เหนียนยวี่เดิมที้าจะตอบออกไปแบบไม่ใส่ใจ ทว่าจู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างได้ นางตื่นใไปทั้งตัวและได้สติขึ้นมาทันที
แต่งงานหรือ?
"ท่านอ๋องมู่ถามข้อนี้ไปทำไมหรือเพคะ?" เหนียนยวี่เหลือบมองจ้าวอี้อย่างระมัดระวัง ประกายในดวงตาของเขา ทำให้หัวนางมึนงงเล็กน้อย
เหนียนยวี่กลืนน้ำลายและเบนสายตาออกไม่สบตามองเขา ทว่าทุกอณูในร่างกาย ่ขณะนั้นเต็มไปด้วยความระแวดระวังในตัวท่านอ๋องมู่ผู้นี้
ท่าทีที่จ้าวอี้มองนาง ตบหัวนางเบาๆ อย่างขุ่นเคือง“ท่าทีตอบสนองของเ้านั่นมันคืออะไรกัน? เปิ่นหวางไม่เอาเ้าไปขายแน่เปิ่นหวางเป็เปี่ยวเกอของเ้าใส่ใจเื่งานแต่งของเ้าก็ย่อมเป็เื่ปกติธรรมดา เ้าลองบอกมาสิว่าเ้าชื่นชอบบุรุษแบบใดเปี่ยวเกอจะคอยเฝ้าระวังให้เ้า"
เหนียนยวี่มุมปากกระตุก ชอบบุรุษแบบใดงั้นหรือ?
ใบหน้าหนึ่งผุดขึ้นในหัวนางครู่หนึ่งเหนียนยวี่ขมวดคิ้ว โบกมือไล่เงาร่างในหัวออกไปทันที เงยหน้าดื่มสุราไปอึกหนึ่งและพรวดพราดลุกขึ้นจากไปโดยพลัน
"นี่เสี่ยวยวี่เอ๋อร์..."
ท่าทีตอบสนองของเหนียนยวี่อยู่เหนือความคาดหมายของจ้าวอี้ เขาลุกขึ้นตามไปทว่าเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็หยุดชะงัก
"นาง...หรือว่า..."จ้าวอี้คาดเดาขึ้นในหัว
แท้จริงนางมีคนที่ชอบแล้วงั้นหรือ?
คนผู้นั้นคือใคร?
คิ้วของจ้าวอี้ยับย่นขึ้นทันใดไร้จิตใจจะดื่มสุราต่อ เขาโยนไหสุราในมือลงไปในแอ่งน้ำด้านหลังตามอำเภอใจสีหน้าจริงจังน่าเกรงขาม ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่หนึ่งและบ่นพึมพำๆ"เพิ่งจะปักปิ่นไป ไม่ถูกต้อง เสี่ยวยวี่เอ๋อร์เพิ่งจะอายุแค่สิบห้าปีเห็นได้ชัดว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ จะแต่งงานเร็วเกินไปได้อย่างไร การแต่งงานเร็วเกินไปแท้จริงนั้นไม่ดียิ่งกว่านั้นการเลือกสามีสักคนก็ต้องรอบคอบ!"
จ้าวอี้ยังคงส่ายหัวไม่หยุด รีบตามนางไปทันที
เมื่อมาถึงลานเซียนหลาน ก็พบว่าในลานเซียน นอกจากเหนียนยวี่แล้วเหนียนอีหลานก็อยู่ด้วย
เหนียนอีหลานเห็นจ้าวอี้ ก็ทำความเคารพอย่างสุภาพแทนที่จะเดินกรีดกรายไปข้างหน้าจ้าวอี้ตามปกติ กลับดึงเหนียนยวี่เข้าไปคุยไม่หยุด
จ้าวอี้แต่ไหนแต่ไรไม่เคยรู้สึกเลยว่าเหนียนอีหลานนั้นขวางหูขวางตา มีหลายครั้งที่อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเหนียนยวี่ทว่าในที่สุดก็ยอมแพ้ รออีกสักพักก็กลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ท่าทีลังเลอยากจะพูดแล้วชะงักไปของเขาอยู่ในสายตาของเหนียนยวี่และเหนียนอีหลานในใจคิดต่างกันไป
อาจเพราะการมาเยี่ยมบ่อยครั้งของมู่อ๋อง บางคนได้ยินข่าวลือว่าเหนียนยวี่เริ่มทำให้ที่นี่กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
อนุรองลู่ซิวหรง อนุสี่สวีหว่านเอ๋อร์ บางครั้งก็มาหานางเพื่อนั่งเล่นที่นี่ เหนียนยวี่ให้สาวใช้สองคนคอยต้อนรับเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
ฉู่ชิงไม่ได้มาหากลางดึกอีก ราวกับหายไปในอากาศได้ยินจ้าวอี้พูดขึ้นว่าน่าจะมีเื่ต้องไปจิ่นโจว
วันนี้เหนียนอีหลานลากเหนียนยวี่ออกไปนอกจวนเหนียนรถม้าหยุดอยู่ด้านนอกหลินหลางซวน เหนียนยวี่ลงจากรถม้า เหลือบมองเหนียนอีหลาน"ท่านพี่ ที่นี่คือ..."
“หลินหลางซวนแน่นอนว่าคือร้านตัดเย็บเสื้อผ้า อีกสิบวันก็จะเป็วันเทศกาลฉีเฉี่ยว[1]แล้วนี่เป็เทศกาลฉีเฉี่ยวครั้งแรกหลังจากพวกเราเข้าพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ แน่นอนว่าเราต้องเตรียมตัวให้ดี” เหนียนอีหลานจูงมือเหนียนยวี่ รอยยิ้มบนใบหน้างดงามบริสุทธิ์และไร้เดียงสาแต่มิอาจยับยั้งความคาดหวังในดวงตานั้นได้
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว "ทว่าเสื้อผ้าของท่านพี่เดิมทีก็มีคนคอยดูแลอยู่แล้ว เหตุใด..."
“คุณหนูใหญ่ไม่ได้กำลังคิดถึงท่านหรอกหรือคุณหนูรอง?” ฟางเหอที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก “เสื้อผ้าของคุณหนูรองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงก็จะส่งคนไปดูแลด้วยเช่นกัน โปรดรู้ไว้ด้วยเ้าค่ะในมือของคุณชายรองหนานกง เขามีกิจการโรงงานปักเย็บเสื้อผ้า ด้านในมีช่างปักฝีมือชั้นยอดมากมาย้าเสื้อผ้าแบบไหนล้วนมีหมด ทว่าบังเอิญอยู่ดีๆ อยู่ก็เกิด..."
“ฟางเหอ เ้าปากมากั้แ่เมื่อไหร่?” ใบหน้าของเหนียนอีหลานมืดมนลงตำหนิเสียงเบา ตัดบทคำพูดของฟางเหอ ฟางเหอหุบปากลงอย่างไม่เต็มใจเหนียนอีหลานตบหลังมือเหนียนยวี่เบาๆ “น้องยวี่เอ๋อร์อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของสาวใช้นางนี้เลย เ้าก็รู้ว่าท่านแม่ไม่อนุญาต ความจริง่นี้ท่านแม่อารมณ์ไม่ดีเพราะเื่พี่ใหญ่จึงไม่ได้ดูแลน้องเท่าใด ถึงแม้หลินหลางซวนนี้ยังเปิดได้ไม่นานแต่ก็ได้ยินมาว่าเป็ที่นิยมมากในหมู่สตรีเมืองชุ่นเทียนและทำเสื้อผ้าออกมาไม่เลวทีเดียว”
เหนียนอีหลาน "รัก" นางเช่นนี้ ทำให้เหนียนยวี่เหม่อลอยเล็กน้อย"ท่านพี่ ท่านดีกับเหนียนยวี่จริงๆ"
"เ้ารู้ก็ดีแล้ว"เหนียนอีหลานยิ้มสว่างไสวเจิดจ้า จูงเหนียนยวี่เข้าหลินหลางซวน
ในหลินหลางซวน มีแขกไม่น้อยทีเดียว ต่างล้วนเป็คุณหนูจากตระกูลร่ำรวยที่กำลังเลือกแบบผ้ากัน
เหนียนอีหลานจูงเหนียนยวี่ มาถึงขั้นแรกคือวัดตัว ยามที่เหนียนอีหลานวัดตัวอยู่เหนียนยวี่ก็เดินเล่นชมหลินหลางซวนเพียงลำพัง
หลินหลางซวน นี่มิใช่กิจการของตระกูลซูแห่งโยวโจวหรือ?
ปีเทียนฉี่ที่ยี่สิบ...
ปีนี้กิจการของตระกูลซูเข้ามาในเมืองชุ่นเทียนแล้วงั้นหรือ?
"นายท่านเก้า ท่านอย่ารีบร้อน ในเมื่อท่านหมอมาแล้วฮูหยินต้องไม่เป็อะไรแน่"
เหนียนยวี่กำลังครุ่นคิดเสียงคนชราผู้หนึ่งก็ดังเข้ามา เสียงนั้น "นายท่านเก้า"ทำให้ในใจเหนียนยวี่มึนงง หันมองชายที่เข้ามาอย่างรีบร้อนโดยไม่รู้ตัว
ในสายตาของนางชายคนนั้นเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้ากังวลใจ
แม้ว่าใบหน้าจะคล้ายกับเค้าโครงในความทรงจำ ทว่าท่าทางของคนผู้นั้นแตกต่างอยู่มาก
ในชาติก่อน นางและท่านเก้าซูเคยติดต่อพัวพันกันอยู่บ้าง คนผู้นี้ในเื่การค้านับว่าเป็คนที่มีพร์หาตัวจับยากถือเป็บุคคลในเป่ยฉีที่นับว่าเป็คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับคุณชายรองหนานกงเพียงคนเดียว
แต่น่าเสียดาย…
เมื่อนึกถึงชะตากรรมของนายท่านเก้าสกุลซูในชาติก่อนเหนียนยวี่ก็ขมวดคิ้ว ทว่าในชั่วพริบตากลับมีประกายแสงวาบขึ้นในดวงตา
บางทีในชาตินี้ ไม่ช้าก็เร็ว นางคงจะได้เจอเขาเป็แน่ถึงอย่างไรหากจะได้พบที่นี่วันนี้ เช่นนั้นนางยิ่งควรตอบรับความประจวบเหมาะนี้เสีย
เหนียนยวี่ไม่ได้ทำในสิ่งที่คิดยามที่ไม่มีคนสังเกตสนใจ ก็เดินเข้าห้องโถงไปอย่างเงียบๆ
หลังห้องโถงในหลินหลางซวน มีฉากกันลมกั้นไว้ข้างในมีบรรยากาศน่าตื่นตะลึงราววิมาน์ เหนียนยวี่มาถึงลานด้านหลังมีเสียงดังออกมาจากห้องชั้นสอง เหนียนยวี่จึงขึ้นไปชั้นบนแอบฟังการเคลื่อนไหวข้างในอย่างเงียบๆ ที่ประตู
“นายท่านเก้าท้ายที่สุดหลินหลางก็รอท่าน” เสียงของสตรีกล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรงทันทีที่กล่าวจบ เสียงไอก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุดแค่ฟังเสียงลมหายใจ เหนียนยวี่ก็อดไม่ได้ที่ขมวดคิ้วสตรีผู้นี้ป่วยระยะสุดท้ายแล้ว เกรงว่าคงเหลือเวลาไม่มาก
ภายในห้อง บุรุษประคองสตรีนางนั้นขึ้นให้นางนั่งพิงอกเขา จับมือนางแน่นราวกับกำลังยับยั้งความกังวลของตนเอง"หลินหลาง เ้าไม่ต้องพูดแล้ว ให้ท่านหมอตรวจดูเ้าเสียหน่อย"
หลินหลางฝืนยิ้มออกมา ท่านหมอจับชีพจรหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็ส่ายหัวและกล่าวว่า "นายท่านเก้าโรคของฮูหยินเกรงว่า...เหลาสิ่ว[2]ไร้ความสามารถหมอในเมืองชุ่นเทียนแห่งนี้ แม้แต่หมอหลวงในราชสำนักก็ยากจะรับมือ บางทีโลกนี้คงมีแต่อาจารย์เย่าชาน...ไม่สิ ต่อให้พาตัวมาก็สายไปเวลาของฮูหยินมิอาจรอได้นานขนาดนั้น...”
ท่านหมอพูดความจริง ราวกับปิดกั้นความหวังทั้งหมดและได้แต่รอคอยชะตากรรมของฮูหยินนางนี้...ร่วงหล่นเหมือนหยกเหี่ยวเฉาราวดอกไม้[3]!
"ไม่ได้จะเป็ไปได้อย่างไร..." ชายคนนั้นคร่ำครวญอย่างหดหู่ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเขาจะยอมรับความจริงนี้ได้อย่างไร?
ทว่าหมอท่านนี้พูดไม่ผิดนัก อาจารย์เย่าชานหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยมาสามปีแล้วแม้จะออกตามหา ก็คงกลับมาไม่ทัน...
ทว่าอยู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นได้ดวงตาของชายผู้นั้นเป็ประกาย “ศิษย์ของอาจารย์เย่าชานอยู่ในเมืองชุ่นเทียนเขาน่าจะมีวิธี หลินหลาง เ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะรักษาเ้าให้หาย ข้าจะไม่ยอมให้เ้าตายไปเช่นนี้”
สตรีในอ้อมแขน รอยยิ้มเริ่มอ่อนแรง ลมหายใจไม่มั่นคง“นายท่านเก้า ข้ารู้ เ้าไปสืบหาศิษย์ของอาจารย์เย่าชานในเมืองชุ่นเทียน แล้วก็จะพามาหาหลินหลางที่นี่ทว่า...ทว่าเวลาน้อยเช่นนี้ หาคนที่ไม่รู้จักรูปร่างหน้าตาว่าเป็อย่างไร ไหนเลยจะหาได้โดยง่าย?นายท่านเก้า ไม่หาแล้ว...หลินหลางรู้ร่างกายของตนดีหลินหลางขอแค่วันสุดท้ายได้อยู่เคียงข้างกายท่าน...หลินหลางก็...พึงพอใจแล้ว"
“ไม่ ไม่อนุญาตให้กล่าววาจาที่ทำให้หมดกำลังใจเหล่านี้ในวันที่พวกเราสมรสกันก็เคยสัญญารับปากกันไว้แล้วว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปจนแก่เฒ่าผมขาว”ชายคนนั้นกัดฟัน เพียงไม่กี่คำก็เอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก"ข้าและเ้ายังไม่ทันแก่เฒ่าหัวขาว ข้าไม่อนุญาตให้เ้าไปก่อน"
"ท่านเก้า...นายท่านเก้า..."
ด้านนอกประตูเหนียนยวี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินความรักความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างทั้งคู่
อยู่ด้วยกันตลอดไปจนแก่เฒ่าหัวขาว...กาลครั้งหนึ่งจ้าวเยี่ยนก็เคยสัญญากับนาง ทว่าสุดท้าย...มันก็เป็เพียงคำพูดหวานหูของเขาที่เอาไว้ควบคุมนาง!
และคู่สามีภรรยาตรงหน้าคู่นี้...
ชาติก่อน นายท่านเก้าสกุลซูไม่ได้แต่งงานใหม่อีกจนสิ้นชีวีเป็เพราะเขามีแต่สตรีที่ชื่อหลินหลางผู้นี้อยู่ในใจเสมองั้นหรือ?
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าได้ตัดสินใจบางอย่างฉีกผ้าซับในออก เอามาปิดใบหน้าและยกมือขึ้นเคาะประตู
[1] เทศกาลฉีเฉี่ยวหรือเทศกาลชีซี เป็เทศกาลแห่งความรักของจีน
[2]เหลาสิ่วคำแทนตัวเองของชายชรา
[3] ร่วงหล่นเหมือนหยกเหี่ยวเฉาเหมือนดอกไม้ เป็คำอุปมาเื่ความตายของหญิงสาว