ตอนที่ 10
อาเจินเวอร์ชันแมวหงอย
“เฮียคะ นิชาแวะซื้อยาลดไข้มาให้ค่ะ อะ…อ้าว”
น้ำเสียงใสของหญิงสาวถูกกลืนหายไปในลำคอแทนที่ด้วยความรู้สึกสงสัย เมื่อเดินเข้าบาร์มาแล้วยังเห็นคนทั้งสองนอนอยู่บนโซฟาตัวเดิม แม้ว่าเข็มนาฬิกาจะบอกเวลาสิบเอ็ดโมงแล้วก็ตาม ภาพที่เห็นคืออาเจินที่นอนขดอยู่ในผ้าห่มหันหน้าเข้าหาพนักโซฟา โดยมีาาในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่าไร้ผ้าห่มนอนกอดอยู่ด้านหลัง
“สิ่งที่ยัยนั่นพูดดูท่าจะจริงแฮะ”
นิชาวางถุงยาที่ซื้อมาจากร้านเภสัชไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ พลางเท้าเอวมองภาพของาาที่นอนกอดคนตัวเล็กไว้แน่น ท่าทางทุกอย่างคล้ายกับเป็ความคุ้นชินที่เคยได้ทำอยู่เป็ประจำ ดูท่าแล้วข่าวลือที่ว่าทั้งสองคนเคยเป็คบกันมานานถึงสี่ปีคงจะเป็ความจริงโดยไม่ต้องสงสัย
“ฉันเพิ่งเคยเห็นเฮียอ่อนโยนใส่ใครได้ขนาดนี้นะเนี่ย”
เอ่ยพูดอย่างอารมณ์ดีก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากบาร์ไปอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากวันนี้เธอมีธุระ่เย็นจึงต้องขอลางานหนึ่งวัน คิดว่าแวะซื้อยาเข้าไปให้เพื่อนของตัวเองสักหน่อยก็คงไม่เป็ไร ใครจะไปคิดว่าจะได้เห็นภาพหายากที่เหล่าพนักงานคนอื่นย่อมไม่มีโอกาสได้เห็นอย่างเธอแน่นอน
วันนี้นี่มันวันของเธอจริง ๆ ยัยนิชา!
พื้นที่โซฟาบริเวณกลางบาร์เหลือเพียงร่างของคนทั้งสองที่นอนแนบชิดกัน อาเจินขมวดคิ้วร้องครางออกมาเสียงเบาด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาคนอายุมากกว่า ขยับกายเบียดเข้าหาความอบอุ่นอย่างเคยชิน เป็จังหวะเดียวกันที่ร่างสูงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วจมลงสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้งโดยพร้อมกัน
.
.
.
ยามสติยังไม่ตื่นตัวเต็มที่ย่อมเป็เช่นนั้น แต่เมื่อใดที่ลืมตาตื่นมีสติครบถ้วนโดยสมบูรณ์ ความดื้อดึงของอาเจินก็ย่อมกลับมาอีกครั้ง
“ลางานซะ”
“ไม่เอา เจินจะทำงาน”
ร่างเล็กในชุดพนักงานยืนเถียงอย่างดื้อดึงทั้ง ๆ ที่ยังมีแผ่นเจลลดไข้แปะเอาไว้บนหน้าผาก คราวนี้าาที่กำลังหยิบนาฬิกาข้อมือมาใส่หยุดชะงักไป พลางช้อนสายตาขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งเรียวคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากันยามดุอีกฝ่าย
“อย่าดื้อให้มันมากนักหมวย เธอไข้ขึ้น”
“ตอนนี้เจินดีขึ้นแล้ว”
“…”
“จะ เจินกินยาแล้วด้วย”
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดเริ่มแ่เบาลงอย่างประหม่ายามถูกดวงตาคู่คมทอดมองกันอยู่อย่างนั้นจนเริ่มทำตัวไม่ถูก รู้ตัวว่ากำลังถูกดุเนื่องจากคนอายุมากกว่าเริ่มมีท่าทีจริงจังขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ กระนั้นตัวเขาก็ยังรั้นที่จะทำ…หากให้ลางานไปอยู่เฉย ๆ ก็คงไม่พ้นรู้สึกเบื่อทั้งยังต้องจมอยู่แต่กับความคิดของตัวเอง อีกทั้งก็ใช่ว่าตัวเขาจะไม่มีแรงเลยเสียหน่อย จะลางานให้เสียเงินไปทำไม
“พูดอะไรไม่เคยจะฟัง”
ทว่าในจังหวะที่เดินออกมาก็ยังไม่วายได้ยินประโยคพูดตามหลังมา คราวนี้ร่างเล็กขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง ตัดสินใจหันหลังกลับไปหาแล้วเอ่ยพูดเถียงทันที
“เจินจะเป็ยังไง เฮียไม่จำเป็ต้องสนใจก็ได้นี่”
จากที่นอนกอดกันกลมในตอนเช้า พอมาถึง่บ่ายก็กลับกลายเป็คล้ายจะทะเลาะกันอีกแล้ว อาเจินที่แม้จะยังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่สายตาก็ยังคงแอบเหลือบมองหาร่างของเ้าของร้านที่วันนี้อยู่ในชุดทำงานที่ดูเป็ทางการ กำลังนั่งคุยโทรศัพท์และดูคล้ายกำลังจะออกไปทำธุระสำคัญเร็ว ๆ นี้
“อาเจิน เดี๋ยวช่วยจับขาบันไดไว้ให้หน่อยนะ ฉันจะขึ้นไปหยิบของ้า”
“ขาเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ…เจินทำเอง เธอไปทำอย่างอื่นต่อเถอะไม่ต้องช่วยหรอก”
รีบอาสาให้ทันทีเมื่อเพื่อนร่วมงานคนดังกล่าวยังคงมีปัญหาเจ็บขาอยู่ เธอส่งรอยยิ้มให้แล้วเอ่ยขอบคุณเสียงเบาแล้วเดินไปทำอย่างอื่นต่อ ร่างเล็กยกบันไดมาตั้งวางพาดไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนจะปีนขึ้นไปจนสูง ทว่าอาจจะเป็เพราะพื้นในบริเวณนั้นที่ไม่เสมอกัน ประกอบกับวางบันไดไว้ไม่ดี เสียงดังจ้าละหวั่นดังขึ้นหลังจากนั้นเมื่อบันไดล้มลงพร้อมกับร่างของอาเจินที่กำลังร่วงลงมา
!!!
“หมวยระวัง!”
โครม!!
“เฮีย!!”
“เฮียคะ!!”
เสียงเรียกของอาเจินดังขึ้นพร้อมกับเสียงของพนักงานในบริเวณนั้นที่รีบวิ่งกรูเข้ามาหาผู้เป็นายของตนทันที ตัวเขาไม่ได้รับาเ็มากมายนัก เนื่องจากคนอายุมากกว่าวิ่งเข้ามารับก่อนจะเสียหลักล้มลงไปทั้งคู่ ข้อมือข้างขวาที่ลงถึงพื้นก่อนแล้วถูกลำตัวทับเริ่มบวมทันทีคล้ายกับมีปัญหาที่กระดูก กระจกหน้าปัดนาฬิกาที่สวมอยู่แตกร้าวเป็รอย
พลันอาเจินนิ่งไปทันที…เมื่อมันเป็นาฬิกาเรือนเดียวกันกับที่เขาเคยตั้งใจซื้อให้ในวันครบรอบสี่ปีก่อนจะเลิกรากันไป
พนักงานหลายคนเริ่มวิ่งเข้ามาดูอาการผู้เป็นายจนอาเจินได้แต่ยืนนิ่งอยู่นอกวง ปฏิเสธที่จะให้คนอื่นพาไปทำแผลเมื่อตัวเขาแทบจะไม่มีแผลเลยด้วยซ้ำ ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันแน่นยามเห็นว่าาาเริ่มขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกเจ็บ ยิ่งเห็นข้อมือของอีกฝ่ายบวมกว่าปกติก็ทำหน้าคล้ายอยากจะร้องไห้ออกมา
กระทั่งถูกไล่ให้ลุกออกไปด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด ทุกคนจึงยอมถอยแล้วแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนตามเดิม เหลือเพียงอาเจินที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมทั้งสายตาที่มองกระจกหน้าปัดนาฬิกาที่แตกร้าวสลับกับข้อมือที่ได้รับาเ็ของอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างเล็กจะตัดสินใจเดินตามคนอายุมากกว่าแล้วยื่นมาไปจับชายเสื้อไว้ ออกแรงกระตุกดึงเบา ๆ
“ไปโรงพยาบาล…”
“…”
“ไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจสักหน่อยเถอะนะ”
ดวงตาสีสวยช้อนขึ้นมองสบกัน ทั้งยังฉายแววออดอ้อนออกมาโดยไม่รู้ตัว าาเมื่อเห็นเ้าตัวทำหน้าคล้ายอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อก็ได้แต่เงียบไปก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเดินออกไปนอกร้าน มือข้างที่ไม่เจ็บกอบกุมข้อมือคนตัวเล็กให้เดินตามมาด้วยกัน อาเจินไม่เอ่ยขัดขืน เพียงเดินคอตกตามไปก็เท่านั้น
บรรยากาศภายในรถหลังจากกลับจากโรงพยาบาลตกอยู่ในความเงียบ โชคดีที่เป็เพียงอาการข้อมือซ้นเท่านั้นจึงไม่ต้องใส่เฝือกให้มากความ อาเจินละสายตาจากท้องถนนที่มีรถเต็มไปหมดหันมามองเ้าของรถที่จับพวงมาลัยมือเดียว มืออีกข้างถูกผ้าพันเอาไว้ อยากจะเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายก่อนจะหยุดชะงักไปด้วยความไม่กล้า
“จะกินอะไรไหม”
น้ำเสียงทุ้มแหบเอ่ยถามทำลายความเงียบที่มีมาตลอดทาง อาเจินส่ายหน้าไปมาเป็การปฏิเสธ ครั้นเมื่อมีคำถามใหม่ก็เอาแต่ส่ายหน้าเงียบ ๆ เท่านั้น ดวงตาเอาแต่มองมือที่ถูกผ้าพันเอาไว้สลับกับคนข้างกายด้วยใบหน้าที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัด พอถูกจับได้ก็รีบหันหน้าหนีจนาาหมดความอดทน ตัดสินใจหักพวงมาลัยจอดรถเข้าข้างทางแล้วเอ่ยพูดทันที
“กูแค่แขนเจ็บ มึงจะงอแงทำไม”
คราวนี้อาเจินช้อนสายตาขึ้นมองสบกันนิ่ง พลันดวงตาสีดำสนิททอแสงอ่อนลงทันทียามได้มองและได้ฟังคำตอบด้วยน้ำเสียงที่แ่เบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน
“…เฮียเจ็บ”
“…”
“เฮียเจ็บอะ”
คนที่เงียบไปกลับกลายเป็าาเสียเอง ยิ่งเห็นอดีตคนรักของตนทำหน้าคล้ายอยากจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อก็เริ่มมีท่าทีอ่อนลง ร่างสูงพิงศีรษะกับเบาะทั้งสายตาที่ยังทอดมองคนอายุน้อยกว่าอยู่อย่างนั้นจนอาเจินเริ่มขยับตัวขยุกขยิกไปมาอย่างทำตัวไม่ถูกยามถูกจ้องนาน ๆ ในสถานที่จำกัดแบบนี้ ก่อนจะหยุดชะงักไปเมื่อมือข้างที่เจ็บถูกยื่นมาให้ตรงหน้า
“เป่าแผลเร็ว”
แม้จะดูเป็วิธีที่ไร้สาระ ทว่ามันเป็สิ่งที่อาเจินทำมาตลอดระยะเวลาที่คบกันยามาาเจ็บตัว หากเป็ร่างเล็กในยามพยศคงจะแยกเขี้ยวใส่แล้วเอ่ยปฏิเสธกันทันควัน ทว่าในยามนี้ที่ทั้งกำลังป่วยและเป็ห่วงอดีตคนรักของตนอย่างสุดหัวใจ อาเจินในตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากแมวเหมียวที่เก็บเขี้ยวเก็บเล็บไปจนหมดยามเห็นเ้าของเจ็บตัว
มือน้อย ๆ ประคองข้อมือข้างขวาของาาเอาไว้ เกลี่ยปลายนิ้วลูบผ่านผ้าที่พันเอาไว้แ่เบา ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเป่าบริเวณที่าเ็อย่างปลอบโยน ทั้งน้ำเสียงที่เอ่ยพูดแ่เบาทว่าก็ยังคงชัดเจนมากพอให้ได้ยินกันทั้งสองคน
“…เฮียหายเจ็บนะ…”
แม้จะทั้งพูดทั้งเป่าปลอบขวัญแล้ว แต่ก็ยังไม่วายลูบข้อมือของาาอยู่อย่างนั้น ในหัวคิดมากไปหมดว่าจะเจ็บมากหรือไม่ หากถึงเวลาต้องอยู่คนเดียวแล้วจะลำบากหรือเปล่า ทุกความเป็กังวลเผยออกมาผ่านการแสดงสีหน้าอย่างชัดเจน…เพราะเอาแต่ก้มหน้ามองจึงไม่รู้ว่าคนอายุมากกว่ากำลังทำอะไรอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจึงได้รับรู้ถึงระยะห่างระหว่างใบหน้าที่เริ่มลดลง
“อย่าดื้อกับเฮียให้มากนัก”
“…” ฝ่ามือใหญ่วางประคองลงบนข้างแก้มขาวแล้วเกลี่ยนิ้วไปมาอย่างแ่เบา
“เฮียเตือนอะไรก็ฟัง”
“…”
“เข้าใจไหมหมวยเจิน”
“บันไดมันล้มเพราะเจินตั้งไว้ไม่ดี ไม่ใช่เพราะเจินป่วยสักหน่อย…อื้อ”
น้ำเสียงค่อย ๆ ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอยามร่างสูงโน้มใบหน้าลงเข้าหาป้อนััจุมพิตให้อย่างแ่เบาละเมียดละไม ปิดปากคนช่างเถียงที่แม้จะสิ้นฤทธิ์เดชแล้วก็ยังหาเื่เถียงไม่หยุด อาเจินค่อย ๆ หลับตาลง มือที่วางอยู่บนลาดไหล่กว้างออกแรงบีบขยุ้มเนื้อผ้าของอีกฝ่ายแ่เบายามร่างกายค่อย ๆ ถูกดันไปกระทั่งแผ่นหลังชิดกับประตูรถ
“เฮีย เจินป่วยอยู่…อือ”
ข้ออ้างดังกล่าวถูกเพิกเฉยไปโดยสิ้นเชิง าาวางมือที่สองข้างประคองข้างแก้มนุ่มแล้วเอียงใบหน้าให้ได้องศาเพื่อให้สามารถป้อนจูบได้อย่างถนัด ััเป็ไปอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อน ไม่สนใจว่าจะมีใครเดินผ่านรถไปหรือรอบตัวรถจะมีคนอยู่จอแจมากเพียงไหน
…เพียงถูกฉุดดึงให้ตกลงไปสู่ห้วงภวังค์อย่างเชื่องช้า เคลิบเคลิ้มต่อัันุ่มละมุนจนหลงลืมไปชั่วขณะว่าอยู่ในสถานะใดต่อกัน
…
อดีต
บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวตกอยู่ในความเงียบสงบ มีเพียงเสียงข้อนกับส้อมดังกระทบจานเป็ระยะ าาในชุดทำงานนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับอาเจินที่ยังอยู่ในชุดอยู่บ้านธรรมดา ร่างสูงช้อนสายตามองคนรักที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินก่อนจะตัดสินใจใช้ช้อนกลางตักกับข้าวไปใส่จานให้ ทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างกัน ฝั่งอาเจินที่เมื่อเริ่มถูกเข้าหาก็เริ่มมีท่าทีผ่อนคลายลงบ้าง แม้ว่าทุกอย่างจะยังดูน่าอึดอัดอยู่ไม่น้อยก็ตามที
ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันเล็กน้อยอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจค่อย ๆ หยิบการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“เจินกำลังจะได้แสดงละครเื่แรก…” เรียวนิ้วดันการ์ดใบดังกล่าวไปถึงด้านหน้าของใครอีกคน
“งานนี้เป็งานเปิดตัวนักแสดง ถ้าเฮียว่าง…”
ในใจนึกเป็กังวลว่าาาจะไม่มีเวลาอีกหรือไม่ แต่กระนั้นก็ยังคงลองเอ่ยพูดออกไป…ไม่ทันได้สังเกตว่าความเป็กังวลเื่เวลาพวกนี้เกิดขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างกันเริ่มระหองระแหง าาหันมองวันเวลาบนปฏิทิน ก่อนจะหันมาพร้อมกับประโยคที่ทำให้อาเจินเริ่มมีสีหน้าหงอยลง
“วันนั้นตอนเช้าเฮียติดประชุม บ่ายถึงเย็นต้องเข้าไปในโรงงานที่ต่างจังหวัด”
เนื่องจากเป็บริษัทเกี่ยวกับอุตสาหกรรมจึงต้องมีการเข้าไปตรวจดูโรงงานที่ต่างจังหวัดอยู่บ่อยครั้ง าาที่เป็ถึงทายาทของตระกูลย่อมต้องมีส่วนรู้ส่วนเห็นในสิ่งนี้ อาเจินกัดปากเบา ๆ แล้วก้มหน้าลงทั้งความคิดที่ติดอยู่ในหัว
…อีกแล้ว…ไม่มีเวลาอีกแล้ว…
“ไม่เป็ไร…”
เพราะมันคือความสำเร็จในอาชีพของตัวเองครั้งแรก เขาจึงอยากจะให้คนสำคัญในชีวิตของตนได้อยู่ด้วยกันในวันนั้น และาาย่อมเป็หนึ่งในไม่กี่คนที่อาเจินให้ความสำคัญที่สุด แม้จะรู้สึกน้อยใจมากเพียงใด แต่ก็ยังคงส่งรอยยิ้มไปให้แม้ว่ามันจะเป็รอยยิ้มที่ดูฝืนเต็มทน ตัดสินใจเอ่ยพูดประโยคใหม่ด้วยสายตาเปี่ยมความหวังอีกครั้ง
“อีกสองอาทิตย์จะถึงวันเกิดของเจิน”
“…”
“เจินก็เลยซื้อตั๋วไปสวนสนุกล่วงหน้าเอาไว้ แอบจองร้านอาหารเอาไว้ด้วย…ใช้วันเกิดของเจินทดแทนเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันดีไหม”
น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยพูดเริ่มสดใสขึ้น เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่คบกันมา ในวันเกิดของอาเจินย่อมเป็วันที่พวกเขาต้องอยู่ด้วยกัน อาเจินคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ในการชดเชยวันเวลาที่เสียไป เผื่อว่าความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงนี้จะกลับไปสดใสและแข็งแรงเหมือนก่อนเก่า คราวนี้าาหยุดชะงักไป มือที่จับช้อนส้อมอยู่หยุดขยับทั้งยังไม่ให้คำตอบเสียทีจนอาเจินที่ฝืนยิ้มอยู่เริ่มใจเสีย
“เฮียไม่ว่างอีกแล้วเหรอ…”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามเริ่มแ่เบาลง คล้ายกับถูกความผิดหวังเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจิตใจบอบช้ำไปหมด ดวงตาสีน้ำตาลสวยที่ทอดมองคนรักของตนเริ่มฉายแววหม่นลง แต่กระนั้นก็ยังคงตั้งตารอคำตอบด้วยความหวัง ก่อนที่ความหวังเล็ก ๆ ของตนจะพังทลายลงไปในพริบตายามได้ฟังคำตอบ
“เฮียต้องไปต่างประเทศ”
“…”
อาเจินนั่งนิ่งไปในทันที ในหัวมีแต่คำถามเช่นเดียวกับความรู้สึกน้อยใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอก คล้ายกับความอดทนที่พยายามเก็บสะสมมาถูกตัดให้ขาดสะบั้นอีกครั้ง ตัดสินใจลุกขึ้นเดินหนีโดยมีคนอายุมากกว่าวิ่งตามมาทันทีในระยะประชิด
“หมวย”
ข้อมือเล็กถูกกอบกุมเอาไว้ไม่ให้เดินหนีกันไปไหน อาเจินขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นทั้งความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณรอบกระบอกตาที่เริ่มชัดเจนขึ้น เขาพยายามทำความเข้าใจกับงานและความวุ่นวายที่าาจะต้องพบเจอ การเป็ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลใหญ่ไม่ใช่เื่ง่าย ทว่ามันก็ยังอดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี
อีกแล้วเหรอ เป็แบบนี้อีกแล้วเหรอ…ต้องรออีกแล้ว ต้องอดทนอีกแล้วเหรอ
คนอายุน้อยกว่าหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจของตนออกมาเมื่อความน้อยใจถูกเก็บสะสมมาจนใกล้จะถึงจุดสุดท้าย…จุดแตกหักของมัน
“…ทุกวันนี้เจินยังเป็แฟนเฮียอยู่หรือเปล่า”
“…”
“วันครบรอบเฮียก็ติดงาน วันสำเร็จของเจินเฮียก็ติดงาน จนจะถึงวันเกิดของเจินเฮียก็ยังต้องไปทำงานต่างประเทศอีก”
“คืองานมันก็ต้องทำไงเจิน”
“…”
“ที่พยายามอยู่ทุกวันนี้คิดว่าเพื่อใครอะ”
คนหนึ่งประสบกับความวุ่นวายและความกดดันของงานมาทั้งวันจนรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากที่จะรับความรู้สึกหนักอื่น ๆ เพิ่มมาอีก ในขณะที่อีกคนพยายามอดทนมาตลอดกระทั่งใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของตัวเอง ครั้นเมื่อพบเจอกับความผิดหวังหลายครั้งเข้า…การแบกรับความรู้สึกแล้วแอบเก็บไว้ในใจจึงเริ่มปะทุออกมาทีละน้อย
าากำลังพยายามก้าวไปข้างหน้าเพื่ออนาคตของพวกเขา
จนบ้างครั้งก็หลงลืมไปว่า การมุ่งหน้าสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็ต้นเหตุของการเผลอทำใครบางคนหล่นหายไประหว่างทางก่อนที่จะถึงเส้นชัย
“ถ้าบอกว่าเพื่อเจิน…ถ้าอย่างนั้นเฮียบอกเจินได้ไหม”
“…”
“ตอนนี้เฮียเอาเจินไปไว้ตรงไหน…”
ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่าเบลอเมื่อม่านหยาดน้ำตาเข้าบดบัง แต่ถึงอย่างนั้นอาเจินก็ยังคงพยายามที่จะอดกลั้นมันเอาไว้ให้มากที่สุด เขาไม่อยากร้องไห้ออกมาให้คนรักรู้สึกเหนื่อยมากกว่าเดิม แต่ตัวเขาในตอนนี้ก็แบกรับความรู้สึกน้อยใจของตัวเองจนรู้สึกเหนื่อยไม่ต่างกัน ดวงตาสีดำสนิทของาาอ่อนแสงลงแล้วยื่นมือมาจะจับแก้มของคนอายุน้อยกว่า ทว่าในคราวนี้อาเจินกลับก้าวเท้าถอยหลังหนี
“ภาพที่เฮียเห็นอาจจะเป็อนาคตของเรา แต่เจินเห็นภาพตัวเองที่ต้องอดทนไปเรื่อย ๆ อดทนไปจนถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
เขารู้ว่าาากำลังพยายาม…แต่นั่นไม่ใช่ความพยายามที่เขา้า
“เจินไม่ได้อยากได้เ้าของบริษัท ไม่ได้อยากได้คนที่มีชื่อเสียงที่สุด อะไรพวกนั้นจากเฮียเจินไม่อยากได้เลย”
“…”
“เจินแค่อยากได้เฮียคนเดิมกลับมา”
ดวงตาสีสวยช้อนขึ้นมองสบกันอีกกครั้ง หยาดน้ำตาไหลอาบข้างแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ แม้ว่าจะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะอดกลั้นมันเอาไว้ อาเจินยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง แต่ก็ไม่อาจสามารถบดบังความเสียใจและผิดหวังที่ปรากฏอยู่ในสายตาได้เลยแม้เพียงนิด
แก้วใบเล็กที่เคยสมบูรณ์แบบ ในวันนี้กลับเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว…รอคอยให้ถึงวันที่มันกำลังจะแตกสลายลง
“ไม่ต้องมีเวลาให้เจินตลอดเหมือนแต่ก่อนก็ได้ แต่แค่เจียดเวลากับความสำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้เจินบ้างก็ยังดี…”
…
ปัจจุบัน
สองวันต่อมา
“อาเจินไม่มาทำงานเหรอ”
“เห็นว่าอาการไม่ค่อยดีก็เลยเข้าไปแอบพักอยู่ในห้องพักพนักงานค่ะเฮีย”
“ไข้ขึ้น?”
“ใช่ค่ะเฮีย ไข้ขึ้น”
เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง วันนี้ตัวเขาเข้าบาร์ค่อนข้างดึกเนื่องจากติดธุระข้างนอก ครั้นเมื่อได้รู้ข่าวเกี่ยวกับอาเจินก็เปลี่ยนเส้นทางเดินตรงดิ่งไปยังห้องพักพนักงานทันที นิชาได้แต่รีบก้าวเท้าเดินตามไปแล้วละล่ำละลักพูดเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเ้านายของเธอมีนัดคุยกับแขกในวันนี้
“ละ แล้วแขกที่นัดคุยไว้ล่ะคะเฮีย”
“ยกเลิกไป”
เอ่ยตอบอย่างไม่สนใจ ทำเอาหญิงสาวได้แต่หยุดชะงักแล้วอ้าปากพะงาบ ๆ อย่างแทบไม่เชื่อหูต่อสิ่งที่ได้ยิน ประตูห้องพักพนักงานถูกเปิดออก ก่อนจะพบกับร่างเล็กของอาเจินที่นอนขดอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ทั้งข้างขมับและบริเวณหน้าผากที่เริ่มมีเหงื่อซึมออกมาเต็มไปหมด ชายหนุ่มรีบตรงดิ่งเข้าไปช้อนอุ้มอีกฝ่ายในท่าเ้าสาวแล้วพาขึ้นไปบนห้องส่วนตัวของตนทันที
“ทำไมเป็หนักกว่าเดิม”
“วันนั้นหลังเลิกงานเห็นอาเจินก้มหน้าก้มตาพยายามซ่อมนาฬิกาทั้งคืนเลยค่ะ ดูตั้งใจมากก็เลยไม่มีใครกล้าห้าม”
คำตอบของนิชาเป็ผลให้เริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทันทีที่ร่างของอาเจินถูกวางลงบนเตียงนอนนุ่มกระเป๋าที่ติดตัวทุกช่องก็ถูกค้นทันที ก่อนจะพบกับนาฬิกาข้อมือของตนที่ถูกซ่อมเปลี่ยนทุกอย่างให้อย่างดีแม้ว่ามันจะเสียหายจนแทบใช้ไม่ได้แล้วหลังจากเกิดอุบัติเหตุ…เป็นาฬิกาที่อาเจินตั้งใจให้ในโอกาสวันครบรอบสี่ปี
...าายังคงใส่นาฬิกาเรือนเดิมที่อาเจินให้
เช่นเดียวกันกับอาเจินที่พยายามซ่อมนาฬิกาเรือนนี้อีกครั้ง แม้สภาพของมันจะไม่ได้ดีมากเหมือนเดิมแล้วก็ตามที
“บอกว่าให้เอาไปให้ร้านซ่อมก็ไม่ยอม บอกว่าต้องซ่อมเองเท่านั้น”
ดวงตาสีรัตติกาลอ่อนแสงลงยามหลุบลงมองร่างของคนที่นอนกระสับกระส่ายไปมาเล็กน้อยด้วยพิษไข้ อาจเป็เพราะพักผ่อนน้อย เพราะเอาแต่พยายามซ่อมนาฬิกาเรือนนี้จนอาการป่วยที่ใกล้จะดีขึ้นเริ่มกลับมาหนักอีกครั้ง ร่างสูงโบกมือไล่นิชาออกไปเมื่อได้ทั้งยาและอุปกรณ์เช็ดตัวตามที่้า ไร้ซึ่งคำพูดที่เอ่ยออกมา…จนยากที่จะคาดเดาว่าคนอย่างาากำลังคิดอะไร
ระยะเวลาผ่านไปนานหลายนาที อาเจินเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อรับรู้ถึงความชื้นของผ้าเช็ดตัวที่ััไปตามผิวกายของตน ดวงตาสีน้ำตาลสวยปรือปรอยขึ้นเล็กน้อย เห็นภาพเลือนรางของาาที่นั่งเช็ดตัวให้กันอยู่ ก่อนจะหลุบลงมองข้อมือของอีกฝ่ายที่ยังมีผ้าพันเอาไว้ มือน้อย ๆ วางลงบนส่วนที่ข้อมือซ้นแล้วเอ่ยถามเสียงแหบพร่า
“เจ็บไหม…”
ร่างสูงยังไม่เอ่ยตอบ ทว่ากลับใช้เรียวนิ้วเกลี่ยเส้นผมเปียกชื้นที่ตกลงปรกใบหน้าออกให้อย่างถนอม ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมากดจุมพิตลงบริเวณเปลือกตาสีมุกอย่างแ่เบา ท่อนแขนของอาเจินถูกผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดให้อีกครั้ง เป็จังหวะเดียวกันที่คนป่วยเหลือบไปเห็นนาฬิกาข้อมือที่เขาพยายามซ่อมได้กลับไปอยู่บนข้อมือเ้าของตัวจริงของมันแล้ว
เพราะพิษไข้ที่ส่งผลให้เริ่มมีสติอยู่น้อยนิด
แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้งคือภาพความทรงจำที่เขาเคยทะเลาะกันก่อนที่ความสัมพันธ์จะมาถึงจุดแตกหัก
“ตอนนี้เฮียมีเวลาให้เจินหรือยัง…”
คำพูดดังกล่าวเป็ผลให้าาหยุดชะงักไป ภายในดวงตาคมของคนที่ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจในยามนี้กลับแฝงไปด้วยความเ็ปอยู่ในนั้น…ใครจะไปรู้ ว่าคนที่ไม่เคยใส่ใจในรายละเอียดอะไรเลยอย่างาา จะสามารถจดจำทุกคำพูดในวันนั้นได้เป็อย่างดี
“เจินไม่ได้อยากได้เ้าของบริษัท ไม่ได้อยากได้คนที่มีชื่อเสียงที่สุด อะไรพวกนั้นจากเฮียเจินไม่อยากได้เลย”
“…”
“เจินแค่อยากได้เฮียคนเดิมกลับมา”
ฝ่ามือใหญ่วางลงบนข้างแก้มชาวชื้นเหงื่อแล้วเกลี่ยนิ้วไปมา เป็จังหวะเดียวกันที่อาเจินซุกใบหน้าเข้าหาความอบอุ่นตามสัญชาตญาณ มือน้อย ๆ ยกขึ้นวางประกบกับหลังมือของอีกฝ่าย ทั้งดวงตาสีสวยที่ปรือปรอยขึ้นมองกัน แม้จะถูกพิษไข้เข้าเล่นงาน…ทว่าสติและจิตใต้สำนึกก็ยังคงทำงานพอให้รู้ตัว
“เฮียกลับมาหรือยัง”
“…”
“กลับมาเป็าาคนเดิมแล้วหรือยัง…”
“…กลับมาแล้วยังไง ในเมื่อมันเสียเธอไปแล้ว”
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดทั้งแ่เบาและโอนอ่อนอย่างที่คนแข็งกระด้างอย่างาาไม่เคยใช้มันพูดกับใคร ดวงตาสีรัตติกาลอ่อนแสงลงยามทอดมองใบหน้าของคนใต้ร่างที่ยังคงพยายามประคองสติเพื่อรับฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงเข้าหาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดประโยคหนึ่งออกไป
ประโยคที่แสดงให้รู้ว่าผู้ชายอย่างาายังอยากจะกลับไปอยู่ในความสัมพันธ์นี้อีกครั้ง และไม่เคยอยากจะก้าวออกมาจากวังวนของกันและกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“ยังอยากให้โอกาสไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนี้อยู่ไหม?”
เกิดความเงียบสงบโอบล้อมรอบกายระหว่างกัน ก่อนที่คนอายุมากกว่าจะโน้มใบหน้าลงเข้าหา กดริมฝีปากจุมพิตลงบนหน้าผากมน ลงมาถึงเปลือกตาสีมุกแล้วกดจูบที่ปลายจมูกโด่งรั้นอีกหนึ่งครั้งแ่เบาทิ้งท้ายแล้วจึงผละออก ภายในดวงตายังคงสะท้อนภาพของอาเจินที่ยังคงนอนกอดมือของเขาไว้แน่น
“หายป่วยไว ๆ นะตัวเล็ก”
...
“เจินไม่ได้อยากได้เ้าของบริษัท ไม่ได้อยากได้คนที่มีชื่อเสียงที่สุด อะไรพวกนั้นจากเฮียเจินไม่อยากได้เลย...เจินแค่อยากได้เฮียคนเดิมกลับมา”
- อาเจิน -
...