งทำเป็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรือ! จริงอยู่ว่าเธอทะนุถนอมสายใยครอบครัวที่เกิดสองชาติถึงเพิ่งจะมี ทว่าเธอก็ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อญาติพี่น้องขนาดนั้น... บ้านเหลียงคงแทบบ้าแล้ว ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำไม่ได้ [2] วันนี้เห็นฝานเจิ้นชวนถูกพาตัวไป คาดว่า่เวลาที่เหลียงปิ่งอันกับหลิวฟางต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะล้างแค้นพวกเขาคงอีกนานแสนนาน
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเป็แบบนี้ก็ดีไม่น้อย
ปล่อยให้หินก้อนนั้นแขวนอยู่บนศีรษะบ้านเหลียงโดยไม่ตกลงไป เพื่อทำให้เหลียงปิ่งอันกับหลิวฟางกินไม่ได้นอนไม่หลับ คนเห็นแก่ตัวทั้งสองควรลิ้มลองความทรมานที่สาสมแบบนี้ สำหรับบางคนแล้ว การเห็นความได้เปรียบและผลประโยชน์แกว่งไกวอยู่ตรงหน้า แต่พวกเขาไม่ได้รับเลยสักนิดเดียว ความรู้สึกนั้นทรมานยิ่งกว่าการฆ่าพวกเขาเสียอีก!
จุดประสงค์ของเซี่ยเสี่ยวหลาน ทั้งเหลียงปิ่งอันและหลิวฟางฟังออกหมดแล้ว
หลิวฟางทนรับการกระทบกระทั่งไม่ไหว “ใครอยากจะไปมาหาสู่กับบ้านเธอกัน!”
ได้คบหากับคนรักแสนดีนี่ ราวกับเลิศเลอเสียเหลือเกิน! ยิ่งเป็ผู้ชายที่เพียบพร้อม ธรณีประตูบ้านเขาจะยิ่งสูง หลิวฟางนึกถึงตนเองที่พยายามเพื่อให้ได้แต่งงานเข้าตระกูลฝานในอดีต นั่นเป็การคุกเข่าอ้อนวอนขอเข้าบ้านจริงๆ บางทีโชคชะตาอาจจะไม่ได้เข้าข้างเซี่ยเสี่ยวหลานขนาดนั้น เธอจะรอคอยตอนที่เซี่ยเสี่ยวหลานสิ้นท่า ตอนนี้เธอต้องอดกลั้นโทสะไปก่อน ในอนาคตจึงจะสามารถหัวเราะเยาะเซี่ยเสี่ยวหลานที่คว้าน้ำเหลวได้อย่างเต็มที่!
เหลียงปิ่งอันโมโหภรรยาของตนเองแทบแย่แล้ว เวลานี้จะใจเด็ดไปทำไมเล่า อะไรที่ควรพูดจาละเมียดละไมก็ควรต้องพูดสิ!
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับไม่ให้โอกาสถอนคำพูดแก่เหลียงปิ่งอันผู้หน้าทน ดึงโจวเฉิงจากไปทันที
ผู้คนในบ้านพักรับรองต่างสงสัยเกี่ยวกับห้องนี้เป็ที่สุด เมื่อครู่ทุกคนล้วนได้ยินเสียงดังขึ้นกันถ้วนหน้า มีคนถูกคุมตัวไป ทว่าในห้องยังมีคนอื่นอยู่นี่นา อยากสอดรู้สอดเห็นก็ไม่ได้ เนื่องจากชายสวมชุดสูทดำสองคนยืนจังก้าอยู่หน้าประตู ราวกับเทพทวารบาลไม่มีผิด ใครจะกล้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้เล่า
โจวเฉิงและเซี่ยเสี่ยวหลานออกมาพร้อมกัน บริกรหญิงที่ช่วยเหลือคนนั้นประชิดเข้าข้างตัวหูหย่งไฉ
“ผู้จัดการหู คุณว่าเธอ...”
หูหย่งไฉกระแอมสองที “เอาเป็ว่าจะไม่มีใครซักไซ้เื่ที่เธอลงกลอนห้องรับรอง เธอวางใจได้เต็มร้อย”
ฝานเจิ้นชวนจากเขตเหอตงถูกจับตัวไปแล้ว ในขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานออกจากห้องรับรองด้วยตนเองโดยไม่บุบสลาย ใช้นิ้วเท้าคิดก็ยังรู้ว่าฝ่ายใดชนะ บริกรหญิงจัดปกเสื้อของเธอให้เรียบร้อย “อาหารโต๊ะนั้น ฉันต้องคิดเงินกับใครล่ะคะ?”
หูหย่งไฉชี้ไปที่ห้องบนอาคาร “เธอรีบไปเสีย ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะหนี”
หนีการจ่ายเงินในบ้านพักรับรองประจำเมือง ช่างหาได้ยากยิ่งนัก!
แต่วันนี้มีการจับกุมฝานเจิ้นชวนในบ้านพักรับรองด้วยนี่นา มีคนหลบหนีการชำระเงินเพิ่มอีกหนึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก คิดได้ดังนั้นบริกรหญิงจึงพุ่งเข้าห้องทันที บ้านเหลียงทั้งสามคนยังคงต่างฝ่ายต่างกล่าวโทษกันอยู่
อธิบายอย่างถูกต้องคือเหลียงปิ่งอันและเหลียงฮวนโทษหลิวฟางว่าพูดจาซี้ซั้ว หลิวฟางเองก็เดือดดาลเหมือนกัน คว้าจานบนโต๊ะและเขวี้ยงทิ้งเละเทะไปสองใบ
อาหารเลิศรสเต็มโต๊ะยังไม่ได้ถูกแตะด้วยซ้ำ น้ำแกงผสมเข้าด้วยกัน ยังรับประทานได้อีกหรือ?
เมื่อบริกรหญิงเข้ามาก็ะโเสียงดังลั่น “พวกคุณคะ พวกคุณทำลายอาหารแบบนี้ได้อย่างไร ในโลกนี้ยังมีผู้คนมากมายที่กินไม่อิ่มท้อง นี่พวกคุณละทิ้งการประพฤติตนขยันขันแข็งและสมถะไปแล้วหรือ เป็ถึงข้าราชการของประชาชนนะ!”
กระแสความนิยมสังคมของยุค 80 นั้นเรียบง่ายสมถะจริงๆ
ยุคสมัยแห่งการขาดแคลนอาหารเพิ่งผ่านพ้นไป หากไม่จัดสรรที่ดินสู่ครัวเรือน ไม่มีทางที่ปริมาณผลผลิตจะเพิ่มขึ้นมากภายในไม่กี่ปี
กินเยอะแค่ไหนก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะ การกินเนื้อให้หนำใจคือชีวิตในฝันสากลของประชาชนทั่วไป แต่สำหรับการฟุ่มเฟือย ไม่เคยพบเจอใครทำพฤติกรรมสิ้นเปลืองแบบนี้ในบ้านพักรับรองประจำเมืองมาก่อน ต่อให้เป็การรับรองข้าราชการระดับสูง ประเภทอาหารหลากหลาย ปริมาณของอาหารก็มีจำกัดอยู่ดี จะไม่เหลือทิ้งมากเกินสมควร! ยิ่งไปกว่านั้น ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากในปัจจุบันใช้ชีวิตเรียบง่าย มาตรฐานอาหารสี่อย่างรวมน้ำแกงถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ทว่าการเอะอะก็ทำลายอาหารชั้นดีทั้งโต๊ะเช่นนี้ กระทั่งลุงของเส้ากวงหรงยังไม่ทำแบบนี้ในบ้านพักรับรองประจำเมืองเลย
บริกรหญิงจะกลัวอะไร ข้าราชการจากเขตเล็กๆ จะมาปกครองถึงบ้านพักรับรองประจำเมืองซางตูได้เชียวหรือ
เธออยากพูดอะไรก็พูด การทิ้งขว้างอาหารน่าละอายใจมิใช่หรือ!
เหลียงปิ่งอันโดนบริกรหญิงสาวสั่งสอนจนไม่อาจเงยหน้า อารมณ์กราดเกรี้ยวของหลิวฟางก็ใหนีไปแล้วเช่นกัน
เธอทำอะไรลงไปนะ ที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดในชนบทของเธอเสียหน่อย ที่นี่คือบ้านพักรับรองประจำเมืองต่างหาก
“ใครคือคุณหลิวฟางคะ คุณชำระเงินเถอะ จานชามที่แตกเสียหายก็ต้องชดใช้ด้วยเช่นกันค่ะ”
----------------------------------------
เมื่อไร้ความเครียดจากการถูกชายแก่บังคับแต่งงาน เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายยิ่งนัก
เธอกับโจวเฉิงออกจากบ้านพักรับรองประจำเมืองด้วยกัน เสียวอวี่ซ่อนตัวอยู่บริเวณใกล้เคียงโดยไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ เพราะกลัวจะโดนพบตัว เธอมาซางตูอย่างลับๆ เดิมทีอยากชมเหตุการณ์โง่เง่าของเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าพอมาถึงบ้านพักแล้วพวกเขาถามว่ามาหาใคร เสี่ยวอวี่ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา จึงไม่กล้าเข้าไป
ก่อนหน้านี้ขณะโจวเฉิงกำลังเข้าไป เสียวอวี่ตั้งใจมองทีเดียว ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาหล่อเหลามาก
ต่อจากนั้น เป็ฝานเจิ้นชวนที่ถูกคนควบคุมตัวออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยเื โดนกดศีรษะและผลักขึ้นรถ คนที่ถูกพาไปพร้อมกันยังมีคนขับรถของฝานเจิ้นชวน สภาพของเขาน่าอนาถยิ่งกว่า ขากางเกงข้างหนึ่งเปียกชุ่มไปด้วยเื ทิ้งรอยเืไว้เป็ทางอยู่บนพื้น ถูกจับยัดขึ้นรถในอาการกะเผลก
น้าหลี่ร้องไห้คร่ำครวญวิ่งตามออกมาอยู่ด้านหลัง ถามคนอื่นว่าทำไมต้องจับลูกชายของเธอ
น้าหลี่ในภาพจำของเสียวอวี่เป็คนน่าเกรงขามมากคนหนึ่ง ทุกครั้งที่มาถึงบ้าน เสียวอวี่ต้านแรงกดดันไม่ได้เลย ต้องหลบลี้หนีหาย
แต่ต่อให้เป็คนภูมิฐานน่าเกรงขามเพียงใด ยามตระหนกใฉับพลัน ก็เป็แค่คนธรรมดาเท่านั้น ฝานเจิ้นชวนทรงอำนาจ มารดาของเขาถึงมีความมั่นใจ และเป็ ‘น้าหลี่’ ที่ทุกคนในเขตเหอตงต้องพะเน้าพะนอ เมื่อฝานเจิ้นชวนโดนจับ โลกทั้งใบของน้าหลี่ล่มสลายแล้ว!
เสียวอวี่ปิดปากแน่น
จะเป็ฝานเจิ้นชวนที่โดนจับไปได้อย่างไร?
เสียวอวี่ทั้งร้อนรนและสับสนไปด้วยอีกคน ฝานเจิ้นชวนเป็ที่พึ่งพิงเดียวของเธอเหมือนกัน ถ้าไม่มีฝานเจิ้นชวน ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอจะมีชีวิตเช่นไร?
เสียวอวี่ตื่นตระหนก นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ฝานเจิ้นชวนให้เงินจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนแก่เธอ อีกทั้งยังจัดหางานให้เธอด้วย... จิตใจของเสียวอวี่สงบลงเล็กน้อย อย่าลนลาน ฝานเจิ้นชวนอาจไม่เป็อะไรก็ได้ เมื่อสักครู่ไม่มีใครใส่เครื่องแบบนี่นา ไม่ใช่เ้าหน้าที่ตำรวจเสียหน่อย
เสียวอวี่ยังอ่อนประสบการณ์ เธอไม่รู้ว่าสำหรับคนอย่างฝานเจิ้นชวนนี้ บุคคลที่ไม่สวมเครื่องแบบมาจับเขาน่ากลัวกว่าเ้าหน้าที่ที่สวมเครื่องแบบเสียอีก
ขณะเสียวอวี่กำลังไม่รู้ว่าควรไปไหนและทำอย่างไร เธอก็เห็นโจวเฉิงเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความสนิทสนมกลมเกลียว
เซี่ยเสี่ยวหลานมาถึงบ้านพักรับรองประจำเมืองก่อนฝานเจิ้นชวนกับคณะเสียอีก วันนี้เสียวอวี่ยังไม่ได้เห็นเธอเลย และถึงแม้จะเห็น แต่เธอคงจำเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ เนื่องจากเซี่ยเสี่ยวหลานแต่งกายแตกต่างจากเดิมมาก ไม่เหมือนเด็กสาวชนบทโดยสิ้นเชิง กลับดูเหมือนหญิงสาวทันสมัยที่อยู่บนหน้าปกนิตยสารแทน เสียวอวี่รู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าเหลือเกิน ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาก่อนหน้านี้ ที่แท้เป็คนรักของเซี่ยเสี่ยวหลานหรือ?
ทุกคนล้วนคือคนชนบทที่เข้าเมืองมาเพื่อหาเลี้ยงชีพกันทั้งนั้น แล้วเหตุใดเซี่ยเสี่ยวหลานถึงสุขกายสบายใจ มีโอกาสได้คบหากับชายหนุ่มที่รูปลักษณ์และอายุเหมาะสมกัน ส่วนเธอกลับต้องคลุกคลีกับคนอย่างฝานเจิ้นชวน... เซี่ยเสี่ยวหลานแค่หน้าตาสะสวยกว่าเธอไม่ใช่หรือไร! เสียวอวี่ทั้งริษยาและชิงชัง
ถ้าเธอสวยเหมือนเซี่ยเสี่ยวหลาน แม้ไม่มีฝานเจิ้นชวน เธอก็สามารถหาผู้ชายที่ดีกว่านี้ได้!
ประสาทััของโจวเฉิงไวมาก พอกวาดสายตา ก็จับจ้องที่เสียวอวี่ซึ่งกำลังซ่อนหัวแต่เผยให้เห็นหาง
“คุณผู้ชายโจว?”
เสียวอวี่ทำแบบนั้นจะหลบใครได้เล่า หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนว่องไวไม่แพ้กัน
โจวเฉิงส่ายหน้า เขาอ่านข้อมูลแล้ว คนที่หลบอยู่คือแม่บ้านสาวของฝานเจิ้นชวน—มีความสัมพันธ์ผิดทำนองคลองธรรมกับฝานเจิ้นชวน ทำให้ภรรยาคนก่อนของฝานเจิ้นชวนเจ็บช้ำจนสิ้นใจ สาเหตุที่เขาสามารถหาข้อมูลอันเป็โทษต่อฝานเจิ้นชวนได้รวดเร็วฉับไว เพราะเกี่ยวข้องกับเื่นี้ด้วยเหมือนกัน
ไม่จำเป็ต้องพูดถึงน้ำแข็งกับแมลงฤดูร้อน แม่บ้านธรรมดาเช่นนี้ โจวเฉิงี้เีเกินกว่าจะสืบค้นถี่ถ้วนด้วยตนเอง สถานะของอีกฝ่ายยังต่ำเกินไป
เชิงอรรถ
[1]夏虫不足以语冰 มิอาจพูดถึงน้ำแข็งกับแมลงฤดูร้อน เนื่องจากแมลงนั้นมีอายุสั้น แมลงในฤดูร้อนจึงไม่มีทางเคยเห็นน้ำแข็งในฤดูหนาว ดังนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบกับคนที่มีความรู้และประสบการณ์จำกัด และไม่มีความจำเป็ต้องอธิบายเหตุผลหลักการใดต่อพวกเขาให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เนื่องจากคนเ่าั้อาจไม่เข้าใจอยู่ดี
[2] 竹篮打水,一场空 ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำไม่ได้ หมายถึง เปล่าประโยชน์