นี่คือซิวลัวที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
นอกจากจะถูกโค่นล้มราบคาบเท่านั้น
หอกไน่เหอกรีดร้องไม่หยุดหย่อน หมาป่าอสูรก็คำรามขู่แข่ง
โลหิตสาดกระเซ็น
กระดูกแหลกละเอียด
หมาป่าอสูรดำล้มตายเป็ผักปลา จากนั้นพลังปราณใต้หล้าจากศพของพวกมันก็ล่องลอยออกมาเป็สาย รวมกันอยู่ในกายของเ่ิู
นี่เองคือรางวัลของสมรภูมิ
ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องนี้เป็โลกที่สร้างขึ้นจากองค์ประกอบแห่งวรยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็จอมยุทธ์อักขระ ทหารปีศาจอักขระหรือปีศาจอักขระ ล้วนเป็ส่วนประกอบพลังแห่งอักขระทั้งสิ้น มิใช่สิ่งมีชีวิตที่มีกายเนื้อและิญญา แต่เป็กลุ่มก้อนพลังงานที่ประกอบขึ้นจากอักขระนั่นเอง
เพียงแต่ว่าศิลปะอักขระประเภทนี้ลึกซึ้งและสูงส่งยิ่ง เหนือกว่าที่คนระดับเช่นเ่ิูจะจินตนาการไว้มากนัก ดังนั้นเมื่อหมาป่าอสูรถูกฆ่า ถึงได้มีเืสาดกระเซ็นเสียโชก เหมือนจริงยิ่งกว่าอะไรดี
ทว่าสุดท้ายก็จะกลายเป็พลังอักขระกลับสู่สมรภูมิส่วนหนึ่ง เข้ากายภายในของผู้สังหารเป็รางวัลส่วนหนึ่ง
วรยุทธ์อักขระที่จักรพรรดิอักขระลัวซู่ทรงสถาปนาขึ้นมานั้น เกือบจะเรียกได้ว่าประเสริฐเยี่ยงเทพ มีอิทธิพลและความสามารถมากพอจะเปลี่ยนโลกทั้งโลกได้เลย
ทุกครั้งที่สังหารหมาป่าอสูรตัวโต เ่ิูจะรู้สึกได้ทันทีถึงกำลังภายในที่สูญเสียไปที่กำลังเติบโตและฟื้นฟูทดแทนอย่างไม่หยุดมือ
นี่ก็เป็เหตุให้เขายืนหยัดต่อสู้ในสนามรบอันดุเดือดเืกระเซ็นนี้ได้เช่นกัน
ทว่าร่างกายของเด็กหนุ่มนั้น อย่างไรก็หลีกลี้าแมิได้อยู่ดี
มีมีดลมแฉลบผ่านแนวป้องกันของหอก แทงเข้าร่างเขา ตัดผ้าขาดสะบั้น ทิ้งเป็แผลเืไหลบนร่าง
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี อาภรณ์บนร่างเขาก็ขาดรุ่งริ่งจนหมด เนื้อหนังที่เปล่าเปลือยประหนึ่งถูกมีดเล็กคมกริบตัดเข้าอย่างไรอย่างนั้น ปากแผลเปิด ส่งโลหิตหลั่งไหลออกเป็สาย
หมาป่าอสูรสองหัวและสามหัวที่พลังแข็งแกร่งกว่าเดิมก็เริ่มปรากฏกาย
รูปร่างส่วนหัวที่แตกต่างนำมาซึ่งการพ่นเปลวแสงต่างกัน มีทั้งลมพิษ ไฟแผดเผา ความหนาวเหน็บ สารพัดวิธีการฆ่าให้ได้เลือก สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับน้ำพุิญญาแล้วก็ถึงตายได้เช่นกัน เ่ิูหลบลี้การกระโจนเข้าใส่ของพวกหมาป่าอสูรดำั์ พร้อมกับจดจ่อไปทางการโจมตีด้วยพลังปีศาจของพวกหมาป่าั์ที่อยู่รอบนอก
การต่อสู้เช่นนี้กินเวลาไปสองชั่วโมงเต็ม
ท้ายสุดแล้ว หมาป่าอสูรแห่งหุบเขาหมาป่าอสูร ก็ถูกสังหารล้างบาง
เ่ิูเืโชกไปทั้งตัว ราวกับถูกตัดมือตัดเท้าปะาชีพมา บนกายเขานั้นนอกจากส่วนศีรษะก็แทบไม่มีเนื้อหนังส่วนไหนดูดีเลย ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่เื ไม่รู้ว่าเป็ของพวกหมาป่าอสูรหรือของตัวเองกันแน่...
“บ้าเอ๊ย ในสมุดนั่นก็ไม่เห็นบอกว่าท้าสู้หมาป่าอสูรจะลำบากขนาดนี้ อีกนิดก็จะถูกพวกมันทั้งฝูงฉีกเป็ชิ้นแล้วไหมเล่า...” าามารเย่ยังคงหลงเหลือความหวาดผวากับเื่ที่เพิ่งเกิดขึ้น
เขาอาศัยยึดหอกไน่เหอที่ปักไว้กับพสุธา ถึงบังคับตัวเองให้ยืนขึ้นได้ เด็กหนุ่มลูบหน้าตนแล้วถอนหายใจ “ยังดีที่ข้าปกป้องใบหน้านี้ไว้สุดความสามารถ รูปลักษณ์หล่อเหลางามสง่าถึงได้แคล้วคลาด...”
นับจากก้าวแรกที่เขาเหยียบเข้ามาในหุบเขาหมาป่าอสูร นับเป็เวลาสองชั่วโมงเต็ม
เ่ิูทำได้แค่นับว่ามันเป็ชัยชนะที่เสี่ยงนัก
โชคดีที่กำลังภายในที่เขาฝึกนั้นคือวิชาลมหายใจไร้ชื่อ ยืดเวลายืนยาวนามนม และยังการเผชิญหน้ากับวิชาดัชนีทั้งซ้อมทั้งตีของเ้าแก่นั่นไม่รู้กี่รอบ ความแข็งแรงถึงได้ก้าวข้ามคนขั้นเดียวกันไปไกล เด็กหนุ่มถึงดันทุรังผ่านมาจนได้
ไม่เช่นนั้นแล้ว กับนักยุทธ์คนอื่นระดับเดียวกันกับเขามาเอง น่ากลัวว่าจะเผาพลังภายในจนเกลี้ยงคลัง หมดพลังโดยสิ้นเชิง ชีวิตก็คงจะสิ้นอยู่เป็ศพประดับหุบเขาไปแน่ๆ
หลังสูดลมหายใจเข้าปอดลึกสองสามรอบ เ่ิูก็ล้มตัวลงนั่งบนซากศพหมาป่า เริ่มฝึกฝนทั้งท่านั่ง ฟื้นฟูพลังให้กลับคืน
วิชาลมหายใจไร้ชื่อเริ่มโคจร พลังปราณใต้หล้าจากทั้งหุบเขาพลันตรงเข้ามาหาหนุ่มน้อย ผู้นั่งขัดสมาธิอยู่กลางทะเลเืในบัดดล
กลางโลกตันเถียน วารีบริสุทธิ์แห่งพลังในน้ำพุตาแรกใช้ไปตกเก้าส่วน เริ่มกลับคืนเป็เช่นเดิมเชื่องช้า น้ำพุตาที่สองยังมิสำเร็จลุล่วง วารีพลังของมันจึงแห้งเหือดสิ้นคราบ
“ในสมรภูมินี้ ความเร็วในการฟื้นพลังต้องมากกว่าภายนอกอย่างน้อยหกเท่า...” เ่ิูรู้ถึงข้อแตกต่างได้ในเวลาพักเดียว
นี่ก็หมายความว่า การฝึกฝนในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องนี้ย่อมเร็วกว่าโลกภายนอกมากนัก...นี่จึงเป็อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนมากมายกัดแก่งแย่งชิงเพื่อให้ได้เข้ามาในสมรภูมิ
พลังปราณใต้หล้าไหลวนรวมกายดั่งวังน้ำวนในหุบเขาหมาป่าอสูร
บนนภามีกลุ่มเมฆพลังเคลื่อนคล้อยลงต่ำ ประหนึ่งกรวยเมฆลอยอย่างไรอย่างนั้น มันปกคลุมทั่วหุบเขาไว้ใต้อาณัติ และใจกลางนั้นก็คือร่างอันเล็กจ้อยของเ่ิู
ภาพนี้ช่างอัศจรรย์พันลึกนัก
กรวยเมฆลอยสูงหลายพันเมตรนั้นโคจรล้อมรอบอย่างรวดเร็ว ที่สุดก็เป็ดั่งมัจฉาพ่นวารี ทุกสิ่งอย่างซึมเข้าไปสู่ร่างกายเ่ิู มีพลังปราณใต้หล้ามารวมตัวกันจากทั่วสารทิศ ล่วงเข้าไปในร่างอย่างไม่หยุดหย่อน...
เกินจักจินตนาการได้ว่าไฉนร่างกายเล็กจ้อยนั้นถึงได้รับพลังปราณใต้หล้ามหาศาลเพียงนั้นไว้ได้
และภาพนี้ในสายตาคนอื่นๆ ก็เป็ความตื่นตระหนกในอัตราความเร็วอันน่าทึ่งของการสูบฉีดนั้นด้วย
...
ศาลาขึ้นฟ้า
“เก็บกวาดหุบเขาหมาป่าอสูรเกลี้ยงแล้ว!”
“แต่มีผลอะไรกับแพ้ชนะกันเล่า?”
“ความกล้าน่ายกย่อง แต่การไปเสียเวลาอยู่กับพงไพรไพศาลนั่น มันจะโง่เกินเยียวยาแล้ว!”
มีนักเรียนบางคนพูดคุยกันแ่เบา
ภาพจากอักขระบนท้องนภาเหนือเศียรนี้ฉายสถานการณ์การกระทำของเ่ิูไว้ ศึกครั้งใหญ่ในหุบเขาหมาป่าอสูรทำให้ศิษย์ตัวแทนมากมายหวาดกลัวไม่ใช่เล็กๆ ความกล้าหาญของเ่ิูทำพวกเขาใอยู่ลึกๆ ทว่าก็ยังเก็บอาการไว้ได้
จนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าการกระทำทั้งหมดของเ่ิูจะส่งผลต่อแพ้ต่อชนะครานี้ได้อย่างไร
และเมื่อเห็นความเร็วในการสูบพลังิญญาจากใต้หล้าที่น่าอ้าปากค้างตาถลนแล้ว พวกเขาล้วนแข็งทื่อกันหมด เริ่มริษยาอย่างไม่อาจหักห้าม
“เื่บ้าอะไรเนี่ย? หรือในพงไพรจะมีการเพิ่มพูนแบบพิเศษอยู่ด้วย?”
“สูบพลังปราณใต้หล้าเร็วขนาดนี้ เร็วเกินไปแล้ว!”
“ความเร็วระดับนี้...คงไม่ธาตุไฟเข้าแทรกหรอกนะ?”
หานเซี่ยวเฟยและเี๋เี่าสบตากัน ต่างก็เห็นแววตระหนกในั์ตาอีกฝ่าย
พวกเขาเป็ศิษย์ปีสี่ มิได้เป็ครั้งแรกที่เข้าสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ระดับความเข้าใจเื่สนามรบต้องรู้ชัดเจนมากกว่าปีหนึ่งหลายเท่า ทว่ากลับไม่อาจฟันธงได้ว่าการฝึกในพงไพรจะทำให้เพิ่มพูนความเร็วสู่สัมฤทธิ์ผลได้จริงหรือไม่
เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเข้าสมรภูมิหุบเขาปัดป้องนี้มาห้าครั้ง และไม่มีสักครั้งที่ย่างก้าวเข้าพงไพร
ในห้องเรียนของสำนักกวางขาว เหล่าคณาจารย์ล้วนให้คำแนะนำอย่างหนึ่งคือ ‘หลีกให้ห่างพงไพร’ เพราะการเสี่ยงอันตรายซึ่งไม่อาจรู้ล่วงหน้า ย่อมมิอาจสู้แผนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ระหว่างทางในถนนหุบเขาสามสาย
อาจารย์าุโที่ตำหนิเ่ิูอย่างรุนแรงไปก่อนหน้าก็เริ่มหน้าแดง
ตอนนี้แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าในพงไพรนั้นมีประโยชน์อะไรกันแน่
วัฒนธรรมของสำนักกวางขาวแต่ไหนแต่ไรมา ล้วนแล้วแต่คืออยู่ให้ห่างจากพงไพร
บางครั้งมีศิษย์ที่ไม่ฟังคำบางคนริลองเข้าพงไพร ผลคือตายจากอันตรายหลายรูปแบบในที่แห่งนี้ กระทั่งโอกาสจะสู้ศึกกับศัตรูยังไม่มี ดันตายน้ำตื้นในเขตอันตรายของสัตว์อสูร เหมือนจะตรงกับทฤษฎีที่เหล่าคณาจารย์กำชับกำชานัก
แต่ว่าตอนนี้...
เหล่าอาจารย์าุโไม่อาจส่งเสียงหรือแสดงสีหน้า ใจนั้นเล่าเริ่มสั่นคลอนบ้างแล้ว หรือในพงไพรนั้นจักแอบซ่อนความหมายอันลึกซึ้งซึ่งพวกเขาไม่เคยหยั่งถึง?
ทันใดนั้นเอง ภาพอักขระก็พลันเปลี่ยนไปสถานที่อื่น
แสงเืพุ่งกระฉูด ดุจอัคคียิงกระหน่ำสี่ทิศทาง
เหล่าศิษย์พลังต้อยต่ำยังไม่ทันมองอะไรทัน ก็เห็นศึกอันโหดร้ายบนถนนหุบเขาสายอีสานจบสิ้นลงแล้ว
กลางภาพสะท้อนนั้น เซี่ยโหวอู่ผู้เพิ่งตะลุยเข้าประหัตปะาเหล่าทหารอักขระและทัพปีศาจ นอนจมอยู่บนกองเื ตายสนิท ิญญากลายเป็ลำแสงตรงหายไปยังทิศกองบัญชาการ...
เซี่ยโหวอู่ตายแล้ว!
คนที่ลงมือคือบุรุษอายุอานามประมาณสิบเอ็ดสิบสอง กายสวมอาภรณ์ของสำนักหงส์ฟ้า รูปหน้าหล่อเหลามีปานสีแดงสดอยู่กลางหว่างคิ้ว มือถือกระบี่เล่มยาว แสงแลบแล่นโอบล้อมเรือนกาย
กระบี่เดียวตายโหง
หนุ่มน้อยปานแดงนี้แต่งสีหน้าดูแคลน สบายอารมณ์ราวกับทำเื่ธรรมชาติๆ ทำแม้กระทั่งเหยียบย่ำลงบนศพเซี่ยโหวอู่ เช็ดเืที่เปื้อนกระบี่กับศพจนสะอาดเอี่ยม เขาส่ายหน้า กระตุ้นกระบี่งามในบัดดล ศาสตราวุธส่องแสงวับวามราวหิมะเปลื้องนภา ทหารอักขระหลายสิบคนหลอมละลายเป็เถ้าถ่าน พลังงานเป็บำเหน็จสิงสู่ภายในกายเขา
หนุ่มขบเผาะผู้นี้ ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
ทว่าเมื่อปรากฏตัว กลับสังหารเซี่ยโหวอู่แดดิ้นในพริบตา
ระยะห่าง ช่างไกลโพ้นเหลือเกิน
หมู่ชนในศาลาขึ้นฟ้าเมื่อเห็นภาพบาดตา ฉับพลันเงียบเป็เป่าสาก
ศพของเซี่ยโหวอู่ถูกหยามเหยียด ฝ่ายตรงข้ามกำลังยั่วโทสะ และความเงียบของพวกเขาก็หาใช่ไม่โกรธหรือไม่เกลียดชัง ทว่าเป็เพราะความอัปยศและถูกยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่านี้ พวกเขาก็ได้รับจากการประลองสามศึกก่อนระรัวจนนับไม่หวาดไม่ไหว
เหล่าคณาจารย์แห่งสำนักกวางขาวก็สีหน้ามืดมัว ท่าทีทรุดโทรมหนัก
ลูกศิษย์ที่สู้อุตส่าห์อบรมสั่งสอนมาอย่างยากลำบาก ในสายตาพวกเขาแล้วล้วนคืออัจฉริยะอนาคตไกลทั้งสิ้น เป็ไม้คานของบ้านนามว่ากวางขาว เป็ที่ๆ พวกเขาฝากฝังความหวังอันมากล้นไว้ ใครเล่าจะไปนึก ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์สำนักหงส์ฟ้าแล้ว จะกลายเป็เหมือนเด็กทารกร้องอ้อแอ้ๆ ไร้กำลังจะทัดทานใดๆ
ทรุดโทรมหมดท่าขนาดนี้แล้ว ไยจะไม่ทำใจคนเ็ป
กลางหมู่คนนั้น มีเพียงเ้าสำนักและหัวหน้าหมวดปีหนึ่งหวังเยี่ยนเท่านั้นที่ไม่แสดงออกสีหน้าใด ไม่ยินดีปรีดาหรือหวั่นไหว เพียงเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับภาพอักขระเท่านั้น สุดจะหยั่งรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เฮ้อ แพ้ราบคาบ แข่งขันใหญ่ขนาดนี้...ถึงไม่ดูก็จบอยู่ดี!” อาจารย์าุโท่านหนึ่งทอดถอนใจยาว เขาหันหลังจะลาจาก ด้วยหมดอาลัยตายอยากเต็มที
ยังมีอาจารย์หลายคนที่สีหน้าหมดหวังไม่ต่างกันกำลังหันหลังกลับ
“ลูกศิษย์ที่สอนสั่งมากับมือ ตัวแทนที่เลือกแล้วกับมือ แม้จะถูกคนเหยียบย่ำจมโคลนตม ก็ต้องดูการแข่งของพวกเขาให้จบ” สายตาเ้าสำนักยังคงจดจ้องภาพอย่างไม่สะทกสะท้าน น้ำเสียงที่เอ่ยหนักแน่นยิ่งนัก “ไม่อนุญาตให้ไป”